ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]บทที่ 447: หัวใจที่สกปรกและเจ้าเล่ห์
บทที่ 447: หัวใจที่สกปรกและเจ้าเล่ห์
หูของเหวยโหย่วเหลียงอื้อไปหมด
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า!
ยังมีใครคิดถึงขงโม่กับการปกครองอันแสนห่างเหินของเขาอยู่อีกหรือไม่? ยังมีใครจำได้หรือไม่ว่านครชฺวีฟู่เคยเป็นอย่างไร? เหวยโหย่วเหลียงมองไปยังเหล่าวิญญาณที่อยู่รอบๆตน ยิ่งเป็นพวกที่อายุมากเท่าไหร่ ลมหายใจก็ยิ่งติดขัดและแววตาก็ยิ่งวูบไหวมากเท่านั้น เขายังเห็นอีกว่ามือของพวกเขาสั่นเทามากเพียงใดเมื่อได้ยินข่าวนี้
วิญญาณที่อายุน้อยดูเหมือนจะอยู่ในลักษณะที่ดีกว่ามาก แต่ถึงกระนั้นจังหวะการหายใจของพวกเขาก็ยังหนักหน่วงและรุนแรง มันมีแม้กระทั่งวิญญาณที่ฝังหน้าลงกับมือของตัวเองและตะโกนออกมาเสียงดัง
จริงอยู่ที่วิญญาณไม่มีน้ำตา แต่เปลวไฟรุนแรงที่เล็ดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วมือก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวภายในใจของวิญญาณทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
-เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างตกเป็นเหยื่อ เพราะเหยื่อที่ฉินเย่ใช้นั้นได้จับเข้าถึงส่วนที่ลึกและอ่อนนุ่มที่สุดภายในหัวใจของเขา!
“ลูกสาวของข้า…” ทัศนวิสัยของเหวยโหย่วเหลียงพร่าเลือนไปชั่วขณะ ร่างกายของเขาเริ่มรู้สึกเบาหวิว “นี่ข้า…มีโอกาสที่จะได้เห็นหน้านางอีกครั้งจริงๆน่ะหรือ?”
เขารีบหันไปหาวิญญาณที่อยู่ข้างๆและคว้าแขนของอีกฝ่าย “นี่ข้า… ข้าไม่ได้ยินผิดไปใช่หรือไม่?”
“ไม่! ไม่เลยสักนิด!!” ชายวัยกลางคนอึกอักขณะที่ตอบกลับไปด้วยอารมณ์ที่รุนแรงไม่แพ้กัน “หูของเจ้าไม่ได้ฝาด!! เจ้าได้ยินเหมือนกันกับพวกเรา!!”
วิญญาณด้านล่างเริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ 3-5 ตน ไม่ว่าพวกเขาจะรู้จักกันหรือไม่ และพวกเขาก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น “ใช่! ข้าไม่สนหรอกว่ามันต้องใช้คะแนนการทำงานมากเท่าไหร่! ยายของข้าเป็นอัมพาตมาโดยตลอด ข้า…ข้าจะต้องกลับไปดูนาง! พวกเราจะต้องหาโอกาสกลับไปยังแดนมนุษย์อีกครั้ง!! ท่านขง… ไม่! แม้แต่ขงโม่ก็ไม่เคยเสนออะไรเช่นนี้มาก่อน!” “นี่จะต้องเป็นยมโลกที่แท้จริงอย่างแน่นอน! นี่คือสายเลือดที่แท้จริงซึ่งได้รับการยืนยันโดยเทพเจ้า! ตอนนี้ข้ารู้สึกขอบคุณจริงๆที่พวกเขามาแย่งชิงและเข้าควบคุมนครชฺวี–…นครเผิงชิว!”
เหวยโหย่วเหลียงกำลังดีใจเป็นอย่างมาก ความทรงจำเกี่ยวกับแดนมนุษย์ฉายชัดขึ้นมาให้เห็น – ภรรยาที่อ่อนหวาน และลูกสาวที่แสนดีของเขา… รอก่อนนะ…รอก่อน!
พ่อ…จะรีบกลับไปเยี่ยมลูกโดยเร็วที่สุด!
เดือดพล่าน
ภายในใจของเหล่าวิญญาณทั้งหมดพลันเดือดพล่านและปั่นป่วนไปหมด ฉินเย่เองก็ปล่อยให้พวกเขาหลุดลอยไปกับความคิดของตัวเอง จากนั้น หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ใครบางคนก็ตะโกนออกมาสุดเสียง “ยมโลกจงเจริญ!!!”
หลังจาก เสียงที่สองก็ดังตามขึ้นมาติดๆ จากนั้นก็เสียงที่สาม… ห้า… สิบ... ร้อย… พัน… หมื่น!
ภายในระยะเวลาไม่ถึงนาที เสียงตะโกนที่เริ่มขึ้นอย่างแผ่วเบาก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งหมดจนกระทั่งทุกคนต่างตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “ยมโลกจงเจริญ!!! ยมโลกจงเจริญ!!!”
ฉินเย่พยักหน้าด้วยรอยยิ้มและถอนหายใจออกมาอย่างโล่งลงก่อนจะหัวเราะเบาๆ “ข้าสัมผัสได้ถึงความพร้อมและความกระตือรือร้นของพวกเจ้า ดีมาก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ตอนนี้ พวกเขาจะตั้งโต๊ะลงทะเบียนไว้ที่เมืองชั้นใน ณ จุดที่แท่นบูชาของพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาตั้งอยู่ การรับสมัครจะเปิดตลอดเวลา และพวกเราเปิดรับสมัครสำหรับทุกตำแหน่งในกองกำลังชายแดน ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ช่างเทคนิค นักปฏิบัติการและประชาชนธรรมดา การลงทะเบียนจะสิ้นสุดลงภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน”
“กระหม่อมจะไปอย่างแน่นอน!!” เหวยโหย่วเหลียงตะโกนออกไปเสียงดัง ราวกับว่ามันจะเพิ่มโอกาสในการถูกเลือกให้เขา มันเป็นการกระทำที่ไร้เดียวสา แต่มันก็น่าตลกที่วิญญาณตนอื่นๆเองก็ทำแบบนั้นเช่นกัน
หลังจากเอ่ยจบ ร่างฉายสามมิติของฉินเย่ก็ค่อยๆจางหายไป “สมัชชาครั้งแรกได้สิ้นสุดลง ณ ตรงนี้ ทุกคนแยกย้ายได้”
สิ้นสุดเสียงพูด แถวของโคมไฟภายในเมืองชั้นในก็ถูกจุดขึ้นด้วยเปลวไฟนรก
เปลวไฟสีแดงเข้ม
พวกมันทั้งหมดถูกประดับอยู่ที่จัตุรัสขนาดความยาวรอบรูป 10,000 เมตร เท่าที่สายตามองเห็น มันมีแถวของโต๊ะและเก้าอี้ถูกจัดวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พร้อมกับทหารวิญญาณกว่า 3,000 นายนั่งอยู่ นอกจากนั้น มันยังมีทหารวิญญาณสวมเกราะและอาวุธครบมือกว่าหมื่นนายคอยยืนประจำการอยู่รอบๆอีกด้วย
มันเป็นภาพที่เรียบง่ายเป็นอย่างมาก
โต๊ะและเก้าอี้กทั้งหมดถูกเคลือบด้วยสีดำเงา อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของมันกลับดูโออ่าอย่างไม่น่าเชื่อ
แต่ไม่ว่าจะเรียบง่ายหรือโอ่อ่าก็ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะในไม่กี่วินาทีต่อมา วิญญาณอย่างน้อย 60% ของทั้งเมืองก็เริ่มพุ่งตัวไปที่โต๊ะลงทะเบียนทันที!
“อย่าผลัก! เจ้าคิดว่าตัวเองจะสามารถไปลงทะเบียนได้เร็วขึ้นโดยการผลักผู้อื่นหรืออย่างไร?!” “ขอทางหน่อย! ภรรยาและลูกชายของข้ากลังรอข้าอยู่ที่แดนมนุษย์!” “หมายความว่าอย่างไรที่ว่าขอทาง?! สามีของข้าเองก็กำลังรอข้าอยู่ที่บ้านเช่นกัน!” “อย่าดัน! เลิกเบียดได้แล้ว! ใครกันที่แตะตัวข้า?!”
…………………………………….
ด้านหลังของจัตุรัสคืออาคารหกชั้นที่ตั้งอยู่ภายในเมืองชั้นในอยู่ก่อนแล้ว ฉินเย่ยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นห้า ถอนหายใจออกมาเบาๆขณะมองไปยังภาพผลักดันกันของเหล่าวิญญาณด้านล่าง แต่ไม่นานนัก เสียงที่ติดจะเย้ยหยันก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “หึหึหึ…สกปรกจริงๆ… สกปรกอย่างไม่น่าเชื่อ!”
มันคือเพื่อนร่วมชั้นของเขา หวังหนึ่งหาง
“เจ้าไม่คิดหรือว่ามันเป็นภาพที่ค่อนข้างงดงามทีเดียว?” ฉินเย่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง กลับกัน เขาเพียงเพลิดเพลินไปกับสายลมและปล่อยให้เส้นผมของเขาปลิวไปตามแรงลมเบาๆ
มันเป็นภาพที่งดงามจริงๆ
เบื้องหน้าของพวกเขา ห่างออกไป 1,000 เมตรคือจุดที่ตั้งของโต๊ะลงทะเบียน ตอนนี้เขามองเห็นเปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนมาบรรจบกันอยู่รอบๆโต๊ะเหล่านั้น – ไม่ต่างอะไรจากวันที่นครชฺวีฟู่ยังคงรวบรวมกองกำลังของมันเลยสักนิด!
หวังหนึ่งหางเดินมาหยุดอยู่ด้านข้างและเท้าแขนกับราวจับพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ข้ารู้ดีว่าพวกเขาจะต้องทำงานหนักอย่างมากภายใต้ระบบของการสะสมคะแนนการทำงาน และหลังจากงานบุกเบิกภายในนครเผิงชิวเสร็จสิ้นลง พวกเขาก็คงจะมีโอกาสในการใช้สมุดแห่งความตาย โอกาสในการเข้าฝัน และโอกาสในการกลับไปยังแดนมนุษย์ได้แค่อย่างละครั้งเท่านั้น ท่านพี่ฉิน เมื่อเป็นเรื่องของการคว้าโอกาสในสถานการณ์ต่างๆ ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบท่านได้เลยจริงๆ…”
“ไร้สาระ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าการได้กลับไปยังแดนมนุษย์นั้นเป็นสิทธิพิเศษแบบไหน?!” ฉินเย่กลอกตาให้อีกฝ่าย “หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าอาคารหลังใหม่เหล่านี้ได้ปรากฏขึ้นในเมืองชั้นใน แม้แต่ข้าเองก็คงไม่กล้าเอ่ยให้สัญญาเหล่านั้นกับพวกเขา!”
ไม่…หากท่านถามข้าจริงๆ…ข้าคิดว่าท่านค่อนข้างมีความสามารถในการให้สัญญาปากเปล่ากับผู้คน… จริงๆนะ…
หวังหนึ่งหางเม้มปากและเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นเบาๆว่า “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อ?”
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและหมุนตัวกลับ เงยหน้า เอนหลังพิงกับราวจับและจ้องมองเพดานด้านบนด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น “จะทำอย่างไรต่อ? ให้ตายสิ!!!”
“นี่เจ้ายังต้องถามอะไรที่มันชัดเจนอยู่แล้วด้วยหรือ? ไม่รู้เลยหรือว่านครชฺวีฟู่นั้นใหญ่เพียงใด? แม้แต่ข้าก็ยังไม่มีโอกาสที่จะได้เดินดูรอบๆ นครชฺวีฟู่–…อ่าา ข้าหมายถึง อุตสาหกรรมและความพิเศษของนครเผิงชิวยังคงเป็นสิ่งที่ข้าไม่รู้ พวกเรามัวแต่ยุ่งอยู่กับสำมะโนประชากรและการลงทะเบียนของประชากรกว่า 20 ล้านคนมาตลอดจนข้าไม่มีโอกาสที่จะได้ไปสำรวจคลังสมบัติของนครเผิงชิวที่เราได้มาเลยด้วยซ้ำ! ข้ายังไม่เห็นพระราชวังแห่งการสะท้อนเงาอีกเลยหลังจากที่ตี้ทิงได้นำมันกลับมาพร้อมกับเรา!”
“นอกจากนี้ นครเผิงชิวคือนครที่ได้ใช้ระบบสกุลเงินภายใต้การปกครองของขงโม่มาก่อน นี่หมายความว่าพวกเราจะต้องผลักดันการใช้ระบบสกุลเงินของยมโลกโดยเร็วที่สุด! นอกจากนั้นพวกเรายังต้องก่อตั้งกองกำลังรักษาความปลอดภัยของยมโลกไว้ในนครเผิงชิว รวมถึงการสำรวจใบสมัครสำหรับกองกำลังชายแดนอีกด้วย… พระเจ้า! แค่คิดถึงกองเอกสารและงานที่รอเราอยู่ข้าก็รู้สึกขนลุกแล้ว!”
แต่หวังหนึ่งหางก็ยังคงสาดเกลือใส่แผลของอีกฝ่าย “อ่าา อย่าลืม มันยังมีความเป็นไปได้ที่ขงโม่จะโต้กลับพวกเราได้ตลอดเวลาอีกด้วย จากนั้น มันก็ยังมีภัยคุกคามจากราชาผีอีก… อ้อใช่ ไม่ใช่ว่าท่านเคยพูดถึงการทำการค้ากับแดนมนุษย์ด้วยหรอกหรือ? ท่านจะต้องเดินทางกลับไปที่นั่นและเริ่มเจราจากับพวกเขาอีกครั้ง หึหึหึ…ข้าสามารถพูดได้เลยว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่ท่านจะจมอยู่ภายใต้กองงานมหาศาลเลยเชียวล่ะ…”
“… นี่เจ้ากำลังมีความสุขกับความทุกข์ของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“… มันชัดเจนขนาดนั้นเลยหรือ?”
“… ไม่ ไม่เลยสักนิด นี่ ทำไมเจ้าไม่ลองมาแตะไหล่ข้าดูอีกครั้งดีล่ะ…”
หวังหนึ่งหางมองฉินเย่ราวกับเห็นผีทันที เขาสามารถบอกได้เลยว่าฉินเย่กำลังมองหาเหยื่อเพื่อที่จะระบายความโกรธและความหงุดหงิดของตัวเอง แต่…
เขาไม่มีทางที่จะตกหลุมพรางเดิมเป็นครั้งที่สอง!
“รัฐมนตรีทั้งหมดกำลังรอท่านอยู่…” หวังเฉิงห่าวปฏิเสธการเดินเข้าไปใกล้ฉินเย่อย่างสุภาพก่อนจะรีบวิ่งห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉินเย่จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่วิ่งห่างออกไป ขณะที่เขาเริ่มยกมือขึ้นนวดคลึงขมับของตนเอง
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขาได้อาศัยการอ่านรายงานจากหัวหน้าเลขาธิการของยมโลก ซูตงเซวี่ย มาโดยตลอด เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าพบกับเหล่ารัฐมนตรีที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาใหม่เลยแม้แต่น้อย!
นี่คือข้อพิสูจน์ว่าเขายุ่งมากเพียงใด
“หลังจากที่จัดการเรื่องที่ต้องจัดการเรียบร้อย เราก็ควรจะกลับไปที่แดนมนุษย์อย่างที่ได้สัญญาเอาไว้… ตอนนี้ก็เลยระยะเวลาที่กำหนดมาหนึ่งเดือนแล้ว พวกเจ้าหน้าที่รัฐของเมืองหวู่หยางคงจะใกล้เป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ อืมมม… อย่างมากที่สุดเราก็คงจะอยู่ที่นี่ได้อีกแค่อีกหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น” เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ หากพูดกันตามตรง เข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์นั้นจะเพียงพอให้เขาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้หรือเปล่า
วันนี้คือวันที่เขาถูกจัดให้พบกับรัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆ รวมถึงรับรายงานและอัพเดทงานทั้งหมดให้เป็นปัจจุบัน
มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ยมโลกได้พร้อมที่จะแซงรถคันอื่นๆที่อยู่ด้านหน้าของมันตรงทางโค้งแล้ว พวกเขาขับเข้าใกล้ทางโค้งสำเร็จ และพวกเขาก็ยังอยู่บนลัมโบร์กีนีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในขณะของคนขับ เขายังคงต้องขับเคลื่อนยมโลกไปในทิศทางที่ถูกต้องและและกำหนดเส้นทางสำหรับการแซงรถคันอื่นๆ รัฐมนตรีของกระทราวต่างๆสามารถเปรียบได้กับกลไกของรถ – ทุกคนจะต้องมีเป้าหมายเดียวกัน เพื่อที่รถยนต์ที่เรียกว่ายมโลกจะได้ไม่พุ่งลงจากหน้าผาและตกลงสู่ความวิบัติ
เขายังจำได้เลยว่าเมื่อสองปีที่แล้วตัวเองงานยุ่งมาเพียงใด เขายุ่งกับงานของแดนมนุษย์ในตอนกลางวัน และงานของยมโลกในตอนกลางคืน
อ่า… และมันก็ยังมีขงโม่และราชาผี รวมถึงการเจรจากับแดนมนุษย์อีก... ความคิดเกี่ยวกับทุกอย่างที่กองรวมกันทำให้เขาแทบจะเสียสติ!
“เราแค่ต้องจัดการไปทีละอย่าง…” เส้นเลือดบริเวณขมับของเขาเต้นตุบๆขณะที่เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น จากนั้น ขณะที่เขากำลังจะเดินลงไปด้านล่าง เขาก็นิ่งไป
ฟึ่บ... บันทึกนรกลอยออกมาจากอกของเขาและเปิดออกพร้อมกับประกายแวววาวบนหน้ากระดาษ ขณะที่ตัวอักษรบนหน้ากระดาษเริ่มเปลี่ยนไป
ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายสดใสขึ้นทันทีที่เขาเห็นว่าบันทึกนรกหยุดลงที่หน้าไหน เด็กหนุ่มรีบอ่านมันอย่างอยากรู้
ชื่อ: ฉินเย่ (ชื่อเล่น – โก่วต้าน)
สถานที่เกิด: หมู่บ้านเนินเขาหลิวเอ๋อ แม่น้ำกาจือ เมืองถังอัน นครฉิงกวง
สมาชิกในครอบครัว: ปู่ (เสียชีวิต) บิดา-มารดา (เสียชีวิต)
เกิด: 1 ตุลาคม 1938
อาชีพ: ตุลาการนรก
แต้มกุศล: 370,000/5,000,000
“ได้รับ 300,000 แต้มกุศลจากการยึดครองนครใหญ่และปราบปรามกองกำลังกบฏ รายละเอียดทั้งหมดถูกระบุเอาไว้ด้านล่าง…”
370,000 แต้มกุศล!
ฉินเย่ดีใจจนอดไม่ได้ที่จะกระโดดไปมา!
มันเป็นการเพิ่มแต้มบุญที่มากอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
นี่คือเสน่ห์ของสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่เขาก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดเช่นกัน “เดี๋ยวนะ… ทำไมมันถึงเพิ่งได้รับการจดบันทึกใหม่ตอนนี้? พวกเรายึดครองนครเผิงชิวมาได้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว! อ่าาา ใช่…วันนี้นับเป็นวันแรกที่ประชากรของนครเผิงชิวยอมรับเราโดยสมบูรณ์ อีกความหมายหนึ่งก็คือ นครเผิงชิวจะยังไม่เป็นของเราโดยสมบูรณ์จนกว่าประชากรทั้งหมดจะยอมจำนนต่อยมโลก และนี่ก็ต่อเมื่อเราสรุปจำนวนประชากร เมือง เขต และหมู่บ้านโดยรอบทั้งหมด รวมถึงสามารถสงบจิตใจของประชาชนได้แล้วเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมแต้มกุศลถึงเพิ่งถูกคำนวณในตอนนี้สินะ? และมันยังมีรายละเอียดแจกแจงเกี่ยวกับแต้มกุศลที่เราได้รับอีกด้วย! นี่มันไม่เคยเห็นมาก่อน!”
วางแผนและคิดกลยุทธ์ – 50,000 แต้มกุศล
นำทัพ – 20,000 แต้มกุศล
สร้างทางหลวงสายแรกของยมโลก – 100,000 แต้มกุศล
พิชิตนครชฺวีฟู่ – 30,000 แต้มกุศล
ได้รับความไว้วางใจจากเหล่าประชากร – 100,000 แต้มกุศล
จดบันทึกลงในพงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่ (ยังคงดำเนินการ) ระยะเริ่มต้น – 50,000 แต้มกุศล
ผู้ตรวจราชการมณฑลคนแรก (ยังคงดำเนินการ) ระยะเริ่มต้น – 20,000 แต้มกุศล
มันอยู่แยกออกเป็นทั้งหมดหกรายการ และฉินเย่ก็อ่านทุกอย่างจนจบภายในชั่วพริบตา จากนั้นเขาก็เริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมด
“ส่วนที่ได้แต้มกุศลมากที่สุดก็คือการสร้างทางหลวงของชาติ รวมไปถึงการได้รับความไว้วางใจจากฝูงชน” เขาไล่นิ้วไปตามราวบันไดขณะที่เอ่ยออกมาเบาๆ “การสร้างทางหลวงของชาติเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูยมโลกให้กลับสู่ยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ในอดีต เพราะอย่างไรแล้ว การเคลื่อนไหวดังกล่าวก็เป็นสัญลักษณ์ของการเตรียมพร้อมที่ยมโลกแห่งใหม่จะก้าวเข้าสู่โลกใต้พิภพอีกครั้ง แต้มกุศล 100,000 นั้นสมเหตุสมผลแล้วสำหรับความสำคัญของมัน นอกจากนี้ ความสำเร็จดังกล่าวยังระบุไว้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า ‘สายแรก’ ซึ่งนั่นหมายความว่าครั้งต่อไปคงไม่มีทางที่เขาจะได้แต้มกุศลมากเท่านี้อีกแล้ว”
“ในอีกด้านหนึ่ง การได้รับความเชื่อใจจากประชาชนอาจจะไม่ใช่วิธีการที่สามารถเอาแน่เอานอนได้นัก นครเผิงชิวมีจำนวนประชากรอยู่ถึง 20 ล้านตน แต่แต้มกุศลที่ได้กลับมีเพียง 100,000 เท่านั้น นอกจากนี้ การพัฒนาในอนาคตภายในซานตงอาจจะไม่นับว่าเป็นความสำเร็จด้วยซ้ำ ดูจากการที่เราได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ตรวจราชการมณฑลแล้ว” เขาขมวดคิ้วยุ่ง “แต่…มณฑลอันฮุ่ยล่ะ?”
“เราสามารถบรรลุข้อจำกัดสำหรับการประสบความสำเร็จในการได้รับความเชื่อใจจากเหล่าประชาชนของที่นั่นได้อย่างหรือไม่? อืม…บางทีเราควรจะให้โนบูนางะลองดูแทน…อย่างไรก็เถอะ! ด้วยจำนวนประชากรที่มากเกินไปของนครเผิงชิวในเวลานี้ บางทีมันอาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะอพยพประชากรจำนวนหนึ่งไปยังมณฑลอันฮุ่ยแทน แต่…พวกเราจะสามารถส่งกองกำลังเพื่อคุ้มกันพวกเขาในตอนเดินทางกลับได้อย่างนั้นหรือ? สิ่งที่ต้องจ่ายอาจมีมากกว่าผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่เราก็คงจะขอเกล็ดจากตี้ทิงเพื่อใช้วิชาเคลื่อนย้ายจักรวาลไม่ได้แน่ อีกฝ่ายคงจะตบหน้าเราทันที!”
สงครามได้เปิดมุมมองใหม่ๆให้กับเขา และเขาก็พบว่าแท้จริงแล้วมันมีหนทางมากมายที่จะเพิ่มแต้มกุศลให้กับตัวเองเพื่อเลื่อนขั้น!
เขายังมองเห็นภาพไม่ชัดเจนนักว่าตัวเองต้องทำสิ่งใดเพื่อให้ได้แต้มกุศลมาเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขามีสมมติฐานมากมายที่จะต้องทดลอง แต่อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าการหาแต้มกุศล 5 ล้านแต้มสำหรับการเลื่อนขั้นไปสู่ขั้นฝู่จวินของเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่ควาฝันอีกต่อไป!
ขั้นฝู่จวิน… เขาจะกลายเป็นหนึ่งในกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของยมโลกหากไม่นับรวมตี้ทิง!
เมื่อเขาขึ้นเป็นขั้นฝู่จวิน… แม้ว่าเขาจะเป็นขั้นฝู่จวินที่ขี้ขลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก เขาก็ยังทรงพลังมากพอที่จะเป็นเทพแห่งความตายสำหรับนครขนาดเล็กแห่งหนึ่ง!
และเมื่อเขาไปถึงจุดนั้น มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกหรือที่จะบรรลุขึ้นเป็นขั้นพระยม?
“ไม่! ใจเย็นๆ…ใจเย็นก่อน!” เขาตะโกนบอกตัวเองเพื่อให้สงบใจลง ก่อนจะหันไปอ่านข้อความสองบรรทัดสุดท้ายบนบันทึกนรก
ไม่มันค่อนข้างชัดเจนว่าแต้มสุศลของเขานั้นมาจากที่ใดในสองสามบรรทัดแรก แต่บรรทัดหลังๆกลับดูเหมือนว่าจะมีความหมายแฝงบางอย่างซ่อนอยู่!
“หากการคาดเดาของเราถูกต้อง…นี่อาจจะเป็นคำสละสลวยที่ใช้สำหรับการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงความสำเร็จภายใต้สวรรค์ให้เป็นแต้มกุศล…และมันก็อาจจะเป็นวิธีที่สุดในการที่จะได้แต้มกุศลอีกด้วย!”
Comments