สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 1099 ตอนพิเศษ (5)

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 1099 ตอนพิเศษ (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 1099 ตอนพิเศษ (5)

บทที่ 1099 ตอนพิเศษ (5)

ลู่ฉาวจิ่งได้รับข้อมูลที่ถูกต้องมาหนึ่งข้อมูลแล้ว

ชายแดนระหว่างอาณาจักรฮุ่ยกับอาณาจักรเฟิ่งหลิน

เขานึกภาพแผนที่ของทั้งสองอาณาจักรในใจ พยายามนึกถึงตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นไปได้ของหมู่บ้านสกุลหลิ่วแห่งนี้

อาณาจักรฮุ่ยกับอาณาจักรเฟิ่งหลินมีเขตแดนติดต่อกันหลายแห่ง ด้วยเกี่ยวพันถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองอาณาจักร กล่าวโดยทั่วไปแล้ว เขตแดนที่ติดต่อกันนั้นยากต่อการจัดการ หากไม่ระวังเพียงน้อยนิดอาจทำให้เหตุการณ์ลุกลามจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตกระทั่งกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรได้

“เจ้าเป็นอะไรไป?” ลู่ฉาวจิ่งเห็นหลิวจิ่วจู๋มีสีหน้าเป็นกังวลจึงเอ่ยถาม

“ที่บ้านไม่มีอาหารแล้ว” หลิวจิ่วจู๋เอ่ย “ข้าอยากนำตัวยาเข้าเมืองไปขาย แต่กังวลว่าคหบดีจางผู้นั้นจะสร้างความยุ่งยากให้”

“ข้าจะไปกับเจ้า”

“ขาของเจ้า…”

“ข้ารู้แล้ว เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ประเดี๋ยว” หลิวจิ่วจู๋เดินออกจากเรือนหลังเล็กไป ไม่รู้ว่าไปที่ใดแล้ว

ลู่ฉาวจิ่งคิดว่าในเมื่ออยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลเพียงนี้ ครอบครัวเขาคงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องกับเขาแล้ว เขาต้องส่งจดหมายกลับไปบอกครอบครัวว่าตนเองอยู่ที่ใด เช่นนี้ถึงจะทำให้ท่านพ่อท่านแม่วางใจ

หลิวจิ่วจู๋กลับมาแล้ว ด้านหลังนางมีหยางชิงซือตามมา ด้านหลังหยางชิงซือตามมาด้วยเด็กหนุ่มท่าทางซื่อ ๆ ผู้หนึ่ง

“พี่ใหญ่จง นี่คือสามีของข้า เขาไปด้วยได้หรือไม่?” หลิวจิ่วจู๋กล่าว “ตอนนี้ในมือข้าไม่มีเงิน รอข้ามีแล้วจะให้ท่าน”

“เพียงแค่นั่งเพิ่มอีกคน มีอะไรไม่ได้กัน?” สิ้นคำ หยางชิงซือก็หันไปมองจงซู่เกิน “อย่าลืมนะว่าชีวิตเจ้าเป็นย่าจิ่วจู๋ที่ช่วยเหลือ เพียงแค่ให้นางนั่งเกวียนของเจ้า คงไม่ได้จะไม่รับปากกระมัง?”

“แน่นอนว่าไม่” จงซู่เกินรีบร้อนกล่าว “เพียงแต่พรุ่งนี้คนไปตลาดเยอะมาก จำต้องรบกวนพี่ใหญ่ผู้นี้เบียด ๆ กับทุกคนหน่อยแล้ว”

“ขอบคุณ”

จงซู่เกินยิ้มอย่างใสซื่อออกมา

สามีของหลิวจิ่วจู๋ผู้นี้หน้าตาไม่ได้หล่อเหลา แต่กลับทำให้คนสัมผัสได้ถึงความสง่าผ่าเผยและสูงศักดิ์ เทียบกับนายน้อยจากสกุลผู้มั่งคั่งที่เขาเคยเห็น บุรุษผู้นี้ยังทำให้เขายำเกรงทำตัวไม่ถูกเสียยิ่งกว่า

วันต่อมา หลิวจิ่วจู๋พาลู่ฉาวจิ่งไปขึ้นเกวียนบริเวณปากทางของหมู่บ้าน

เมื่อชาวบ้านเห็นพวกเขา แต่ละคนล้วนมีสีหน้าพิลึกพิลั่น

คนในหมู่บ้านได้ยินมานานแล้วว่าสามีอัปลักษณ์ของหลิวจิ่วจู๋ไล่คหบดีจางไปอย่างไร ชาวบ้านต่างรู้วีรกรรมของเขา ทว่าน้อยคนนักที่จะได้เห็นเขากับตาตนเอง

ชาวบ้านที่ปกติมักจะพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจวันนี้กลับเงียบเป็นพิเศษ ไม่ก่อปัญหาใด ๆ ทุกครั้งที่จงซู่เกินขับเกวียนไปส่งท่านป้าเจ็ดแปดคนนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่จะจ่ายค่าโดยสารอย่างซื่อสัตย์ ทว่าคราวนี้ทั้งหมดกลับจ่ายค่าโดยสารแต่โดยดี

หลังลงจากเกวียน ด้วยความช่วยเหลือของจงซู่เกินกับหยางชิงซือ พวกเขาก็นำตัวยาไปที่ร้านขายยา

“สิบอีแปะ” เด็กขายยาเหลือบมองตัวยาในตะกร้า แล้วเอ่ยเสียงดังกระด้างกระเดื่อง

“คราวก่อนยังได้สิบห้าอีแปะอยู่เลย” หลิวจิ่วจู๋ว่าพลางขมวดคิ้ว “เหตุใดราคาต่ำกว่าเดิมเล่า?”

“ไม่ขายก็ออกไป ข้าบังคับให้เจ้าขายเสียเมื่อไหร่” เด็กขายยาหัวเราะเยาะหยัน

“จิ่วจู๋ ช่างเถิด…” หยางชิงซือเกลี้ยกล่อมนาง “ที่นี่มีร้านขายยาเพียงแห่งเดียวนะ”

หากไม่ขายให้พวกเขา เดิมทีก็ไม่มีที่อื่นให้ขายแล้ว

นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพวกเขาถึงมั่นอกมั่นใจเพียงนั้น

ผู้ใดไม่ปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้ ถึงตอนนั้นยังไม่ต้องมารับการรักษาจากพวกเขาได้หรือ? แน่นอนว่ายังมีหมอตำแยอย่างท่านย่าของหลิวจิ่วจู๋หรือท่านหมอเท้าเปล่า ทว่าทักษะทางการแพทย์กลับใช้ไม่ได้นัก ตัวยาก็ไม่ครบถ้วนดี

“สามร้อยอีแปะ” ลู่ฉาวจิ่งที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น

“ว่าอย่างไรนะ?” เด็กขายยามองเขาราวกับกำลังมองตัวโง่งม

หยางชิงซือกับคนอื่น ๆ ก็ดูประหลาดใจเช่นกัน

ลู่ฉาวจิ่งกระดิกนิ้วไปทางเด็กขายยา

เด็กขายยาเดินเข้ามาหาอย่างสงสัย “อย่าคิดว่าเพียงแค่พูดจาดี ๆ สองสามคำจะ…”

“โสมที่พวกท่านขายคนเมื่อครู่นั่นเป็นของปลอมกระมัง?”

ดวงตาของเด็กขายยาเบิกกว้าง ทว่าก็กลับมามีสีหน้าดังเดิมอย่างรวดเร็ว เขาจ้องมองลู่ฉาวจิ่งอย่างระแวดระวัง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“โสมคนอายุร้อยปี ท่านขายหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ไม่รู้ว่าหากเถ้าแก่ร่ำรวยอ้วนฉุผู้นั้นรู้ว่าเป็นของปลอม…”

“เจ้าพูดเรื่องเหลวไหลอะไร?”

“ท่านพูดดังขึ้นกว่านี้สักหน่อยก็ได้ เช่นนี้พวกเราก็ไม่ต้องกระซิบกระซาบแล้ว” ลู่ฉาวจิ่งกล่าวยิ้ม ๆ

หากเป็นเมื่อก่อน ตอนเขายิ้มเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะทำให้หญิงสาวหลอมละลายแทบตายมากน้อยเพียงใด

หากแต่ตอนนี้ กลับน่าสะพรึงกลัวอยู่หน่อย ๆ

“เจ้า… เจ้า… ไม่มีผู้ใดเชื่อคำพูดของเจ้าหรอก”

“เมื่อครู่ได้ยินมาว่าเถ้าแก่ผู้นั้นเปิดหอโคมเขียว”

สายตาของเด็กขายยาดูลุกลี้ลุกลน “สามร้อยอีแปะ เจ้าเอาไป”

“นี่สิจึงจะถูก แม่นางน้อยขุดสมุนไพรเหล่านี้ขึ้นมาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มิหนำซ้ำบนเขายังมีอันตรายมากมาย นางขึ้นลงเขาเพียงผู้เดียว เสี่ยงชีวิตเก็บสมุนไพรเหล่านี้มา ภายหลังยังต้องแปรรูปสมุนไพรเป็นตัวยาอีกถูกหรือไม่?”

หลิวจิ่วจู๋มองเหรียญทองแดงสามพวงในมือแล้วหันกลับไปมองลู่ฉาวจิ่ง “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับเขา? เหตุใดเขาจึงให้เงินมากมายเพียงนี้?”

“ตัวยาพวกนั้นของเจ้ามีราคาถึงสามร้อยอีแปะ” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “ถึงแม้ข้าจะไม่เข้าใจเรื่องยา แต่ก่อนหน้าก็สัมผัสมามาก ย่อมรู้ราคาอยู่บ้าง ภายหน้าเจ้าอย่าได้ขายถูกนัก มันไม่คุ้มค่า”

“เช่นนั้นเจ้าบอกอะไรเขา?” หยางชิงซือเอ่ยถาม “พวกเราดูอยู่ข้าง ๆ เห็นเพียงเจ้ากระซิบบางอย่าง ไม่เห็นเจ้าตีเขานี่นา!”

“อันที่จริงก็ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่บอกว่าจิ่วจู๋เก็บตัวยานี้มาไม่ง่าย เขาอย่าได้ทำเกินไป ไม่เช่นนั้นภายหน้าพวกเราจะไม่ขายให้เขาอีก”

“ที่แท้เด็กขายยาผู้นั้นบอกพวกเราว่าไม่ขายก็ออกไปเพื่อข่มขู่เราให้กลัว ดูเหมือนเขายังต้องการซื้อตัวยาของข้าอยู่” หลิวจิ่วจู๋เชื่อสนิทใจ

หยางชิงซือส่ายหัวไปมา

น้องสาวโง่งมผู้นี้หมดหนทางเยียวยาแล้วจริง ๆ

ทั้งเมืองมีเพียงร้านขายยาแห่งนี้แห่งเดียว จักมีนางมาขายตัวยาเพียงผู้เดียวได้อย่างไร?

ลู่ฉาวจิ่งหันกลับไปมองร้านขายยาแห่งนั้นแล้วกวักมือเรียกจงซู่เกิน “ในมือเจ้ามีคนหรือไม่?”

“คนอะไร?”

“พี่น้องที่ไว้วางใจได้”

“พอมีอยู่บ้าง” จงซู่เกินเอ่ย “มีอะไรหรือ?”

ลู่ฉาวจิ่งกระแอมเบา ๆ “ไว้ค่อยว่ากันทีหลัง”

จงซู่เกินไม่เข้าใจความนัยของลู่ฉาวจิ่งแม้แต่น้อยจึงตามพวกเขาไปด้วยใบหน้างงงวย

“จิ่วจู๋ เท้าของข้าปวดเล็กน้อยแล้ว อยากหาที่พักสักประเดี๋ยว”

“ข้างหน้ามีร้านเต้าฮวย เช่นนั้นให้ข้าเลี้ยงเต้าฮวยทุกคนเถอะ!” หลิวจิ่วจู๋ตอนนี้มีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว อย่างไรเสียนางก็มีเงิน

เก็บเงินจำนวนนี้ไว้เล็กน้อยก็เหลือเฟือสำหรับหนึ่งเดือนแล้ว

“ดีเลย!” ลู่ฉาวจิ่งกล่าว

หยางชิงซือเหลือบมองลู่ฉาวจิ่ง “เต้าฮวยถ้วยหนึ่งราคาสามอีแปะเชียวนะ!”

ลู่ฉาวจิ่งยกขาขึ้น “ข้าเดินไม่ไหวแล้วจริง ๆ”

“ชิงซือ เมื่อครู่สามีช่วยข้าได้มากเลย กะอีแค่เต้าฮวยถ้วยเดียว เหตุใดจะกินไม่ได้เล่า? เจ้าอย่าได้ดุเขานักเลย เขาจะกลัวเอาได้”

หยางชิงซือ “…”

กลัว?

นางหันกลับไปมองลู่ฉาวจิ่งอย่างทึ่ง ๆ

ลู่ฉาวจิ่งกะพริบตาปริบ ๆ “ข้ากลัวแล้วจริง ๆ เจ้าดุมาก”

หยางชิงซือสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันกลับไปมองจงซู่เกิน “ข้าดุหรือ?”

“ไม่ดุ ไม่ดุเลยแม้แต่น้อย” จงซู่เกินรีบตอบอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองคนเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่เติบใหญ่มาพร้อมกัน จงซู่เกินแต่ไรมาก็ไม่เคยกล้าขัดคำพูดของหยางชิงซือ

หยางชิงซือแค่นเสียงเย็น “เมื่อครู่เขากระซิบอะไรกับเจ้า?”

“ไม่มีอะไร” จงซู่เกินกะพริบตา “เพียงแค่ถามว่าข้าคุ้นเคยกับที่นี่หรือไม่ ข้าเติบใหญ่มาในหมู่บ้านสกุลหลิ่ว จะไม่คุ้นเคยกับที่นี่ได้อย่างไร?”

ทั้งสี่คนนั่งลงที่ร้านเต้าฮวย

“ข้ารู้สึกปวดท้องเล็กน้อย” ลู่ฉาวจิ่งเอ่ย “พี่ใหญ่จง ท่านช่วยพาข้าไปที่ห้องสุขาหน่อยได้หรือไม่?”

จงซู่เกินกำลังตักเต้าฮวยขึ้นมายังไม่ทันได้กินเลยสักคำ!

“ได้… กระมัง…” เขามองเต้าฮวยอย่างไม่อาจตัดใจ

เขาเติบใหญ่มาเพียงนี้เพิ่งเคยกินเต้าฮวยเพียงครั้งเดียวในชีวิต ครั้งที่สองเขาไม่อยากแยกจากมันไปจริง ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด