ปฏิญญาค่าแค้น 316 เลือก
เหยาจินฮวามาถึงจวนแม่ทัพ ก็ถูกเชื้อเชิญไปยังโถงรับแขกส่วนหน้าทันที พ่อสามีและแม่สามีที่ยังเยาว์วัยนั่งตัวตรงดิ่งอยู่บนที่นั่ง สีหน้าเคร่งครึม เหยาจินฮวาใจเต้นระรัวขึ้นมาทันที เห็นทีว่าการรับศึกคราวนี้จะไม่ดีอย่างยิ่งเสียแล้ว! หรือว่าหลินเฟิงบอกเล่าเรื่องราวให้พ่อสามีรับทราบแล้วหรือหญิงวัยกลางคนผู้รับหน้าที่ดูแลอบรมนั่น ปากสว่างนำเรื่องราวไปบอกกล่าว
เหยาจินฮวาฝืนแสดงท่าทีอย่างลูกสะใภ้แสนดี โดยแต่งแต้มรอยยิ้มไว้บนใบหน้าขณะคารวะให้ผู้อาวุโสทั้งสอง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้า…ข้ามารับฮานเอ๋อร์เจ้าค่ะ เด็กผู้นี้ซุกซนอย่างมากน่ะเจ้าค่ะ”
หลินจื้อย่วนเผยสีหน้าดูหมิ่นเหยียดหยามต่อเหยาจินฮวา พลางส่งเสียงสบถฮึ “ฮานเอ๋อร์หรือจะเทียบกับมารดาอย่างเจ้าผู้นี้ได้”
เหยาจินฮวาใจหายวูบ พ่อสามีรับรู้แล้วหรือ ความสามารถของเหยาจินฮวาก็คือตีหน้าเศร้าขอความเห็นใจ ยามที่ควรอ่อนข้อ จะทำอะไรเลอะเลือนมิได้เด็ดขาด นางจึงคุกเข่าลงทันที แล้วกล่าวอย่างเศร้าเสียใจ “ลูกสะใภ้เลอะเลือนไปชั่ววูบ ลูกสำนึกผิดแล้วเจ้าค่ะ ขอท่านพ่อโปรดอย่าได้โกรธเกรี้ยวกันเลย ครั้งหน้าลูกจะปรับปรุงแก้ไขเจ้าค่ะ”
หลินจื้อย่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ามิได้เอ่ยว่าไปเล่นพนันก็เพื่อครอบครัวนี้มิใช่หรือ เจ้ามิได้กล่าวว่าเป็นเจ้าเมืองบริเวณไม่กี่ปีก็กอบโกยเงินได้เป็นกำมิใช่หรือ แล้วยังกล้าว่ากล่าวคนอื่นเขาที่ให้เงินน้อยไปด้วยมิใช่หรือ”
เหยาจินฮวาพยักหน้าสำนึกผิดท่าเดียว “เป็นลูกที่เลอะเลือนไปเองเจ้าค่ะ”
“เลอะเลือน? ข้าว่าจะมิได้เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย คิดคำนวณไว้อย่างปราดเปรื่องเสียยิ่งอะไรดี!” นางเฝิงกล่าวอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าขาดแคลนเงินถึงเพียงนั้นเชียวหรือ บ้านก็เป็นหลินหลันมอบให้ ข้ารับใช้ก็เป็นข้าจัดหาให้ เงินซื้อหาเครื่องเรือนอะไรพวกนั้นพวกเราก็ให้ไว้แล้วเช่นกัน เจ้าลองคำนวณดูสิว่า หลังเจ้ามาเมืองหลวง จากบ้านพวกเรา จากทางด้านหลินหลันนั่น เจ้าได้เงินไปแล้วจำนวนเท่าใด หลินเฟิงมิใช่คนไม่มีรายได้แต่ละเดือน เจ้ายังจะขาดแคลนอันใดอีกหรือ เจ้ายังมีหน้าไปนำผ้าไหมของร้านสกุลเยี่ย ไปแลกเปลี่ยนเป็นเงิน เจ้าบ้าเงินจนหูหน้าตาบอดไปแล้วหรือ แล้วยังไปเล่นพนันไพ่อีก คนเหล่านั้นที่ไปเล่นการพนันเป็นคนเช่นไรเจ้ารู้หรือไม่ ล้วนเป็นพวกอันธพาลเร่ร่อนเลวทรามต่ำช้าทั้งสิ้น เจ้ายังมีหน้าพูดได้เต็มปากอย่างไม่ละอายใจอีกว่าเป็นการทำไปเพื่อครอบครัว ภาพลักษณ์ของตระกูลหลินถูกเจ้าทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว”
นางเฝิงรับรู้มานานแล้วว่าเหยาจินฮวาไม่ใช่คนดีเด่อะไร แต่คาดไม่ถึงว่านางจะนิสัยเละเทะได้ปานนี้ วันนี้ยามที่หลินเฟิงมาบอกกล่าว นางและสามีล้วนเดือดดาลแทบระเบิดเป็นจุณ
เหยาจินฮวาเหงื่อตกท่วมตัว ไม่กล้าโต้เถียงใดๆ แม้แต่ประโยคเดียว
“ตัวเจ้าเองไม่กลัวขายหน้าก็ช่าง เจ้ามิใช่ไม่รู้ว่าเจ้าเกือบทำลายหน้าที่การงานของสามีเจ้าแล้ว หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่หน้าพ่อสามีเจ้า ยามนี้สามีเจ้าคงได้ไปอยู่ในคุกใหญ่แล้ว เหยาจินฮวาหนอเหยาจินฮวา ใต้หล้านี้มีสะใภ้เช่นนี้เจ้าด้วยหรือเนี่ย” นางเฝิงยิ่งพูดยิ่งเดือดดาล
“เจ้าค่ะๆ ลูกสะใภ้คนนี้สำนึกผิดแล้ว ลูกจะปรับปรุงแก้ไขแน่นอนเจ้าค่ะ” เหยาจินฮวารีบสำนึกผิดทันที
“หมามันแก้นิสัยเลิกกินสิ่งปฏิกูลได้ด้วยหรือ” หลินจื้อย่วนกล่าวอย่างดุดัน “ลูกสะใภ้ประเภทเจ้านี้ พวกเราตระกูลหลินไม่กล้าเอาไว้หรอก มิเช่นนั้น คงต้องมีสักวันที่ถูกประหารชั่วโครต จะตายอย่างไรไม่อาจรู้ได้เลย”
เหยาจินฮวาตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวง นางรีบคลานเขาขึ้นไปเบื้องหน้า และกล่าวอย่างน่าเวทนา “ท่านพ่ออย่าเพิ่งโกรธเกรี้ยวเลยนะเจ้าคะ ลูกสำนึกผิดแล้ว ลูกจะปรับปรุงตัวแน่นอนเจ้าค่ะ จากนี้ลูกจะสงบเสงี่ยม ทำหน้าที่ของตนเอง ดูแลสามีและอบรมสั่งสอนบุตร จะไม่ทำเรื่องเลอะเลือนประเภทนี้อีกแล้ว ขอท่านพ่อให้โอกาสลูกสักครั้งนะเจ้าคะ…”
“เจ้าทำให้นางเฉินโกรธเกรี้ยวจนเสียชีวิต แล้วข้ายังต้องให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เพื่อทำให้ข้าโกรธเกรี้ยวจนตายตามไปเช่นกันหรือ” หลินจื้อย่วนนึกถึงนางเฉินที่เสียชีวิตไปเนิ่นนานแล้ว โดยสาเหตุส่วนใหญ่ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะสิ่งที่เหยาจินฮวาก่อไว้ นี่ทำให้เขาเดือดดาลด้วยวามเคียดแค้นขึ้นมาทันที
เหยาจินฮวาโขกศีรษะลงบนพื้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ลูกมิบังอาจเจ้าค่ะ ลูกมิบังอาจ...”
“ยังมีอันใดที่เจ้าไม่อาจกล้าอีกหรือ เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ จากพฤติกรรมทั้งเจ็ดข้อที่สามีสามารถขับภรรยา[1]ไปได้ เจ้ากระทำผิดข้อใดไปแล้วบ้าง นอกจากการมีบุตรให้ แต่ละข้อที่เหลือเจ้าล้วนกระทำผิดทั้งสิ้น และก็คงมีแค่คนนิสัยดีอย่างหลินเฟิง ด้วยความจิตใจดีมีเมตตาถึงได้อดทนต่อเจ้ามาถึงทุกวันนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ถึงจะไม่หย่าร้างก็คงตบตีเจ้าจนตายไปนานแล้ว” นางเฝิงกล่าวอย่างเย็นชา
“ไม่ต้องพูดกับนางให้มากความเพียงนี้หรอก วันนี้ข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ลูกสะใภ้ผู้นี้ ข้าต้องการให้หย่าร้างไปเสีย” หลินจื้อย่วนกล่าวอย่างเด็ดขาด
เหยาจินฮวารู้สึกไม่พึงพอใจทันที มองดูพ่อสามีอย่างเหลือเชื่อ เนิ่นนานพอตัวถึงกล่าวตะคอกพร้อมร้องห่มร้องไห้ “ท่านพ่อเจ้าคะ! ต่อให้ลูกกระทำไม่ถูกต้องเพียงใด แต่ลูกก็รักเดียวและจริงใจต่อหลินเฟิงนะเจ้าคะ! ฮานเอ๋อร์ยังเล็กเพียงนี้ จะไร้มารดาแท้ๆ ไม่ได้เช่นกันนะเจ้าคะ! ท่านพ่อ หากมิใช่เพราะตอนแรก เพื่อเกลี้ยกล่อมหลินเฟิงให้ยอมรับท่านเป็นบิดา หลินเฟิงก็คงไม่เกิดความรู้สึกรังเกียจลูกเพียงนี้ ลูกก็คงไม่กระทำเรื่องผิดๆ มากมายเพียงนี้ด้วยเช่นกัน ท่านพ่อ ท่านจะได้รับผลประโยชน์แล้วแล้วถีบหัวส่งกันมิได้นะเจ้าคะ…”
หลินจื้อย่วนโมโหจนแทบหงายหลัง นางไม่รู้จักสำเหนียกตน แล้วยังกลายเป็นว่าเขาได้รับผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่ง มิน่าล่ะนางเฉินถึงได้กระอักเลือด ยามนี้แม้แต่เขาก็เลือดลมพลุ่งพล่านแล้วเช่นกัน
“เหยาจินฮวา เจ้าหมายความว่าที่เจ้าหนังหน้าหนาไปขอผ้าไหมร้านสกุลเยี่ยเขา เป็นพ่อสามีใช้ให้เจ้าไปเช่นนั้นหรือ เจ้าไปเล่นพนัน ก็เป็นพ่อสามีให้เจ้าไปเช่นกันหรือ เจ้าไปขอทรัพย์สินของผู้ใต้บังคับบัญชาหลินเฟิง ก็เป็นพ่อสามีสั่งการเช่นนั้นหรือ ข้าว่าเจ้านี่มันช่างไร้ยางอายจริงๆ ชวนให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาเสียเหลือเกิน!” นางเฝิงก่นด่าด้วยความเดือดดาล
เหยาจินฮวาตกตะลึงแล้วกล่าวเสียงอ่อน “ลูก ลูกมิได้หมายความเช่นนั้นเจ้าค่ะ…”
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าอันใดหรือ มีชีวิตที่ดีให้เจ้าได้สุขสบาย แต่ดันจ้องจะสร้างแต่ปัญหาท่าเดียว แล้วเจ้าจะโทษใครได้อีกหา”
“หย่าให้มันจบๆ ไป จะได้ไร้มลทินโดยเร็ววัน คนประเภทนี้คบมิได้ เอาไว้มิได้” หลินจื้อย่วนจ้องเขม็งดุดันด้วยความโกรธเกรี้ยว
เหยาจินฮวาเห็นว่าวันนี้ไม่อาจกู้สถานการณ์ได้แล้ว จึงหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นตามเคย พร้อมกับปล่อยเสียงร้องไห้โวยวายขึ้นมา “พวกท่านคงรังเกียจฐานะที่ต่ำต้อยของข้าใช่หรือไม่ ก็เลยอยากให้ข้าหย่าร้างกับหลินเฟิง เพื่อจะได้หาตระกูลที่เหมาะสมให้เขาใช่หรือไม่ พวกท่านรังเกียจคนจน รักใคร่คนรวย พวกท่านไม่รู้จักสำนึกบุญคุณคน และไม่คิดเสียบ้างว่า ตอนแรกหลินเฟิงเขามีอันใดเสียที่ไหนกัน ยากจนแร้นแค้นเสียยิ่งกว่าอะไรดี บรรดาสิบแปดหมู่บ้าน จะมีผู้ใดบ้างที่แต่งกับเขา หากมิใช่ข้า ยามนี้เขาคงยังไม่อาจลืมต้าอ้าปากได้ และคงยังต้องอยู่ในหุบเขาที่ยากจนนั่น มีหรือจะเป็นดังเช่นทุกวันนี้ได้ ข้าไม่สน ต้องการหย่าร้างกับข้า คือข้าต้องตายไปแล้วสถานเดียวเท่านั้น ”
หลินจื้อย่วนแทบจะลุกขึ้นระเบิดอารมณ์ ทว่านางเฝิงดึงรั้งเขาไว้แล้วเกลี้ยกล่อม “ท่านพี่ สตรีประเภทนี้ ไม่คุ้มค่าให้ท่านต้องหงุดหงิดทำลายสุขภาพไปเปล่าๆ หรอกเจ้าค่ะ”
นางเฝิงลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเหยาจินฮวา แล้วกล่าวโดยมองนางจากศีรษะจรดเท้า “เหยาจินฮวา ในเมื่อเจ้ากล่าวถึงตอนแรก ข้าก็จะขอเริ่มร่ายการกระทำผิดของเจ้าหลังจากเจ้ามาถึงเมืองหลวงบ้างแล้วกัน อย่างเรื่องที่พูดก่อนหน้า เจ้าคิดว่าเจ้าแต่งกับหลินเฟิงมันช่างไม่ยุติธรรมต่อเจ้า อุตส่าห์ลดตัวลงมาแต่งด้วย แต่ข้าว่า ต่อให้หลินเฟิงไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ไปทั้งชีวิต ก็คงดีกว่าแต่งงานกับคนอย่างเจ้า หลังเจ้าเข้ามาในครอบครัว ดีแต่กิน ขี้เกียจสันหลังยาว ไม่เคารพแม่สามี ไม่เห็นใจน้องสามี วันๆ เอาแต่สร้างปัญหาวุ่นวายให้คนในครอบครัว สิ่งเหล่านี้เด็กเล็กหรือผู้อาวุโสทั่วทั้งหมู่บ้านเจี้ยนซีเป็นพยานได้ เจ้าขี้เกียจตัวเป็นขน ลำพังประเด็นนี้ก็ว่าแย่แล้ว เจ้ายังอกตัญญูไร้คุณธรรม นี่ก็เพียงพอสำหรับการหย่าร้างคนอย่างเจ้าแล้ว ไอ้อย่างที่เจ้าพูด ต่อให้ไปโพนทะนาแห่งหนใด เจ้าล้วนยืนอยู่ในจุดที่ไร้เหตุผล ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น เจ้าเอะอะก็เอาความเป็นความตายมาพูด ขอพูดน่าเกลียดหน่อยแล้วกัน คนประเภทเจ้า ตายไปก็ตายไปสิ ไม่มีผู้ใดเสียดายหรอก หากเจ้าต้องการรนหาที่ตาย ต้องการแขวนคอข้าก็จะส่งเชือกให้ ต้องการปาดคอข้าก็จะส่งมีดให้ ต้องการกินยาพิษข้าก็จะให้คนไปช่วยซื้อมาให้ เจ้าอยากตายรูปแบบใด ข้าพร้อมสนองเจ้าทั้งนั้น”
คำพูดอย่างดุดันชุดนี้ ทำให้เหยาจินฮวาถึงกับพูดไม่ออก
“ลูกไม้ประเภทนี้ของเจ้า มันไม่ได้ผลกับข้าหรอก และเจ้าก็อย่าได้หวังว่าหลินเฟิงเขาจะสงสารเจ้า หลินเฟิงเป็นคนดี แต่คนเราก็มีอารมณ์ความรู้สึกกันทั้งนั้น ข้ากล้าบอกเจ้าเช่นกันว่า การหย่าร้างกับเจ้า ไม่เพียงเป็นเจตจำนงของพวกเรา หลินเฟิงเองก็มีเจตจำนงนี้ด้วยเช่นกัน หากเจ้ายังคิดทำอะไรโง่ๆ อีก เจ้าก็ลองชั่งน้ำหนักดูแล้วกันว่ามันคุ้มหรือไม่ ที่นี่เป็นสถานที่อันใด ท่านพี่เป็นใคร หากกดดันพวกเขาให้ลงมือโหดเหี้ยมขึ้นมาจริงๆ การจะบีบเจ้าให้ตายก็ไม่ได้ยากไปกว่าจะฆ่ามดตัวหนึ่งเลยด้วยซ้ำ” นางเฝิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหยาจินฮวาหาได้โง่เขลาไม่ การที่นางสรรรหาลูกไม้โอดครวญหรือข่มขู่มาใช้ ก็ทำได้แค่ต่อหน้าหลินเฟิงเท่านั้น กับนางเฝิงและกับพ่อสามี นางจะเอาอะไรไปสู้เขาได้ เหยาจินฮวากล่าวทั้งน้ำตาอย่างเศร้าเสียใจ “ข้าต้องการเจอหน้าหลินเฟิง ข้าต้องการเจอฮานเอ๋อร์ ท่านให้หลินเฟิงออกมาเจอหน้าข้าเถอะ ต้องการหย่าร้างกับข้า เช่นนั้นก็ต้องให้หลินเฟิงมาพูดกับข้าด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
นางเฝิงล้วงซองหนังสือหย่าร้างฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าในแขนเสื้อ แล้วถือมันไว้ในมือ พลางจ้องมองเหยาจินฮวาอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ต้องคิดเพ้อฝันอีกแล้ว นี่หนังสือหย่าร้าง หลินเฟิงเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่พบเจอเจ้าอีก และข้าก็ไม่ให้เจ้าพบเจอฮานเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน ตามเจตจำนงของข้า คนประเภทเจ้านี้ แค่ขับไล่ออกจากบ้านก็พอแล้ว ทว่าหลินเฟิงเห็นแก่เจ้าที่ให้กำเนิดฮานเอ๋อร์แก่ตระกูลหลิน และถึงอย่างไรก็เคยเป็นสามีภรรยากัน จึงไม่อยากทำเรื่องนี้ให้ดูไร้น้ำใจเกินไป ในนี้มีตั๋วเงินอีกสองพันตำลึงเงิน หากเจ้าไม่นำไปเล่นการพนัน ก็คงเพียงพอให้เจ้าได้ใช้ดำรงชีพกับชีวิตที่เหลือจากนี้ ข้าจะจัดการคนให้พาเจ้าส่งกลับบ้านมารดาเจ้า ตอนนี้มีสองหนทางที่เจ้าต้องเลือกด้วยตนเอง คือหยิบหนังสือหย่าร้างและตั๋วเงินไปเสีย หรือจะก่อความวุ่นวายต่อ หากเจ้าต้องการจะสร้างความวุ่นวายต่อ ข้าก็จะเรียกทางการมาจับตัวเจ้าไปเสีย ชั่วชีวิตที่เหลือจากนี้ของเจ้าก็จะได้ไปใช้ในคุกใหญ่! เจ้าคิดให้ดีแล้วกัน”
ครั้งนี้เหยาจินฮวารู้ว่าหมดหวังแล้วจริงๆ หลินเฟิงไร้เยื่อใยถึงขั้นไม่ยินดีที่จะพบหน้านางสักครั้ง แล้วนางยังจะมีความหวังอะไรอีก แต่นางทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ!
“ท่าน…พวกท่านมีสิทธิ์อันใดมาจับข้าไปเข้าคุกหรือ” เหยาจินฮวาเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
นางเฝิงแสยะยิ้ม แล้วกล่าว “เหยาจินฮวาหนอเหยาจินฮวา สมองของเจ้าใช้การไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ เรื่องเล็กประเภทนี้ แค่บอกกล่าวก็เพียงพอแล้ว ยังต้องมีเหตุผลอีกหรือ”
ประโยคสั้นง่ายได้ใจความเพียงประโยคเดียว แต่กลับเล่นงานเหยาจินฮวาให้พ่ายแพ้ได้อย่างสิ้นเชิง นางจึงคิดดิ้นรนอย่างสัตว์ที่จนตรอก “ต้องการให้ข้าหย่าก็ได้ แต่ฮานเอ๋อร์เป็นบุตรที่ข้าให้กำเนิด จะต้องนำฮานเอ๋อร์มาคืนข้า”
“เหล่าอวี๋ ไป เรียกเจ้าหน้าที่ขุนนางมา พวกที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีประเภทนี้ รีบๆ จับตัวไปเสียจะได้สิ้นเรื่อง” หลินจื้อย่วนกล่าวสั่งการเสียงดังลั่น
เหล่าอวี๋ขานรับเสียงดังฟังชัด แล้วเตรียมเดินออกไป
เหยาจินฮวาปีนป่ายขึ้นมาจากพื้น แล้วเอื้อมไปคว้าหนังสือหย่าร้างและตั๋วเงินในมือของนางเฝิง “ข้าไปก็ได้ ข้าจะถือเสียว่าได้เห็นธาตุแท้แล้ว พวกท่านก็คิดแต่จะใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงคนอื่นเขา ข้าไม่อาจสู้พวกท่านได้ ข้าหมดความเลื่อมใส่ศรัทธาในตัวพวกท่านจริงๆ”
นางเฝิงหัวเราะเยาะ “การถูกเจ้าเลื่อมใสศรัทธา พวกเรายังเกรงว่าจะไม่เป็นอันสงบสุขด้วยซ้ำ!”
จากนั้นชักสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวสั่งการ “เหล่าอวี๋ จัดการคนส่งนางกลับเฟิงอานทันที”
“ข้าไปด้วยตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้พวกท่านเป็นเดือดเป็นร้อน อีกอย่าง ข้าต้องการพบเจอบุตรชายข้าก่อนสักครั้งด้วย” เหยาจินฮวายืดอขณะกล่าว
“เจ้ามิใช่สะใภ้ของตระกูลหลินอีกแล้ว ฮานเอ๋อร์จึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเจ้าแล้ว” นางเฝิงสบตาอย่างเย็นชา
เหยาจินฮวาตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกท่านพรากพวกเราสามีภรรยาทั้งเป็น พรากพวกเราแม่ลูกทั้งเป็น แม้แต่เจอะเจอหน้ากันครั้งสุดท้ายก็ไม่ให้เจอะเจอเช่นนั้นหรือ ท่านเองก็มีบุตรชายมิใช่หรือ ระวังเวรกรรมจะตามสนองเถอะ”
นางเฝิงจ้องมองเหยาจินฮวาอย่างสงบ และกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ข้าขอมอบให้เจ้าสักหนึ่งประโยคแล้วกัน และเจ้าก็ช่วยจำไว้ให้ดีๆ ด้วยล่ะ กรรมที่สวรรค์กำหนดยังพอรอดพ้นได้ ทว่าบาปที่ก่อขึ้นด้วยตนเองไม่มีทางรอดพ้นไปได้หรอก เหล่าอวี๋ ส่งแขก”
เหยาจินฮวาจ้องเขม็งใส่นางเฝิง เหล่าอวี๋นำองครักษ์ประจำบ้านเข้ามาสามสี่คน แล้วกล่าวต่อเหยาจินฮวา “ป้า เชิญเถอะ!”
เหยาจินฮวากัดฟันแน่นด้วยความเดือดดาล แล้วตะโกนด่าทออย่างบ้าคลั่ง “หลินเฟิง เจ้ามันเป็นเต่าที่รู้จักแต่มุดหัวอยู่ในกระดอง เจ้ามันไอ้สารเลว เจ้าไม่มีจุดจบที่ดีแน่…”
เหล่าอวี๋ทั้งผลักทั้งดันเพื่อนำเหยาจินฮวาออกไปโดยเร็ว
หลังออกจากจวนแม่ทัพ รถม้าได้คอยอยู่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหยาจินฮวาสะบัดแขนของนางอย่างโกรธเกรี้ยวจนหลุดจากกับจับกุมโดยองครักษ์ประจำบ้าน “ข้าเดินไปเองได้ ข้าต้องกลับบ้านก่อน”
เหล่าอวี๋กล่าว “ป้า บ้านของเจ้าอยู่เฟิงอาน ที่นี่ไม่มีบ้านของเจ้าแล้ว”
เหยาจินฮวาโกรธเกรี้ยวสุดขีด หลินเฟิง เจ้ามันใจร้ายใจดำ! กระทำการอย่างเด็ดขาดเพียงนี้ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่
“จะอย่างไรข้าก็ต้องกลับไปเก็บข้าวของก่อนมิใช่หรือ” เหยาจินฮวากล่าวอย่างหงุดหงิด
“สิ่งของของเจ้าเก็บมาไว้เรียบร้อยแล้ว ก็อยู่บนรถนั่นละ เชิญ!” เหล่าอวี๋กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยโดยไม่แม้แต่จะกะพริบตา
หลินเฟิงอุ้มฮานเอ๋อร์เดินออกมาจากจวนแม่ทัพ มองดูรถม้าที่ค่อยๆ ห่างออกไปแล้วถอนหายใจเงียบๆ จินฮวา เดินทางปลอดภัย!
[1]พฤติกรรมทั้งเจ็ดข้อที่สามีสามารถขับภรรยา (七出) เจ็ดข้อที่ว่านั่น ได้แก่ ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่สามี ไม่มีบุตร คบชู้ อิจฉาริษยา มีโรคร้ายแรง พูดมาก และลักขโมย
Comments