ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตาบทที่ 657 ลู่ปู้ฝานมาถึง
บทที่ 657 ลู่ปู้ฝานมาถึง
บทที่ 657 ลู่ปู้ฝานมาถึง
เหนือบัลลังก์อันสง่างาม มหาจักรพรรดินีเหยาจี ทรงสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง วิญญาณเทวะที่เคียงข้างกู้ชิงหรันก็พลันหายวับไปในชั่วพริบตา
ภายในโถง ตอนนี้ก้องกังวานไปด้วยเสียงเปี่ยมล้นด้วยรัศมีของมหาจักรพรรดินีเหยาจี “น้องหญิงของข้าใกล้จะฟื้นแล้ว หากกระบี่ไท่อีไม่อยู่ น้องหญิงคงจะเสียใจเป็นแน่”
ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของสตรีผู้ยืนอยู่ไม่ไกลก็ยิ่งแฝงไปด้วยความดูแคลน นางละสายตาจากตำแหน่งเดิม ก่อนจะหันไปจ้องมองยังผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์แทน
เบื้องหน้าของนางคือ มหาจักรพรรดินีเหยาจีประทับอยู่บนบัลลังก์อันโอ่อ่า รอบกายเปล่งประกายรัศมีแห่งมหาจักรพรรดิออกมาเป็นระลอก คลื่นพลังกดดันแผ่ซ่าน สะท้อนถึงรัศมีอันสูงส่ง
ทว่าสตรีนางนั้นไม่ได้หวั่นไหวต่อกระแสพลังกดดันแม้แต่น้อย นางเพียงจ้องมองอย่างไม่แยแส ดวงตาทอประกายความแน่วแน่ มั่นคง ดุจราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่
“เช่นนั้นรึ? มหาจักรพรรดิแห่งแดนเซียนผู้สูงส่ง ตอนนี้กลับยอมลดตัวเป็นเบี้ยล่างทำทุกวิถีทาง เพียงเพื่อผู้ที่ไม่อาจบรรลุถึงขั้นมหาจักรพรรดิได้ เช่นนั้นรึ?”
“เหยาจี ท่านช่างเป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ มีวิสัยทัศน์และทรงอำนาจยิ่งนัก!”
คำพูดของนางแฝงไปด้วยถ้อยคำเสียดสี ประหนึ่งต้องการเหยียบย่ำ มหาจักรพรรดินีเหยาจีให้ตกต่ำไร้ค่า
“แดนเซียนแห่งนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่วัดกันที่ความแข็งแกร่ง เหตุใดเจ้าจึงไม่เสียสละบัลลังก์มหาจักรพรรดิให้แก่เทพธิดาแห่งสงครามเสีย ให้พระนางขึ้นครองราชย์ปกครองแดนเซียนนี้เล่า!”
“เหตุใดเจ้าจึงยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นนี้ หรือว่าไม่ต้องการ หรือแท้จริงแล้วถือเอาสตรีที่เจ้าเรียกขานว่าศิษย์พี่ผู้นั้นเป็นเพียงเครื่องมือในการไต่เต้าเท่านั้น”
มหาจักรพรรดินีเหยาจียังคงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ พลังปราณก่อกำเนิดรังสีแผ่ออกไปทั่วทั้งโถง สายตาจับจ้องไปที่สตรีผู้นั้นอย่างไม่คลาดเคลื่อนเพียงพริบตาเดียว รัศมีแห่งผู้ยิ่งใหญ่ก็แผ่ปกคลุมร่างของนาง บีบอัดนางจนใบหน้าซีดเผือด ดวงตาทั้งสองเบิกโพลงปากเม้มแน่นด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
มหาจักรพรรดินีเหยาจีกวาดสายตาไปทั่ว ทั้งโลกพลันถูกห่อหุ้มด้วยรัศมีแห่งมหาจักรพรรดิ ร่างของสตรีผู้นั้นพลันสลายหายไปในความว่างเปล่า
กู้ชิงหรันไม่ได้ขยับแม้แต่ขนตา
การที่แดนเซียนส่งคนไปรับนางกลับมายังสถานที่แห่งนี้ ล้วนเป็นความต้องการของนางเอง!
หากไม่ใช่ความต้องการของนาง คงไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้เพียงลำพัง หรือแม้กระทั่งทิ้งลู่หยวนไปไกลแสนไกล ปล่อยให้สายใยที่เชื่อมต่อระหว่างนางกับเขาขาดสะบั้นลง
การกลับมายังแดนเซียนนับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับกู้ชิงหรัน เพียงแต่ ณ เวลานี้นางกำลังใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนว่าจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์บีบบังคับนี้ พลิกผันสถานการณ์ และจัดการทุกอย่างให้ลุล่วงได้อย่างไร
ทันใดนั้น สายตาอันเฉียบคมที่ราวกับจะปลิดชีพผู้คนจากบัลลังก์ก็จับจ้องมาที่กู้ชิงหรัน เสียงทรงอำนาจดังกึกก้อง “เทพธิดาแห่งสงคราม ใกล้จะฟื้นคืนชีพแล้ว ในเมื่อเจ้ากลับมายังแดนเซียนแล้วก็จงทำตามที่ได้กล่าวไว้รีบไปซ่อมแซมวิญญาณเทวะและเฝ้าอยู่เคียงข้างเทพธิดาแห่งสงครามโดยเร็ว”
เสียงนี้ทรงอำนาจยิ่งนัก ยิ่งใหญ่กว่าพลังวิญญาณเทวะที่นางใส่ลงไปใน แผ่นดินหยวนหงเสียอีก บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นคำสั่งที่ไม่อาจขัดขืนได้
กู้ชิงหรันรู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะแดนเซียนและแผ่นดินหยวนหงยังคงมีช่องว่างขวางกั้น มหาจักรพรรดินีเหยาจีคงลงมาบีบบังคับนางแล้ว
“รับทราบ”
กู้ชิงหรันไม่ได้เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่รับคำ จากนั้นร่างของนางก็สั่นไหวไปชั่วครู่ ก่อนจะอันตรธานหายไปจากตำแหน่งเดิม
ภายในโถงใหญ่ เหลือเพียงมหาจักรพรรดินีเหยาจีเพียงผู้เดียว
นางเปลี่ยนอิริยาบถ เอนกายลงบนพระแท่น มือข้างหนึ่งในแขนเสื้อกำก้อนหยกแน่น
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า ก้อนหยกนั้นแผ่ออกมาซึ่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ แม้เพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะบีบบังคับให้ผู้คนมากมายคุกเข่าลง
มหาจักรพรรดินีเหยาจีหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใด มือของนางขยับเล็กน้อย เก็บก้อนหยกนั้นอย่างระมัดระวัง
พลังของนางในฐานะมหาจักรพรรดินั้นยังไม่เพียงพอ หากไม่มีก้อนหยกนี้ นางคงไม่สามารถควบคุมผู้คนมากมายเช่นนี้ได้
แต่ในเมื่อทุกสิ่งดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ความกังวลในอดีตที่นางเคยมีในฐานะมหาจักรพรรดิก็ทิ้งไปได้ทั้งหมดแล้ว!
เพราะนางมีเทพธิดาแห่งสงครามอยู่ในมือ โอกาสที่จะเหนือกว่ามหาจักรพรรดิองค์อื่นย่อมมีมากกว่ามาก
ท่ามกลางโอกาสเช่นนี้ นางสามารถฉวยโอกาส เผยไพ่ตายทั้งหมดที่มี เพื่อค้นหาความเป็นไปของกฎเกณฑ์สวรรค์!
มหาจักรพรรดินีเหยาจีปล่อยจินตนาการโลดแล่น ริมฝีปากเผยรอยยิ้ม พราวพร่างราวกับว่านางได้สัมผัสกฎเกณฑ์สวรรค์กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือผู้ใด
…
ณ ขณะนั้น นอกเกาะสังหารเซียน
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งปรากฏกายขึ้นบนเกาะสังหารเซียน บุคคลแรกสวมชุดผ้าป่านสีขาวยืนกอดอก หล่อเลี้ยงกระแสลมปราณรอบกาย แสดงออกถึงอำนาจอันหยิ่งผยองเหนือโลก
อสูรร้ายที่แบกลู่หยวนและคนอื่น ๆ จากน่านน้ำมืดมายังเกาะสังหารเซียน ตอนนี้ยังคงหลับตาพักผ่อนอยู่ริมชายฝั่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสลมปราณของคนกลุ่มนี้ มันจึงลืมตาขึ้น
ดวงตาของมันมองเห็นกลุ่มคนเหล่านั้น
ทันใดนั้น ดวงตาของอสูรร้ายเบิกกว้างแสดงท่าทีนอบน้อม
ลู่หยวน?!
แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะสวมเสื้อผ้าต่างจากลู่หยวน แต่ใบหน้านั้นช่างละม้ายคล้ายคลึงกับลู่หยวน!
ทว่าเพียงพริบตาเดียว ร่างกายที่แข็งทื่อของอสูรร้ายก็คลายลง มันฉวยโอกาสที่คนเหล่านั้นกำลังสนทนาลับ ๆ กันอยู่ แล้วย่องลงไปในน้ำ ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
มันเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นแวบแรกก็รู้สึกว่าเขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับลู่หยวนไม่มีผิดเพี้ยน
แต่เมื่อมองดูอีกสองสามครั้ง อสูรร้ายก็รู้ว่า นี่ไม่ใช่ลู่หยวน!
ลู่หยวนผู้นั้นมีจิตวิญญาณแห่งความโอหัง ทว่าบุรุษตรงหน้าผู้นี้กลับยิ่งกว่านั้นหลายส่วน
บุรุษผู้นี้มีพลังที่เก็บซ่อนไว้ภายใน รัศมีที่แผ่ออกมานั้นให้ความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
กล่าวโดยสรุป อสูรร้ายมั่นใจมากว่านี่ไม่ใช่ลู่หยวน!
ทันทีที่ดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้ง อสูรร้ายก็นึกคำหนึ่งขึ้นมาได้ เพื่อบรรยายถึงบุรุษที่มีใบหน้าเหมือนลู่หยวนผู้นี้
นั่นคือ ความรู้สึกเย็นยะเยือกและโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากก้นบึ้งของกระดูก
ณ เกาะสังหารเซียน
หลายคนติดตามบุรุษผู้เป็นหัวหน้ามา เบื้องหลังล้วนแต่ภักดี ยอมให้ผู้นำชี้เป็นชี้ตาย
“ถึงแล้ว”
ผู้นำเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความรู้สึก
บุรุษผู้นี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายลู่หยวน แท้จริงแล้วคือ ลู่ปู้ฝาน!
ส่วนคนอื่นไม่ได้เอื้อนเอ่ย เพียงเงียบฟัง
ได้ยินเพียงลู่ปู้ฝานกล่าวต่อ “ครั้งนี้ผู้มีฝีมือแห่งตระกูลลู่ของข้าล้วนมาชุมนุม พวกเจ้าคงเข้าใจ โอกาสนี้สำคัญเพียงใดแก่พวกเรา”
พวกเขาพลันยกมือขึ้น ในดวงตาลุกโชนด้วยแววตาแห่งความมุ่งมั่น
“ขอท่านบรรพชนโปรดวางใจ ที่ใดท่านชี้นำ ที่นั่นคือสมรภูมิที่ข้ายอมพลีชีพ!”
ลู่ปู้ฝานพยักหน้า “หลังจากนี้ ย่อมมีทั้งผู้อยู่รอดและผู้สละชีพ จงจดจำไว้ให้ดี”
ทุกคนต่างตั้งใจฟัง เกรงว่าตนจะพลาดแม้เพียงครึ่งคำ
ลู่ปู้ฝานหันหลังกลับ แล้วย้ำเตือนให้ทุกคนเงยหน้ามองเขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว!
“โอกาสในการก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ หรือแม้แต่การทำลายพันธนาการของโลกและก้าวไปสู่ที่สูงยิ่งขึ้น ล้วนอยู่ในนี้ พวกเจ้าต้องไต่ขึ้นไปให้ข้า แม้จะคลานก็ต้องคลาน!”
ลู่ปู้ฝานกล่าวทีละคำ สายตากวาดมองทุกคน
“หากวันหนึ่ง การขึ้นครองราชย์ ต้องแลกมาด้วยชีวิตของคนตระกูลลู่ พวกเจ้าก็ต้องบุกตะลุยไปจนตัวตาย!”
“แม้แต่ชีวิตของคนในตระกูล เมื่อเทียบกับความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลลู่แล้ว ก็ไม่สำคัญอะไร!”
Comments