คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 666 สุดท้ายก็แค่คำว่าตาย
ตอนที่ 666 สุดท้ายก็แค่คำว่าตาย
ต่างบอกว่ามาขอการรักษากับฉินหลิวซี อย่าทำตัวหยิ่งผยอง ต้องมีท่าทีมาขอร้อง แต่ไม่ได้บอกพวกเขาว่าต้องเตรียมพร้อมทางด้านจิตใจสำหรับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ
ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หนึ่งชั่วยามนี้ อารมณ์ของพวกเฉวียนจิ่งตกจากที่สูง จากนั้นก็พุ่งขึ้นมาจากที่ต่ำ แล้วก็ตกลงสู่จุดต่ำสุดอีกครั้ง อย่าถามว่ารู้สึกอย่างไร คำตอบก็คือเดี๋ยวก็ตกใจ เดี๋ยวก็ตื่นเต้น นอกจากความตื่นเต้นแล้วยังมีความตื่นตระหนก
ดูนางเอ่ยแต่ละอย่าง บอกว่าไม่มียาแก้พิษแต่สามารถรักษาได้ แค่เดิมพันโดยการใช้พิษมาโจมตีพิษ แต่ใช้พิษอะไรนั้นก็ยังไม่รู้
นี่ไม่ใช่ว่ากำลังปั่นหัวพวกเขาหรือ
ฉินหลิวซีแสดงออกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้รู้สึกผิดกับอารมณ์ที่หดหู่ของทุกคนแม้แต่น้อย กล่าวว่า “ข้าเป็นหมอ ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพิษเช่นนี้ และการใช้พิษแก้พิษ ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้พิษใดก็ได้ที่แข็งแกร่งกว่ามัน ต้องหาพิษที่ต่อต้านซึ่งกันและกัน หากกรอกพิษตามอำเภอใจ ไม่เพียงแต่จะเอาไม่อยู่ ซ้ำเจ้ายังต้องถูกพิษอื่นอีก”
“แล้วจะหาได้อย่างไร”
“ทุกสรรพสิ่งล้วนมีการต่อต้านกัน หากมดคันไฟปรากฏตัว ย่อมมีผู้ที่ปราบมันได้ เมื่อค้นหาสิ่งนี้เจอ ค่อยนำพิษส่วนที่เหลือมาพัฒนาเป็นยาถอนพิษ แน่นอนว่าหากโชคดีสามารถหาตัวปราบที่ไร้พิษได้ ไม่แน่อาจจะสามารถพัฒนายาถอนพิษได้ แต่โอกาสนี้คงจะเป็นไปได้น้อยมาก อย่างไรเสียอาถูผู่ผู้นั้นก็ยังไม่สามารถพัฒนายาถอนพิษได้” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ข้าเคยเห็นมดคันไฟนี้จากบันทึกไม่เป็นทางการเท่านั้น แต่อะไรที่ปราบมันได้นั้นยังต้องไปค้นหา ดังนั้นการที่ข้าไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ”
เฉวียนจิ่งและคนอื่นๆ รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย
หวังอวี้เชียนเอ่ยด้วยความกังวลใจว่า “แล้วต้องรอนานแค่ไหน ร่างกายของเฮ่อฉีจะรอไหวหรือไม่”
“รอไม่ไหวก็ต้องไหว” ฉินหลิวซีมองเฉวียนจิ่ง เอ่ยต่อ “แม้ว่าจะมีพิษร้ายแรงอยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็ไม่สามารถดื่มได้เลย สภาพร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรเจ้ารู้ดีที่สุด หากจะบอกว่าร่างกายเต็มไปด้วยรูพรุนนั้นก็ไม่เกินจริง ทั้งหมดนี้ล้วนอาศัยความใจแข็งที่ไม่อยากตายของเจ้าประคองไว้ แต่การที่เจ้าไม่อยากตายก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถควบคุมความอ่อนแอและความเสื่อมถอยในแต่ละวันของมันได้ เพราะเลือดของเจ้ามีพิษปนเปื้อนแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าอวัยวะภายในของเจ้ากำลังสูญเสียพลังชีวิต”
“ร่างกายของเจ้าแทบจะไม่สามารถต้านทานพิษที่ร้ายแรงกว่านี้ได้อีก ดังนั้นเจ้าต้องบำรุง รักษาให้มันแข็งแรงขึ้น จึงสามารถต้านทานพิษที่แท้จริงได้”
“ยังสามารถบำรุงได้อยู่หรือ”
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เจ้านั่งอยู่ในห้องเต๋ามาหลายชั่วยามแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เฉวียนจิ่งตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เผยให้เห็นรอยยิ้มที่สบายใจ ตอบว่า “ดีมากๆ ไม่ทราบว่าในนี้มีความลึกลับอะไรหรือ”
“เพราะได้มีการวางค่ายอาคม มีพลังจิตวิญญาณไหลเวียนอยู่ในห้อง ช่วยให้จิตใจสงบ สามารถดูดซับพลังจิตวิญญาณมาใช้ได้ ย่อมดีต่อร่างกายของเจ้า จึงทำให้รู้สึกสบาย”
เฉวียนจิ่งกับหวังอวี้เชียนต่างก็ประหลาดใจเล็กน้อย ห้องเต๋าเล็กๆ นั่นได้วางค่ายอาคม ซ้ำยังมีพลังจิตวิญญาณ?
หวังอวี้เชียนพึ่งรู้สึกตัว ก้มหน้าลงมองตัวเอง อุทานด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่นับว่าเป็นคนเสเพล แต่เขาก็เชี่ยวชาญด้านการเล่นสนุก อาศัยที่ตัวเองยังหนุ่มยังแน่น ร่างกายแข็งแรง ร่ำสุราเคล้านารีทั้งคืนไม่หลับไม่นอนก็เคยทำ ตอนนี้มาอยู่ที่เมืองหลีก็ได้สงบลงแล้ว แต่เมื่อคืนนี้เขาพึ่งไปสนามชนไก่ในเมืองนี้ นั่งยองๆ อยู่ครึ่งคืน ขาของเขาเหน็บชา เท้าอ่อนแรง ปวดเอว ไม่มีชีวิตชีวา หากไม่ใช่เพราะต้องมาขอรับการรักษาเป็นเพื่อนเฉวียนจิ่ง เขาก็คงนอนอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้นแล้ว
แต่ตอนนี้ขาเขาไม่ชา เอวก็ไม่ปวด รู้สึกมีพลังกระปรี้กระเปร่า
หรือนี่เป็นผลของการนั่งในห้องเต๋า?
เฉวียนจิ่งก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีพลังกระปรี้กระเปร่ามากขึ้นกว่าเดิมจริงๆ หากเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ เขาก็คงนอนลงเนื่องจากไม่มีชีวิตชีวาและความอ่อนแอทางร่างกาย
“ที่แท้ความลึกลับของห้องเต๋าก็อยู่ตรงนี้ ที่ท่านเจ้าอาวาสน้อยบอกว่าบำรุงร่างกาย คือข้าต้องอาศัยอยู่ในนี้จนกระทั่งท่านหาพิษที่แข็งแกร่งกว่านั้นได้หรือ”
“เหอะๆ ฝันไปเถิด!” ฉินหลิวซียิ้มเยาะ
เฉวียนจิ่ง “?”
เถิงเจากล่าวซ้ำเติมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฝันไปเถิด!”
คึคึๆ
เว่ยเสียหัวเราะออกมา
มีร่องรอยของสีแดงอมชมพูอ่อนๆ ปรากฏบนใบหน้าซีดของเฉวียนจิ่ง ปลายหูของเขาก็มีสีชมพู เขาเข้าใจผิดหรือ
ฉินหลิวซีก็ไม่ปล่อยให้เขาอับอายต่อ เอ่ยว่า “ร่างกายของเจ้าต้องสร้างสมดุลหยินหยาง มีเลือดและชี่ที่เพียงพอ ต้องฝังเข็มหมุนเวียนชี่ จากนั้นก็ใช้ยาเพื่อบำรุงอวัยวะภายใน เจ้าสามารถมานั่งขัดสมาธิที่ห้องเต๋าทุกวันเพื่อรักษาร่างกายบำเพ็ญเต๋าเป็นเวลาสองชั่วยาม เมื่อร่างกายของเจ้าแข็งแรงขึ้น จึงจะสามารถใช้พิษได้”
เอ่ยตามตรง ร่างกายของเฉวียนจิ่งนั้นแย่กว่าตู้เหมี่ยนที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกแทงหลายสิบที่ อย่างไรเสียตู้เหมี่ยนมีบาดแผลภายนอกเยอะ และการบาดเจ็บเกิดขึ้นจากภายนอกสู่ภายใน กระบวนการนี้ค่อยๆ เป็นไปอย่างช้าๆ ยังพอมีความหวัง แต่พิษของเฉวียนจิ่งกลับรุกรานจากภายใน
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคนคือการทำงานที่แข็งแกร่งของอวัยวะภายใน เพราะมันเป็นตัวแทนของพลังชีวิต ซ้ำยังมีเลือด แต่พิษที่เฉวียนจิ่งรับมาได้สร้างความหายนะไปทั่วร่างกายของเขาและทำลายพลังชีวิต ซึ่งเป็นเหตุผลว่าไยเขาจึงอ่อนแอถึงขั้นที่ว่าถูกลมพัดก็ล้มได้ทันที
คำพูดมาถึงตรงนี้ หากพูดต่อไปจะมากความ เฉวียนจิ่งลุกขึ้น ยกมือขึ้นคำนับฉินหลิวซี “จากนี้ไปขอท่านเจ้าอาวาสน้อยช่วยดูแลด้วย”
“เจ้ายินดีที่จะเดิมพันหรือ” ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว
มีร่องรอยของความมุ่งมั่นในดวงตาของเฉวียนจิ่ง “ข้าไม่มีทางเลือกอื่น แล้วก็ไม่มีทางถอยแล้วไม่ใช่หรือขอรับ”
หากเดิมพันอาจจะมีโอกาสรอด ทว่าหากไม่เดิมพันก็เพียงรอความตาย
สุดท้ายก็แค่คำว่าตาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วเหตุใดจะไม่เดิมพันกับโอกาสอันน้อนนิด
ฉินหลิวซีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ส่งยาที่เจ้ากินในชีวิตประจำวันมาให้ข้าตรวจสอบ ตอนนี้ไปนอนลงบนเตียงไม้ในห้องส่วนตัวที่โถงด้านในเถิด ข้าจะฝังเข็มให้เจ้าก่อน”
เริ่มแล้วหรือ
เฉวียนจิ่งถูกพาไปที่ห้องส่วนตัว ถอดเสื้อคลุมออกแล้วรออย่างสงบบนเตียงไม้เล็ก
หวังอวี้เชียนยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงแข็งว่า “เฮ่อฉี เจ้าคิดดีแล้วหรอ จะเดิมพันจริงๆ หรือ”
“ไม่เดิมพันก็ตายอยู่ดี” เฉวียนจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “เจ้าวางใจเถิด ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลเฉวียนย่อมรับน้ำใจของพวกเจ้านี้”
“เฮ้ย ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” หวังอวี้เชียนเกาศีรษะ เอ่ยต่อว่า “ข้าก็ต้องหวังว่าเจ้าจะหายดีอยู่แล้ว แต่นางก็ไม่ได้แน่ใจนัก หากไม่สามารถหาพิษที่รุนแรงกว่าพิษของเจ้าได้ หรือว่าหากเจ้าทนไม่ไหว เช่นนั้น…”
เฉวียนจิ่งกำหมัด เอ่ย “ไม่เป็นไร หากสวรรค์ปฏิเสธข้า ก็คงเอาชีวิตข้าไปนานแล้ว หากไม่ปฏิเสธข้า เช่นนั้นข้าก็จะสู้กับมัน!”
“ข้าแค่กลัวว่าหากเจ้าแพ้ ตระกูลเฉวียนจะไม่ยอม ส่งกองทัพมากำราบอารามชิงผิงกับน้องสาวลูกพี่ลูกน้องข้าน่ะสิ” หวังอวี้เชียนเอ่ยพึมพำ
เฉวียนจิ่ง “?!”
เจ้ากำลังสาปแช่งข้า และกำลังสงสัยในตัวของข้า
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เอ่ย “เจ้าวางใจเถิด ข้าก็ไม่ได้ถึงขึ้นไร้คุณธรรมเช่นนั้น ไม่มีทางแพ้”
หวังอวี้เชียนยิ้มอย่างลำบากใจ
ใครจะไปรู้ เขามีคุณธรรม แต่ทุกครอบครัวล้วนมีบิดามารดาที่ปกป้องลูกๆ สถานะของเฉวียนจิ่งนั้นค่อนข้างสูงส่ง และเป็นบุตรชายคนเดียวของบ้านใหญ่ในตระกูลเฉวียน แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ในช่วงรอความตาย แต่โบราณกล่าวไว้ว่ามีชีวิตอยู่อย่างไร้ประโยชน์ก็ดีกว่าตายอย่างมีคุณค่า มีชีวิตรอดนับว่าดี ถ้าตายไปก็ไม่เหลืออะไรแล้ว หากคนตระกูลเฉวียนคิดเช่นนี้ เช่นนั้นฉินหลิวซีจะไม่จบเห่หรือ
ก็ใช่ว่าไม่เคยเห็นฉากที่หมอรักษาคนไข้ไม่หายแต่กลับถูกคนไข้ทุบตีแทน!
ฉินหลิวซีเดินเข้ามา ยิ้มนิ่งๆ พลางชำเลืองมองทั้งสองคน เอ่ยขึ้นมาว่า “วางใจเถิด ไม่มีทางจะเกิดปัญหาเช่นนั้นข้นกับข้า หากใครกล้ามาก่อปัญหา ข้าจะให้คนผู้นั้นต้องหยอดน้ำข้าวต้ม!”
นี่เป็นคำขู่และเป็นคำเตือนอย่างแน่นอน หลายคนพากันตัวสั่น
Comments