ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้วบทที่ 836 ปีศาจนอกอาณาเขตสวรรค์ (1)

Now you are reading ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว Chapter บทที่ 836 ปีศาจนอกอาณาเขตสวรรค์ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 836 ปีศาจนอกอาณาเขตสวรรค์ (1)

นี่คือฝ่าบาทองค์เง็กเซียน พระองค์ช่างสามารถคิดค้นหากลอุบายใหม่ๆ ได้ตลอดเวลาจริงๆ

เขาคิดว่า เมื่อหลอกให้ฮวาโหย่วหมิงเข้าสู่สถาบันการศึกษาแล้ว เขาก็จะสามารถนำทางเขาให้พัฒนาไปในเส้นทางที่ถูกต้องได้สำเร็จ

เวลาเดียวกัน เขาก็สามารถทำให้ร่างจำแลงแห่งภัยพิบัติขององค์เง็กเซียน และองค์ราชินีได้มีจิตปฏิพัทธ์กันล่วงหน้า และจุดประกายแห่งคุณธรรมออกมา

แต่หลี่ฉางโซ่วก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า จู่ๆ ฮวาโหย่วหมิงจะใช้มือข้างหนึ่งปิดกั้นประตู

ไม่เพียงแค่นั้น ฮวาโหย่วหมิงยังบังคับกำหนดมาตรฐานที่ขัดขวางคนหนุ่มสาวที่ไร้ความรู้และความสามารถส่วนใหญ่ซึ่งมาจากตระกูลที่ทรงพลังอำนาจ และเมื่อมองรอยยิ้มภาคภูมิใจบนริมฝีปากของฮวาโหย่วหมิง ตัวเขาเองก็น่าจะ…

ไม่รู้อักษรถึงร้อยคำเช่นกันหรือ?

หลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ และเมื่อเขากำลังจะแจ้งให้ฮวาโหย่วหมิงเข้ามา ทว่าเซี่ยหนิงซวงซึ่งได้เข้าไปในสถาบันการศึกษาแล้วก็กลอกตาและหันกลับไปกล่าวกับฮวาโหย่วหมิงที่กำลังขวางประตูอยู่

“แม่ทัพน้อยช่างสูงส่งยิ่งใหญ่มากจริงๆ”

ฮวาโหย่วหมิงเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างใจเย็นว่า “แม่นางเซี่ยก็ช่างปากมากจริงๆ”

เซี่ยหนิงซวงไม่โกรธ นางกอดอกและพิงร่างเพรียวบางของนางกับประตูสถาบันและกล่าวอย่างใจเย็น

“ท่านครูสถาบันศึกษาเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง กฎที่เขาตั้งไว้ก็มีเหตุผลของตัวเอง และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องมาบังคับเพิ่มข้อจำกัดอะไรเลย ทำเช่นนั้น มันไม่เท่ากับเจ้าไปเติมเชื้อไฟ และจงใจทำเรื่องยุ่งยากให้เขาหรอกหรือ?”

กลุ่มผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าล้วนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

ฮวาโหย่วหมิงไพล่มือไปไว้ด้านหลังพลางเงยหน้าขึ้นแล้วพูดเสียงดัง

“แน่นอนว่า เป็นเพราะท่านครูในสถาบันนั้นเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในใต้หล้า ดังนั้น เราจึงควรให้เข้มงวดมากกว่านี้!

ผู้ที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวยและอ่านอักษรไม่ได้ เมื่อเข้ามาแล้ว จะไปสามารถเรียนรู้อะไรได้?

พวกเขายอมสละตำแหน่งเหล่านี้เสียดีกว่า แล้วให้สหายอื่นๆ รุ่นเดียวกันในเมืองนี้ที่อ่านหนังสือและเรียนรู้หลักการได้จริงๆ เข้ามา เพียงเท่านี้ สหายเหล่านั้นก็จะได้ฝึกฝนความสามารถให้มากขึ้นเพื่อยังประโยชน์ให้กับเมืองนี้!

ทุกคน พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”

กลุ่มหนุ่มน้อยที่สวมชุดขนสัตว์และประดับหยกพลันรู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที แม้พวกเขาแต่ละคนจะไม่กล้าพูดต่อหน้าผู้ใหญ่ของตนเอง แต่พวกเขาก็แอบยกนิ้วหัวแม่มือให้ฮวาโหย่วหมิง

“ผิดแล้ว” เซี่ยหนิงซวงกล่าวอย่างใจเย็น “หากไร้ความรู้และความสามรถมาสักพัก แล้วจะหมายความว่าจะไม่สามารถเรียนรู้และไร้ความสามารถไปตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน?

การจัดอันดับตำแหน่งที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามระดับอำนาจในเมือง และตำแหน่งของพวกเขาก็จะสืบทอดจากพี่สู่น้องหรือจากพ่อสู่ลูก

หากเลือกเด็กเจ็ดคนจากตระกูลที่มั่งคั่งและเรืองอำนาจในเมืองมาฝึกฝนพวกเขาให้มีความสามารถพิเศษ แล้วเมืองนี้จะได้รับประโยชน์มากอย่างนั้นหรือ?

หรือเมืองจะได้รับประโยชน์มากกว่าหากเลือกเด็กเจ็ดคนที่มาจากภูมิหลังที่ยากจนและเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน แต่ไม่มีที่ใดให้พวกเขาได้ใช้?

ในเมื่อท่านครูแห่งสถาบันอนุญาตให้ผู้ที่มีระดับสูงกว่าเข้ามาก่อน เช่นนั้น บางทีท่านก็อาจมีการพิจารณาเช่นนี้”

ฮวาโหย่วหมิงตกตะลึง จากนั้นเขาก็กลอกตา แล้วกล่าวทันทีว่า “อย่างที่เจ้าเพิ่งบอกไป เพียงเพราะคนที่ไร้ความรู้และความสามารถนั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไร้ความรู้และความสามารถไปตลอดชีวิต

หากเขาไม่ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาหนึ่ง นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคนผู้นี้จะไม่มีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขา! ”

“ท่านแม่ทัพน้อยรู้หรือไม่ว่ากำลังพูดถึงอะไร? ”

ปลายนิ้วของเซี่ยหนิงซวงถูกพันด้วยผมสีดำ เยาะเย้ยเล็กน้อยที่มุมปากด้านหลังม่าน “คำพูดของคุณมันเบี่ยงเบนไป ฉันกลัวว่านายพลฮัวจะวางสายและทุบตีเขา ”

เซี่ยหนิงซวงใช้นิ้วพันรอบปลายผมสีดำของนาง นางหยักมุมปากของนางหลังผ้าคลุมหน้าและแค่นเสียงหยันเล็กน้อย “คำพูดของเจ้าเบี่ยงเบนไป น่ากลัวว่าถูกแม่ทัพฮวายกตัวทุ่มและทุบตีเอา ”

“เหอะ” ฮวาโหย่วหมิงเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “จะต้องกลัวไปไยเล่า?”

กลุ่มผู้ใหญ่ด้านล่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่หนุ่มสาวสองคนกำลังพูดถึง แต่พวกเขาก็คิดว่ามันสมเหตุสมผล

ในขณะนั้น ก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นมาจากในสถาบันการศึกษา

บันทิตวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมหลวมๆ ก้าวออกไปข้างหน้า เขาดูสง่างามและสูงส่งเหนือผู้คน เส้นผมยาวปลิวไสวไปตามสายลม และแผ่กลิ่นอายที่เงียบสงบและสบายสะท้อนไปทั่วทุกที่

ทันใดนั้นฝูงชนที่แออัดอยู่นอกประตูก็ทำความเคารพอย่างรวดเร็ว และดวงตาของสตรีหลายคนก็เปล่งประกายในขณะที่เด็กและหนุ่มสาวเยาว์วัยมองดูปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่เป็นตำนานคนนี้อย่างสงสัย

แน่นอนว่า ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นก็คือ หลี่ฉางโซ่ว…ในร่างตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของเขา

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ช่างเป็นข้อถกเถียงระหว่างคนร่ำรวยกับคนยากจนจริงๆ! ไม่รู้ว่าแม่ทัพผู้นี้มีนามใดหรือ?”ซึ่งแล้ว

“ฮวาโหย่วหมิง!”

“ช่างเต็มไปด้วยพลังฮึกเหิมจริงๆ ข้ารู้สึกสบายใจมาก”

หลี่ฉางโซ่วสอดมือกอดอกไว้ในแขนเสื้อ แล้วพูดยิ้มๆ “โหย่วหมิง เจ้าช่วยบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่?

นี่คือสิ่งที่เจ้าคิดจากก้นบึ้งในใจ หรือเป็นเพราะเจ้าไม่เต็มใจจะเข้าสู่สถาบันการศึกษาของข้าเลยจงใจใช้คำพูดโต้แย้งข้างๆ คูๆ เพื่อแก้ตัว? ”

เซี่ยหนิงซวงตะโกน “เขาจงใจโต้แย้งข้างๆ คูๆ เพื่อแก้ตัวเจ้าค่ะ!”

ฮวาโหย่วหมิงต้องการตอบโต้ แต่เขาก็อยากโกหกบุรุษที่อยู่ตรงหน้า

“ขอท่านโปรดอย่าตำหนิเลย! บิดาของข้าเป็นแม่ทัพที่พิทักษ์เมืองนี้ ต่อไป ข้าก็จะเป็นแม่ทัพที่พิทักษ์เมืองนี้ด้วยเช่นกัน

ข้าควรจะพากเพียรฝึกฝนทักษะวิทยายุทธ์อย่างขยันขันแข็ง ขี่ม้ายิงธนูเพื่อฆ่ามังกรและจับเสือให้ได้โดยเร็วที่สุด!

ข้าไม่อยากเรียนรู้การอ่านเขียนหรืออะไรอย่างนี้! ”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวยิ้มๆ “แล้วแม่ทัพฮวารู้ได้อย่างไรว่าที่นี่ไม่สอนทักษะวิทยายุทธ์ให้?”

กล่าวจบ หลี่ฉางโซ่วก็ดึงมือของเขาออกจากแขนเสื้อ และเรียกใบไม้ร่วงหล่นลงมาด้วยมือซ้าย แล้วโยนมันไปอย่างไม่ตั้งใจ และใบไม้ที่ร่วงหล่นนั้นก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับเสียงหวีดหวิวอย่างรวดเร็ว และเกิดระเบิดพร้อมด้วยเสียงดังสนั่นปานฟ้าร้องในอากาศสูงหลายสิบฉื่อ

ฮวาโหย่วหมิงเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง

หลี่ฉางโซวยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าอยากเรียนหรือไม่?”

“อื้อ ขอรับ ขอรับ ขอรับ!” ฮวาโหย่วหมิงพยักหน้าหงึกหงัก

“เช่นนั้น ไว้ข้าจะสอนเจ้าเอง” หลี่ฉางโซ่ววางมือกลับเข้าไปในแขนเสื้อ และหัวเราะเบาๆ สองครั้ง แล้วหันกลับไปที่สถาบัน

ดวงตาของฮวาโหย่วหมิงเปล่งประกาย แล้วเขาก็เดินตามไปด้วยเท้าทั้งสองข้างของเขา ทำให้เซี่ยหนิงซวงที่อยู่ด้านข้างต้องกลอกตา

ฮวาโหย่วหมิงเพิ่งเข้ามา มีเด็กชายและเด็กหญิงมากกว่าสิบคนรวมตัวกันจากด้านล่าง

ทันทีที่ฮวาโหย่วหมิงเข้าไป เด็กหนุ่มและเด็กสาวนับสิบต่างก็พุ่งกรูไปรวมตัวกันจากด้านล่าง

และเมื่อมีคนรอเข้าประตูสถาบันมากพอสำหรับยี่สิบคน ประตูลานก็ปิดลงเอง

หลังจากนั้น ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ประตูสถาบันก็เปิดออกอีกครั้ง แล้วคนสิบสามคนก็เดินออกไปอย่างหดหู่

ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเกณฑ์ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในการเลือกศิษย์ของเขาคืออะไร แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ถูกคัดออกไปอยู่ดี

มีส่วนที่เหลือไว้อีกเจ็ดคนอยู่ข้างหลัง เป็นเด็กชายสี่และเด็กหญิงสามคน

………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด