กระบี่จงมา 934.3 ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา (สาม)
ต่อมาผู้เฒ่าก็สะบัดชายแขนเสื้อ เอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เสียดายหรือไม่?”
ชิงถงไม่รู้ว่าเฉินผิงอันเสียดายหรือไม่ แต่ตนกลับรู้สึกเสียดายแทนเขาอย่างมาก
คุณความชอบใหญ่เท่าฟ้าดินเช่นนี้ แทบจะเติมน้ำหมึกเข้มๆ ลงบนสมุดคุณความชอบของศาลบุ๋นได้หน้าหนึ่งเต็มๆ เลย!
เอาไปทำการค้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำได้อีกกี่มากน้อย?
เฉินผิงอันตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ยังดี”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “การค้าสำเร็จ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ส่งแขกแล้ว”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสอย่าลืมเอาคุณความชอบครึ่งหนึ่งส่งต่อไปให้นครบินทะยานของใต้หล้าห้าสีด้วย ข้าแค่ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่ง กำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งหนึ่งกลับไม่ได้เป็นของข้า”
“สมเหตุสมผลดีแล้ว”
กระทั่งบัดนี้ผู้เฒ่าถึงได้มีสีหน้าอ่อนโยนเมตตาขึ้นกว่าเดิม ไม่ปกปิดแววตาชื่นชมของตัวเองแม้แต่น้อย “ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องเล็กของชุยฉานและฉีจิ้งชุน”
ชิงถงมีสีหน้าอึ้งค้างไปอีกรอบ
ทั้งสองคนคุยกันไม่รู้สึกเปลืองแรง แต่ข้าที่เป็นคนฟังอยู่ด้านข้างกลับรู้สึกเหนื่อยใจมากนะ
ผู้เฒ่าถึงกับสะบัดชายแขนเสื้อ ประสานมือคารวะคนหนุ่ม
เฉินผิงอันจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ประสานมือคารวะผู้เฒ่ากลับคืน
เฉินผิงอัน มาเยือนวันที่ห้าเดือนห้า
ส่วนผู้เฒ่าคนนี้ กลับจากไปวันที่ห้าเดือนห้า
ทั้งสองฝ่ายพบเจอกันที่ทะเลสาบซูเจี่ยน
แผ่นหลังของอาจารย์และเหล่าปราชญ์ผู้ล่วงลับค่อยๆ เดินห่างไปไกลบนเส้นทาง
ทว่าคนผู้หนึ่งที่เคยมองเงาหลังของคนเหล่านั้นก็จะต้องกลายมาเป็นเงาหลังให้กับคนที่อายุน้อยกว่าได้มองดูเช่นเดียวกัน
หลังจากผู้เฒ่ายืดตัวขึ้นแล้วก็ตบไหล่เฉินผิงอัน สีหน้าอ่อนโยนเหมือนผู้ใหญ่ในตระกูลที่มองผู้เยาว์ที่ได้ดิบได้ดีของตัวเอง เอ่ยเสียงเบาว่า “ได้รับการสั่งสอนอบรมที่ดี”
เฉินผิงอันยืดเอวขึ้นตรง ริมฝีปากขยับน้อยๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ว่าดวงตาเป็นประกาย พยักหน้ารับเงียบๆ
ทางฝั่งของต้นอู๋ถง
เฉินผิงอันที่นั่งขัดสมาธิลืมตาขึ้น พรูลมหายใจยาวเหยียด
เสี่ยวโม่รีบเก็บกายธรรมล่องลอยที่มีปราณกระบี่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวลงไปทันที ถามเสียงเบาว่า “คุณชาย สบายดีใช่ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ถือว่าราบรื่นมากแล้ว”
ศิษย์พี่ชุยฉานเคย ‘ยืมตัวอักษร’ จากคนอื่น
หนึ่งในนั้นคือคำว่า ‘ภูเขา’ ตอนอยู่สวนกงเต๋ออาจารย์บอกว่านั่นคือตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของผู้อำนวยการใหญ่สถานศึกษาหลี่จี้
ถ้าอย่างนั้นอักษรคำว่า ‘น้ำ’ อยู่ที่ไหน?
แม้ว่าอาจารย์จะไม่เคยพูดถึง แต่เฉินผิงอันกลับเดาได้นานแล้ว
แน่นอนว่าต้องเป็นผู้อาวุโสที่สถานประกอบพิธีกรรมอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน เคยเขียนบท ‘เวิ่นเทียน’ (ถามฟ้า) ผู้นี้แล้ว
ดังนั้น ‘ธูปใจ’ ของผู้อาวุโสท่านนั้นจะเป็นธูปน้ำดอกหนึ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในฟ้าดิน
อันที่จริงผู้อาวุโสและผู้เยาว์ต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ยเป็นคำพูด
เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องบอกชิงถง
ชิงถงรีบเก็บจิตหยางกายนอกกายมาทันที หลังจากกลับคืนสู่ร่างจริงแล้วก็ยืดแขนบิดขี้เกียจ “คุณความชอบครบสมบูรณ์ ในที่สุดก็ปิดงานได้แล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังไม่จบเรื่องเลยนะ”
ชิงถงนอนหงายทิ้งตัวไปด้านหลัง อันที่จริงก็ได้เตรียมใจมาก่อนแล้ว ภูเขาสายน้ำต้องแอบอิงกัน
ไม่มีเหตุผลที่เฉินผิงอันจะทำการค้ากับแค่เทพวารี ยังมีเทพภูเขาอีกนะ
ชิงถงมองฟ้าอย่างเหม่อลอย สายตาฉายแววไม่พอใจ ร้องโอดครวญว่า “อย่างเจ้านี่เรียกว่าถ้าไม่ทำก็ไม่ทำ พอได้ทำก็ทำถึงที่สุดโดยไม่ยอมฟังอีร้าค่าอีรมหรือไม่?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สิบนิ้วสอดประสาน ยืดเส้นยืดสาย เอ่ยว่า “พวกเราสามารถพักผ่อนกันก่อนสักครู่หนึ่งได้”
อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เฉินผิงอันก็เดินถอยหลังโดยหันหน้าเข้าหาต้นอู๋ถง
ดวงจันทร์ห้อยแขวนอยู่บนกิ่งต้นอู๋ถง ลมพัดต้นไม้โบราณฟ้าครามฝนตก แสงจันทร์สาดส่องบนทะเลทรายราบเรียบ ค่ำคืนฤดูร้อนน้ำค้างเกล็ดหิมะแข็ง
เสี่ยวโม่เห็นว่าคุณชายของตนอารมณ์ไม่เลวก็มีสีหน้าดีๆ ให้ชิงถงได้เห็นบ้าง
เฉินผิงอันเดินก้าวถอยหลังอย่างเนิบช้า ยิ้มเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เจอหย่างจื่อ ได้ยินมาเรื่องหนึ่ง นางบอกว่าป๋ายจิ่งที่มีฉายามากมายผู้นั้นชอบเจ้า”
เห็นแก่ที่ชิงถงพูดจาทวงความเป็นธรรมให้ตอนอยู่ในป๋ายอวี้จิงจำลอง เฉินผิงอันก็จะไม่ทำตัวขี้ฟ้องแล้ว
เสี่ยวโม่เขินอาย พลันรู้สึกหัวโตเท่ากระด้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าของคนที่ไม่อยากหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยสัพยอกว่า “มีอะไรให้ต้องลำบากใจกัน ไม่สู้เอาอย่างพวกพ่อครัวเฒ่า เซียนกระบี่ใหญ่หมี่ โจวอันดับหนึ่งให้มาก”
เสี่ยวโม่ส่ายหน้า “อาจารย์จูเคยบอกว่ามีเพียงคนรักเดียวใจเดียวเท่านั้นที่มีเสน่ห์ที่สุด พูดคำเดียวก็ปลุกให้คนในฝันตื่นขึ้นมาได้ ดังนั้นสำหรับเรื่องความรักชายหญิงแล้ว เอาอย่างใครก็ไม่สู้เอาอย่างคุณชาย”
ชิงถงพลันเกิดการตระหนักรู้อย่างหนึ่ง หรือว่านี่ก็คือขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่ว?
เฉินผิงอันเริ่มฝึกเดินนิ่งหกก้าวแบบเดินถอยหลัง สองมือยื่นออกมาจากชายแขนเสื้อทำมุทรากระบี่ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิง ข้าได้เม็ดกระบี่ที่ระดับขั้นสูงมากมาเม็ดหนึ่ง เป็นเซียนเจินผู้บรรลุมรรคาท่านหนึ่งของมหาบรรพตประจิมในยุคโบราณที่หลอมขึ้นมาอย่างตั้งใจ เจ้าลองดูก่อนว่าเหมาะกับเจ้าหรือไม่ หากเหมาะกับเจ้าก็เอาไป ไม่เหมาะกับเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเหมาะจะมอบให้ใคร? ใช่แล้ว เม็ดกระบี่มีชื่อว่า ‘หนีวาน’”
ภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาเซียนตู ดูเหมือนว่ามีคนมากมายเหลือเกินที่สามารถหลอมเม็ดกระบี่เม็ดนี้ได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงค่อนข้างลำบากใจ
อันที่จริงเฉินผิงอันก็มีใจที่เห็นแก่ตัว ในทางส่วนตัวแล้วเขาค่อนข้างโน้มเอียงไปทางกวอจู๋จิ่วผู้เป็นลูกศิษย์มากกว่าใคร
เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าจะเหมาะสมหรือไม่ โชคดีที่มีเสี่ยวโม่คอยช่วยตรวจสอบให้ คราวหน้าก็ค่อยตัดสินใจอีกที
ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ บางทีเมื่อเห็นการกระทำของเฉินผิงอันที่กระทำลงไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว คนส่วนใหญ่อาจจะคิดไปถึงตำแหน่งอิ่นกวาน ร้านเหล้า ป้ายสงบสุข หนิงเหยา คฤหาสน์หลบร้อน…
แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากไม่พูดถึงผลลัพธ์ พูดถึงแค่ประสบการณ์บนเส้นทางหัวใจตลอดเวลาหลายปีนั้น รสหวานรสขมมีแต่เขาที่รู้ดี ไม่เคยบอกกล่าวให้ใครรับรู้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงซาบซึ้งในตัวแม่นางน้อยที่ปีนั้นช่วยตีฆ้องตีกลองเดินไปบนกำแพงให้กำลังใจตนอย่างมาก
ทำให้ไพล่นึกไปถึงความเจ้าแง่แสนงอนระหว่างกวอจู๋จิ่วกับเผยเฉียน
ระหว่างที่พูดคุย กล่องกระบี่เล็กจิ๋วใบนั้นก็พุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อของเฉินผิงอัน นอกจากนี้ยังมีตัวอักษรสีทองร้อยเรียงกันอีกหนึ่งแถว
เสี่ยวโม่ยื่นมือไปรับกล่องกระบี่และอักขระยันต์พวกนั้นมา กวาดตามองตัวอักษรทีหนึ่งก็ไม่มองมากอีก พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอข้าดูเม็ดกระบี่สักหน่อย”
คำว่าเม็ดกระบี่ที่อยู่ในกล่องกระบี่ อันที่จริงก็คือแสงกระบี่สีดำสนิทที่เล็กบางเส้นหนึ่ง
เสี่ยวโม่ใช้สองนิ้วคีบแสงกระบี่เส้นนั้นขึ้นมา เพ่งสมาธิพิศมองอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าเอ่ยว่า “คุณชาย ของสิ่งนี้สำหรับข้าแล้วคือซี่โครงไก่ ไม่เหมาะสม ดูจากตอนนี้ ทางที่ดีที่สุดควรมอบให้กับผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ยังขาดวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุดิน แม้ว่าผู้ฝึกลมปราณที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็สามารถหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้เหมือนกัน ทำให้กลายมามีสถานะเหมือนเป็นผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัว เหมือนคุณชายในอดีต แต่ถึงอย่างไรการกระทำนี้ก็ยังค่อนข้างเสี่ยงอันตราย ยากที่จะทำได้ถึงขั้นที่จิตแห่งมรรคาและจิตแห่งกระบี่สอดคล้องเชื่อมโยงกันอย่างรู้ใจ เพราะหลอมเม็ดกระบี่เม็ดนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการหลอมกระบี่เท่านั้น ยังเหมือนการสืบทอดระบบอย่างหนึ่งที่ควันธูปบางเบาด้วย เกรงว่าคนที่หลอมกระบี่ยังต้องไปเยือนถ้ำสถิตที่เจินเหรินผู้นั้นอยู่อาศัยครั้งหนึ่ง นี่หมายความว่าผู้ฝึกตนมีคุณสมบัติเช่นไร ไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่โชควาสนาต่างหากถึงจะมาเป็นอันดับหนึ่ง”
เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน”
เสี่ยวโม่กล่าว “ข้าจะช่วยเก็บกล่องกระบี่ไว้ให้คุณชายก็แล้วกัน”
หากว่ามีเรื่องไม่คาดฝันอะไร ตนก็จะจัดการให้ได้
เฉินผิงอันเองก็ไม่ปฏิเสธ เดินนิ่งก้าวถอยหลังต่อไป
ชิงถงใช้เสียงในใจแอบถามว่า “เฉินผิงอัน ป๋ายจิ่งผู้นั้น นางคือผู้ฝึกกระบี่ที่หาได้ยากมากเลยนะ นางเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบเหมือนกับเสี่ยวโม่! หากว่าสามารถให้เสี่ยวโม่หลอกนางมาที่นี่ได้ จากนั้นสองใต้หล้าได้เกื้อกูลกันและกัน ก็จะได้เพิ่มคุณความชอบอีกอย่างหนึ่งลงบนสมุดคุณความชอบของศาลบุ๋นแล้ว!”
เฉินผิงอันโมโหจนถลึงตากว้าง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “บ้าน่ะสิ!”
เพียงแต่เฉินผิงอันก็เก็บสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยว่า “ความหวังดีรับไว้แล้ว เพียงแต่คราวหน้าอย่าออกความเห็นส่งเดชอีก”
ชิงถงคับแค้นใจจึงไม่พูดไม่จา
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจอธิบายว่า “เจ้าคิดว่าอาจารย์ป๋ายจะนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เสี่ยวโม่ไปเจอกับป๋ายจิ่งจริงๆ หรือ? หากเสี่ยวโม่ไปเยือนเปลี่ยวร้าง ไม่ระวังให้ดีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะได้กลับคืนมายังไพศาล”
ชิงถงที่เพิ่งรู้สึกตัวภายหลังพลันขนลุกขนพองทันใด
ความน่ากลัวของป๋ายเจ๋อ…ชิงถงไม่กล้าคิดไปมากกว่านี้
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “ทุกเรื่องล้วนต้องวางแผนจากในจุดที่เลวร้ายที่สุดเสมอ ต้องค่อยๆ คิดอย่างรอบคอบรัดกุม ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ส่วนทุกอย่างต่อจากนั้นล้วนสามารถมองเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นทีละเล็กทีละน้อยได้”
ชิงถงใคร่ครวญอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง “ดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
ตรงราวระเบียง
หลวี่เหยียนเอ่ยว่า “ดูเหมือนสหายชิงถงจะยังมึนงงไม่เข้าใจอยู่ดีว่า เดิมทีนี่ก็คือการปกป้องมรรคาและถ่ายทอดมรรคาที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครองครั้งหนึ่ง”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์พยักหน้ายิ้มเอ่ย “ก็ต้องดูว่าเมื่อไหร่ที่สหายชิงถงของพวกเราผู้นี้ความโชคดีจะมาเยือนทำให้สติปัญญาได้เปิดกว้างแล้ว”
หลวี่เหยียนถาม “คุณความชอบที่กระจายออกไปในป๋ายอวี้จิงจำลอง มีจำนวนไม่น้อย หลังจบเรื่องทางฝั่งศาลบุ๋นจะไม่…?”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่มีทางชดเชยอะไรให้เฉินผิงอันเพิ่มเติม ประโยคที่ว่า ‘กินข้าวร่วมโต๊ะ ต่างคนต่างถือถ้วย’ ของโจวจื่อ คำพูดไม่น่าฟัง แต่เหตุผลกลับถูกต้อง”
หลวี่เหยียนพยักหน้า ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็เป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อตามระบบสายบุ๋นที่ถูกต้อง การใช้จิตเดินทางในความฝันครั้งนี้ บอกว่าเป็นการทำการค้า แต่อันที่จริงยังเป็นการกระทำของบัณฑิต
อาจารย์ผู้เฒ่าเรือนกายสูงใหญ่ท่านนี้ลูบหนวดยิ้มบางๆ “คนที่เข้าใจข้ารู้ความกังวลในใจข้า คนที่ไม่เข้าใจข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าต้องการอะไร”
หลวี่เหยียนพลันเอ่ยว่า “หากผินเต้าจำไม่ผิด ทุกวันนี้เฉินผิงอันยังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งนักปราชญ์กระมัง? เหวินเซิ่งไม่ได้พูดอะไรบ้างหรือ?”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์หัวเราะเสียงดัง “เรื่องของการปกป้องคนกันเอง ในศาลบุ๋นไม่มีใครเชี่ยวชาญเท่าซิ่วไฉเฒ่าอีกแล้ว คอยดูเถอะ ต้องมีวันที่ซิ่วไฉเฒ่าอดรนทนไม่ไหวแน่ ถึงเวลานั้นก็จะวางท่าว่าตัวเองเตือนปากเปียกปากแฉะด้วยความหวังดี ยกเอาหลักการเหตุผลออกมาเป็นกระบุงโกย คนอื่นจะเถียงก็เถียงไม่ชนะ ฟังแล้วรำคาญหูไม่น้อย แต่ไม่ฟังก็ไม่ได้อีก”
หลวี่เหยียนยิ้มอย่างเข้าใจ “น่าเสียดายที่ไม่เคยไปฟังการประชุมที่ศาลบุ๋น”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์เอ่ย “เรื่องนี้ง่ายเลย ข้าจะแจ้งให้หลี่เซิ่งทราบสักคำ จะจัดให้สหายฉุนหยางนั่งอยู่ข้างซิ่วไฉเฒ่าเลย เป็นอย่างไร?”
หลวี่เหยียนส่ายหน้า “อย่าดีกว่า”
เฉินผิงอันหยุดเดิน เดินก้าวเดียวกลับมาที่เดิม นั่งกลับลงไปอีกครั้ง เอ่ยว่า “ออกเดินทางกันต่อ”
ชิงถงถอนหายใจ “ช่างมีชะตากรรมที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจริงๆ”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายชิงถงพูดว่าอะไรนะ? ข้าได้ยินไม่ชัด พูดอีกรอบสิ”
ชิงถงสีหน้าแข็งทื่อ “ไม่มีอะไร”
เฉินผิงอันหลับตาลง สองมือวางทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง
เชิญทุกท่านเข้าสู่ความฝันอีกครั้ง
ขอยืมหมื่นขุนเขาหนาหนักจากท่านทั้งหลาย
ความคิดล่องลอย หกประสาทข้ามผ่านลำน้ำมหาสมุทร ผูกความคิดนึกถึงมหาบรรพต ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา
——
Comments