ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 729 สี่จุดสำคัญ
บทที่ 729 สี่จุดสำคัญ
เก่อเหวินเซวียนใจกระตุกวูบ พูดว่า
“แม่ทัพใหญ่ ท่านหมายความว่า…”
ชีก่วงป๋อยิ้มพูดว่า
“พิชิตใจคนเป็นหลัก!”
คำพูดเรียบง่ายประโยคเดียว คนฉลาดจำนวนไม่น้อยที่นี่เข้าใจความคิดของชีก่วงป๋อทันที
เป็นฝ่ายเริ่มเจรจาสันติ เพื่อฉกฉวยประโยชน์มากขึ้น ซ้ำยังชนะได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ
รอให้กองทัพพักผ่อนเสร็จ สยบเขตชิงโจว เสบียงอาหารและยุทธปัจจัยเข้าที่ ราชครูกลั่นหลอมโชคชะตาชิงโจว ค่อยฉีกสัญญาพันธมิตรขึ้นเหนือโจมตี
เป้าหมายใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ซ้ำยังเสริมพละกำลัง เพิ่มข้อได้เปรียบของฝ่ายตนได้อีก
จีเสวียนพยักหน้าเล็กน้อย
“บีบให้ต้าฟ่งอับจนหนทาง ย่อมต้องนำมาซึ่งการโจมตีตอบโต้อย่างบ้าระห่ำ ถึงเวลานั้นทัพเราก็จะบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์ นักล่าที่ชาญฉลาดย่อมรู้จักเมตตากรุณา
“ไม่มีโหราจารย์ ราชสำนักต้าฟ่งระส่ำระสาย พวกเราเสนอเจรจาสันติยามนี้ เท่ากับเมตตากรุณาเล็กน้อย ให้พวกเขาเห็นความหวัง สูญเสียความกล้าหาญในการต่อสู้
“ส่วนพวกเราใช้โอกาสนี้ฉกฉวยผลประโยชน์ ได้เงินได้เสบียง”
ฟังเขาอธิบาย นายทหารที่ตามไม่ทันพวกนั้นมองชีก่วงป๋อด้วยสายตาเคารพเลื่อมใสทันที
ในแผนการทางทหาร ยกทัพจับศึกกับสู้ตัวต่อตัวเป็นคนละเรื่องกัน ข้อหลังเพียงต้องระบายอารมณ์รุนแรง ข้อแรกถึงเป็นงานฝีมือ
ขณะที่ทุกคนยังตกอยู่ในภวังค์ความสุขที่ได้ขุดรากถอนโคนโหราจารย์และยึดครองชิงโจว แม่ทัพใหญ่คิดแผนยอดเยี่ยมตามสถานการณ์และใจคนแล้ว
เก่อเหวินเซวียนเริ่มจากแนวคิดของชีก่วงป๋อ คิดอะไรได้หลายอย่าง หัวเราะเยาะ
“นายน้อยจีเสวียน ต้องเอาเงินเอาเสบียงอยู่แล้ว แต่ไม่สู้เรียกร้องมากขึ้นสักหน่อย ยามนี้ต้าฟ่งไม่ต่างจากปลาบนเขียงเท่าใด คิดเจรจากับพวกเรา จะไม่ลำบากได้อย่างไร
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแบ่งแยกดินแดนมาสักหน่อย”
นายทหารทุกคนตาสว่างวาบ บางคนขมวดคิ้วพูดทันที
“นี่คือบีบให้ต้าฟ่งเดินไปสู่ทางตันไม่ใช่หรือ ตามข้าพูด พอเหมาะพอควร เอาเงินเอาเสบียงก็พอแล้ว พวกเราใช้เงินและเสบียงของต้าฟ่งเกณฑ์ทหารซื้อม้า ค่อยย้อนกลับมาโจมตีพวกเขา
“โลภมากเกินไป กลับจะไม่ได้อะไรเลย”
นี่คือวิธีที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม
มีคนโต้แย้งทันที “ไม่มีโหราจารย์แล้ว พวกเราพูดอย่างไรก็อย่างนั้น ราชสำนักต้าฟ่งยังกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ อีก? แม้พวกเราให้ฮ่องเต้น้อยองค์นั้นออกกฤษฎีกาต้องโทษ คิดว่าเขาคงไม่กล้าปฏิเสธ”
นี่คือความคิดของฝ่ายต่อต้าน
จีเสวียนใคร่ครวญพูดว่า
“ต้องควบคุมความเหมาะสมให้ดี โลภมากเกินไป รังแต่จะได้ผลตรงกันข้าม แม้ต้าฟ่งไม่มีโหราจารย์ แต่ทุกท่านอย่าลืม สวี่ชีอันล่ะ?”
เขาเหลียวมองทุกคน พูดวิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงดังกังวาน
“จ้าวโส่วอยู่นอกวงราชการหลายปี ไม่มีสถานะอย่างเป็นทางการ เขาคงไม่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์และยอมตายเพื่อความยุติธรรมเพื่อราชสำนักต้าฟ่ง ลั่วอวี้เหิงก็เช่นกัน แต่สวี่ชีอันแบกรับชะตาบ้านเมือง ถ้าต้าฟ่งล่มสลาย เขาย่อมต้องพลีชีพเพื่อชาติ
“ดังนั้น ต่อไปเขาจะต้องบงการสถานการณ์โดยรวมในราชสำนัก คนผู้นี้มีนิสัยยอมหักไม่ยอมงอ บีบบังคับมากเกินไป มีแต่จะทำให้เขาเข้าตาจนเสี่ยงอันตราย ยอมพังพินาศไปพร้อมกับพวกเรา
“แน่นอน ทัพอวิ๋นโจวเข้ายึดครองที่ราบลุ่มภาคกลางได้อยู่แล้ว เขาอยู่เพียงขั้นสาม ก่อคลื่นลมอะไรไม่ได้ แต่แผนเจรจาสงบศึกนี้ของแม่ทัพใหญ่ จะคว้าน้ำเหลวอย่างแน่นอน”
เก่อเหวินเซวียนลังเลไม่พูด นึกถึงฐานะของจีเสวียน ไม่ได้โต้แย้ง
‘ก๊อกๆ!’
ชีก่วงป๋อเคาะโต๊ะ หยุดการวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน ยิ้มพูดว่า
“จื่อซู่ เจ้ามองตื้นไปหน่อย เห็นเพียงการเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของสองฝ่าย เห็นเพียงนิสัยของสวี่ชีอัน”
จีเสวียนก้มหน้าเล็กน้อย
“แม่ทัพใหญ่โปรดชี้แนะ”
ชีก่วงป๋อคืออาจารย์ระดับก่อปัญญาของเขา
ชีก่วงป๋อพูดช้าๆ
“ฮ่องเต้น้อยหย่งซิ่งองค์นี้ ปกป้องเมืองพอได้ แต่พละกำลังไม่พอ ผู้ปกครองเช่นนี้ โหราจารย์ก็คือกระดูกสันหลังสุดท้ายของเขา ภายใต้สถานการณ์ที่โหราจารย์ตายแล้ว พวกเจ้าคิดว่าเขาจะทุ่มสุดตัวสู้ตาย หรือยอมรับการเจรจาสงบศึกของพวกเรา?”
“แน่นอนว่าต้องเลือกยอมรับ” เก่อเหวินเซวียนยิ้มพูด
ชีก่วงป๋อพยักหน้า พูดต่อ
“รองลงมาคือขุนนางในราชสำนัก หวางเจินเหวินล้มหมอนนอนเสื่อ เว่ยเยวียนตายที่เมืองจิ้งซาน คนที่เหลือไม่ว่าสุจริตหรือทุจริต ล้วนด้อยไปหน่อย การเจรจาสงบศึกครั้งนี้ อุปสรรคเพียงหนึ่งเดียวก็คือสวี่ชีอัน
“แต่ผลประโยชน์ของฮ่องเต้น้อยกับสวี่ชีอันนั้นแตกต่างกัน สำหรับฮ่องเต้น้อย ขอเจรจาสงบศึกก็สยบสถานการณ์ได้ ไม่มีสงครามเขาก็มั่นคงแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็แลกความสงบสุขมาได้สักพัก ให้ต้าฟ่งได้พักหายใจ
“แต่สำหรับสวี่ชีอัน เช่นนี้เท่ากับไม่มีโอกาสพลิกกระดานอีก ดังนั้น พวกเขาสองคน ย่อมต้องแตกความสามัคคี”
จัวเฮ่าหรานลูบคาง พูดว่า
“ดังนั้น แผนนี้ของแม่ทัพใหญ่ คือยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ถ้าทำสำเร็จ เอาเสบียงได้เสบียง เอาเงินได้เงิน ซ้ำยังบีบให้ราชสำนักแบ่งแยกดินแดนให้ โดยไม่เสียเลือดเนื้อ ถ้าทำไม่สำเร็จ ก็ทำให้สวี่ชีอันกับฮ่องเต้น้อยแตกความสามัคคี ถ้าเกิดความวุ่นวายอะไรขึ้น ก็ยิ่งดีไปอีก”
นักรบเช่นจัวเฮ่าหรานยังฟังเข้าใจ ผู้อื่นย่อมต้องฟังออก
จีเสวียนคล้อยตามแล้ว
ชีก่วงป๋อพูดต่อ
“สวี่ชีอันผู้นั้นคือความหนักใจของเมืองเฉียนหลง คือความหนักใจของราชครู เมื่อก่อนเขามีเว่ยเยวียน มีโหราจารย์คุ้มครอง ทำตามอำเภอใจโดยไร้ความเกรงกลัว
จัวเฮ่าหรานและแม่ทัพนายอื่นๆ หัวเราะลั่นพูดคล้อยตาม
“แม่ทัพใหญ่พูดได้ถูกต้อง ไม่มีโหราจารย์กับเว่ยเยวียน สวี่ชีอันนับเป็นอะไรได้ ยังกล้าท้าทายราชครูและเมืองเฉียนหลง ไม่แน่ว่ายามนี้คงตกใจจนตัวสั่นเหมือนนกกระทา”
“สวี่ชีอันเพียงมีชื่อเสียงมากหน่อยเท่านั้น พูดถึงตบะ นายน้อยจีเสวียนของพวกเราก็เป็นขั้นสาม”
“ไม่เพียงแต่เท่านั้น อาจไม่ต้องให้ราชครูลงมือด้วยซ้ำ นายน้อยจีเสวียนก็ฆ่าเจ้าผู้นี้ได้”
“กลั่นหลอมเขากลายเป็นยาโลหิต เพื่อเพิ่มตบะของนายน้อยจีเสวียน”
เหล่าแม่ทัพบ้างก็โหวกเหวกโวยวาย บ้างก็หัวเราะเสียงดังลั่น
จีเสวียนนิ่งเงียบชั่วครู่ พูดชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าจะดูสิว่า สวี่ชีอันจะวางตัวอย่างไร เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นสาม อาศัยอะไรมาพลิกกระดาน”
เขาแทบอยากจะเหาะไปเมืองหลวงทันที ดูท่าทางไม่เต็มใจแต่ทำอะไรไม่ได้ของสวี่ชีอัน
เก่อเหวินเซวียนยิ้มพูด
“เขาพลิกกระดานไม่ได้ แม้เลื่อนขึ้นเป็นขั้นสองทันที ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอาจารย์กับพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงร่างกายที่ถูกผนึก”
จีเสวียนหัวเราะเยาะทันที
ชีก่วงป๋อพูดอีกครั้ง
“หลังจากจบงานเลี้ยงฉลองชัย เริ่มแผนนี้ทันที ต้องกระจายข่าวออกไป ยิ่งใหญ่โตยิ่งดี ราชครูจะได้โชคชะตาอีกหลายแห่งหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับแผนนี้ รายละเอียดการเจรจาสงบศึก เหวินเซวียน เดี๋ยวเจ้าไปเยี่ยมเยียนราชครู ถามความเห็นเขาหน่อย”
ด้วยกำลังทหารในยามนี้ของอวิ๋นโจว ยึดดินแดนมากเกินไป กลับจะเป็นภาระ ขณะเดียวกันก็ต้องดูสภาวะในยามนี้ของราชครู จะกลืนกินดินแดนมากขนาดนั้นได้หรือไม่
เก่อเหวินเซวียนยิ้มพูด “ขอรับ!”
…
จ้าวโส่วที่นั่งสมาธิในเรือนป่าไผ่ ลืมตากะทันหัน มองเงาดำใต้โต๊ะ
เงาหนึ่งมุดออกมา ขยายใหญ่ กลายร่างเป็นคน นั่นคือสวี่ชีอัน
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”
จ้าวโส่วพยักหน้า
“เพิ่งไปสำนักโหราจารย์ ไม่เจอโหราจารย์ ข้าจึงมาที่นี่”
สวี่ชีอันพยักหน้ารับรู้ พูดว่า
“สรุปแล้วโหราจารย์ตายหรือไม่”
จ้าวโส่วพูด “ต้าฟ่งไม่ล่มสลาย โหราจารย์ไม่ตาย เขาน่าจะถูกผนึก”
สำหรับแนวทางบำเพ็ญโหร ลัทธิขงจื๊อเข้าใจค่อนข้างละเอียด รู้ความลับบางอย่างที่คนนอกไม่รู้
แม้ไม่เคยเชื่อว่าโหราจารย์จะตาย แต่จนกระทั่งได้ยินคำตอบนี้ สวี่ชีอันถึงโล่งใจขึ้นมาจริงๆ ถามว่า
“โหราจารย์จงใจทำเช่นนี้? เขาเหลือทางหนีทีไล่ไว้หรือไม่”
จ้าวโส่วคิดชั่วครู่ พูดว่า
“ข้าคิดว่าไม่ใช่ ถ้าจงใจทำเช่นนี้ คิดไม่ออกเลยว่ามีเรื่องอะไร คู่ควรให้เขายอมสู้แค่ตาย ผลักต้าฟ่งสู่หุบเหวแห่งความพินาศ
“ถ้าเขารู้เรื่องนี้ล่วงหน้า งั้นคงไม่เข้าร่วมด้วย”
จ้าวโส่วไม่รู้ทางหนีทีไล่ของรุ่นที่หนึ่ง อาศัยสายตาของตนวิเคราะห์ออกมา
ครั้งนี้โหราจารย์พลาดท่าแล้วจริงๆ…สวี่ชีอันถอนใจ
เมื่อรู้ว่าโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งคือเจ้าของสุสานที่ตระกูลไฉเฝ้าปกป้องหลายชั่วคน สวี่ชีอันก็เตรียมใจไว้แล้ว
แม้โหราจารย์สอดส่องอนาคตได้ แต่ถ้ารุ่นที่หนึ่งมีวิธีควบคุมล่ะ?
แนวทางบำเพ็ญใดก็ตามล้วนมีจุดอ่อน เช่นเดียวกับตีงูต้องตีให้แม่น
โหราจารย์ก็ไม่ใช่เทพ
สวี่ชีอันเล่าเรื่องตระกูลไฉให้จ้าวโส่วฟัง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้…” จ้าวโส่วคิดได้ทันที ใคร่ครวญเล็กน้อย พูดว่า
“ข้าคิดว่าแม้โหราจารย์ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว เสียแผนถูกจับ เขาก็น่าจะเคยใคร่ครวญความเป็นไปได้เช่นนี้ คนธรรมดายังเตรียมการล่วงหน้า นับประสาอะไรกับเขา
“เพียงแต่ สูญเสียโหราจารย์ ต้าฟ่งตกอยู่ในอันตรายแล้ว
“สวี่ชีอัน เจ้าจะจัดการอย่างไร”
แบกรับชะตาบ้านเมือง โชคชะตาก็เชื่อมโยงกับราชสำนัก บ้านเมืองล่มสลาย โหราจารย์ต้องตาย สวี่ชีอันก็ตายเช่นกัน
สวี่ชีอันพูดว่า
“นี่ก็คือสาเหตุที่ข้ามาหาท่าน”
มองทั่วราชสำนัก คนที่หารือกับเขาได้ มีเพียงพี่ใหญ่ระบบลัทธิขงจื๊อ และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสามระดับสูงสุดผู้นี้ตรงหน้า
จ้าวโส่วใคร่ครวญชั่วครู่ พูดว่า
“ก่อนอื่น เจ้าต้องเข้าใจว่าศัตรูคือผู้ใด”
สวี่ชีอันตอบว่า
“สวี่ผิงเฟิง เฮยเหลียน เจียหลัวซู่ และไป๋ตี้”
เมื่อไปสำนักโหราจารย์ เขาถึงรู้ว่าวันนั้นหลังจากส่งกระแสจิต ซุนเสวียนจีเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตไปตรวจสอบสถานการณ์ พบการมีอยู่ของไป๋ตี้
จ้าวโส่วถามทันที
“เหตุใดไป๋ตี้ต้องจัดการโหราจารย์”
สวี่ชีอันคิดชั่วครู่
“ข้าสงสัยว่าโหราจารย์คือผู้เผ้าประตู…”
เล่าความลับของผู้เผ้าประตู รวมทั้งไป๋ตี้เป็นชาวเผ่าต้าฮวงให้จ้าวโส่วรู้
จ้าวโส่วนิ่งเงียบชั่วครู่ คลึงหว่างคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ ถอนใจพูดว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ เท่ากับสถานการณ์ไม่ตายไม่เลิกรา สวี่ชีอันเอ๋ยสวี่ชีอัน เจ้าคือคนที่มีดวงชะตาติดตัวจริงๆ?”
ข้าว่าเจ้าเป็นคนที่มีโชคร้ายติดตัวถึงจะถูก
แขวะเสร็จ จ้าวโส่วกลับสู่หัวข้อสนทนา พูดว่า
“มีเรื่องหนึ่งข้าต้องบอกเจ้า ก่อนที่โหราจารย์จะออกรบ ยืมดาบสลักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์กับมงกุฎแห่งปราชญ์เอกจากข้า เขาน่าจะเลียนแบบเว่ยเยวียน เรียกวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์”
สวี่ชีอันหรี่ตาเล็กน้อย พูดอย่างเหลือเชื่อ
“ถ้ามีวิญญาณวีรบุรุษปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ลงมือ เขาจะแพ้ได้อย่างไร!”
จ้าวโส่วส่ายหน้า
“ไม่อาจรู้รายละเอียดได้ ดังนั้นเจ้าต้องระวังตัว ยามนั้นมีขั้นเหนือมนุษย์ลงมืออย่างแน่นอน”
ขั้นเหนือมนุษย์ลงมือ…สวี่ชีอันพร่ำพูดประโยคนี้ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า ผิดหวังอยู่บ้างขึ้นมา
ถ้าเบื้องหลังอวิ๋นโจวมีขั้นเหนือมนุษย์เป็นคนหนุนหลัง งั้นยังต่อสู้อย่างไรได้ แม้เขาเลียนแบบเว่ยกงกับโหราจารย์ ให้ปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นครั้งที่สาม มากที่สุดก็เป็นเพียงการดึงดัน ไร้ซึ่งความหมาย
เห็นเขานิ่งเงียบ สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก จ้าวโส่วส่ายหน้าเล็กน้อย
บัดนี้คนที่กดดันที่สุด ไม่ใช่หย่งซิ่งบนบัลลังก์มังกร ไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์ ไม่ใช่หยางกงที่พิทักษ์ชายแดน แต่เป็นคนหนุ่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้าผู้นี้ตรงหน้า
เขาคือกระดูกสันหลังเพียงหนึ่งเดียวของต้าฟ่งแล้ว
“ผู้ชราพูดความเห็นส่วนตัว เจ้าอ้างอิงเล็กน้อยก็ได้”
จ้าวโส่วเคาะโต๊ะ ให้สวี่ชีอันที่ใจลอยได้สติคืนมา
“หนึ่ง ต้องเสริมข้อบกพร่องของพลังต่อสู้เหนือมนุษย์
“ไป๋ตี้และเจียหลัวซู่นั้นล้วนเป็นขั้นหนึ่ง หรือพลังต่อสู้อาจเทียบได้กับขั้นหนึ่ง สวี่ผิงเฟิงเป็นโหรขั้นสองระดับสูงสุด หลังจากกลั่นหลอมโชคชะตาชิงโจว พลังก็เพิ่มขึ้นด้วย รองลงมาคือเฮยเหลียน”
“สอง กลายเป็นนักเดินหมาก
“สวี่ชีอัน ถ้าเจ้าอยากอยู่รอดท่ามกลางภัยพิบัติครั้งนี้ ให้ต้าฟ่งอยู่รอดต่อไป ก็พยายามเป็นนักเดินหมากเถอะ แม่ทัพเก่งหาง่าย ผู้บัญชาการเก่งหายาก เจ้าคงไม่อยากถูกสวี่ผิงเฟิง ถูกโหราจารย์ใช้เป็นตัวหมากตลอดกระมัง”
“สาม แก้ไขปัญหาเสบียงอาหารของต้าฟ่ง มีรากฐานที่มั่นคง สนับสนุนเจ้าไปต่อสู้กับสวี่ผิงเฟิง
“ถ้าราชสำนักพังทลาย ไม่ว่าเจ้าพยายามอย่างไร ตบะเพิ่มขึ้นอย่างไร ล้วนไม่ช่วยอะไรเลย ต้องจำไว้เสมอว่าต้าฟ่งคือรากฐานของเจ้า”
“สี่ คืนชีพเว่ยเยวียน
“เหตุใดสวี่ผิงเฟิงต้องรอให้เว่ยเยวียนตายถึงกล้าก่อกบฏ ช่วงที่เว่ยเยวียนอยู่ในราชสำนัก ไม่ว่าสำนักพุทธ อวิ๋นโจว หรือสำนักพ่อมด ล้วนไม่กล้าบุ่มบ่ามโจมตี เพื่อช่วยเทพอูปลดผนึก สำนักพ่อมดต้องทุ่มสุดตัว แต่ผลลัพธ์ล่ะ? ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ
“ที่ซึ่งน่ากลัวของเว่ยเยวียนไม่ได้อยู่ที่พลังเฉพาะบุคคล เขาคือผู้บัญชาการที่เก่งหาตัวจับยากในรอบพันปี พูดถึงสติปัญญาและแผนการ สวี่ผิงเฟิงก็เทียบเขาไม่ได้ พูดถึงรบทัพจับศึก สวี่ผิงเฟิงยิ่งเทียบไม่ติด
“ถ้าเขาคืนชีพ ข้าไม่กล้าบอกว่าต้าฟ่งจะต้องชนะ แต่อย่างน้อยที่สุดคงไม่ลำบากยากแค้นเช่นนี้”
“พูดง่ายแต่ทำยาก” สวี่ชีอันหัวเราะเจื่อน
สี่ข้อนี้ ไม่ว่าข้อใดก็ยากราวกับขึ้นสวรรค์
ก่อนอื่นคือพลังต่อสู้ขั้นเหนือมนุษย์ ยามนี้เพียงผู้เดียวที่มีหวังเข้าสู่ขั้นหนึ่ง มีเพียงลั่วอวี้เหิง
แต่นางคนเดียวไม่พอ
เพียงแค่ไป๋ตี้กับเจียหลัวซู่สองคนเป็นขั้นหนึ่ง ก็กำจัดพลังต่อสู้เหนือมนุษย์ทั้งหมดของต้าฟ่งได้ อีกทั้งบำเพ็ญตบะไม่อาจสำเร็จได้ง่ายๆ เป็นไปไม่ได้ที่จะไล่ตามทันในเวลาสั้นๆ
ยิ่งกว่านั้นไป๋ตี้จะต้องมีแผนการยิ่งใหญ่ เพียงยังไม่กล้านำมาใช้
ต่อมา กลายเป็นนักเดินหมาก
นี่นับเป็นข้อที่เป็นไปได้ที่สุด แม้สวี่ผิงเฟิงมีพระคุณดั่งขุนเขา แต่ตนเองที่มีใจกตัญญูไม่กลัวเขาก็พอแล้ว เรื่องใช้สมอง สวี่ชีอันไม่เคยกลัวผู้ใด แม้หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ถูกโหราจารย์กับสวี่ผิงเฟิงขยับไปมาราวกับตัวหมากโดยตลอด
แต่ยามนั้นเขายังอ่อนแอเกินไป เริ่มต้นจากศูนย์ ผู้ใดไม่เคยถูกพี่ใหญ่จับเล่นขณะอ่อนแอ
จากนั้น ปัญหาเสบียงอาหาร
ไร้ทางแก้!
ถ้าต้าฟ่งมีค่าภาษีที่นา ก็คงไม่ตกต่ำถึงขั้นนี้ เรื่องที่โหราจารย์ยังไม่มีวิธี เขาจะมีวิธีอะไร เรื่องที่ไร้ทางแก้ที่สุดบนโลกนี้…จน!
เทพเซียนก็ช่วยอะไรไม่ได้
สุดท้าย คืนชีพเว่ยกง
ธงกวักวิญญาณที่คืนชีพเว่ยกง รวบรวมวัตถุดิบหลักครบแล้ว แต่ยังขาดสิ่งสุดท้าย กลับมาหาซ่งชิงถามสักหน่อย จะหาของสิ่งนั้นได้อย่างไร…สวี่ชีอันลุกขึ้นอำลา
“ไม่รบกวนเจ้าสำนักศึกษาแล้ว”
ทำความเคารพ เดินออกจากเรือนไม้ไผ่
เพิ่งออกมาข้างนอก รู้สึกถึงความตระหนกอันคุ้นเคย
ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความว่า
หมายเลขสอง ‘หมู่นี้ทุกที่มีคนกระจายข่าว บอกว่าชิงโจวเสียเมือง โหราจารย์ถูกฆ่า นี่ทัพกบฏอวิ๋นโจวถึงคราวเสื่อมถอยแล้วหรือ ใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้
‘แต่เล่ห์กลเช่นนี้ได้ผลดีจริงๆ โบราณว่าชาวบ้านโง่เขลาที่สุด’
ทุกฝ่ายในเมืองหลวงกระวนกระวายใจ ตื่นตระหนกตั้งหลายวัน หลี่เมี่ยวเจินเพิ่งได้ข่าว
อย่างไรเสียนางไม่มีเครือข่ายข่าวกรองที่พัฒนาแล้ว ส่วนผู้รู้เรื่องเช่นสวี่ชีอันกับฮว๋ายชิ่ง หลายวันมานี้ไม่มีกะจิตกะใจจะส่งข้อความพูดคุยจริงๆ
นางส่งข้อความนี้ ครึ่งหนึ่งคือแขวะ อีกครึ่งคือหาข้อพิสูจน์
……………………………………………………
Comments