ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 745 แห่ประจานกลางที่สาธารณะ
บทที่ 745 แห่ประจานกลางที่สาธารณะ
บัดนี้เพิ่งจะผ่านพ้น ยามเหม่า[1] จีหย่วนที่กำลังนอนตะแคงข้างบนเสื่อ พลางห่มผ้าขาดรุ่งริ่งที่ทั้งเหม็นและสกปรก ก็โดนเสียงเคาะประตูดัง ‘ปัง’ ทำให้ตกใจสะดุ้งตื่นขึ้น
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าดังตามมาจากบริเวณประตูเหล็กที่อยู่สุดทางเดิน
ผ่านไปไม่นาน คนเคาะยามสิบกว่าคนก็ปรากฏกายต่อหน้าจีหย่วน และสู่สายตาของพวกขุนนางแห่งอวิ๋นโจว
“ลุกขึ้นได้แล้ว จะพาพวกแกออกไปตากแดดบ้าง”
ฆ้องทองแดงคนหนึ่งหยิบกุญแจออกมา แล้วไขโซ่ที่อยู่ตรงราวลูกกรง
จากนั้นจีหย่วนก็ถูกฆ้องทองแดงคนหนึ่งที่มีบุคลิกเงียบขรึมฉุดลากอย่างโหดเหี้ยม ซ้ำยังโดนผลักออกจากห้องขังด้วยความรุนแรง
นี่เป็นวันที่สามแล้วที่เขามาอยู่ในคุกใต้ดินของคนเคาะยาม และก็เป็นเสื่อฟางแห้งๆ กับผ้าห่มขาดรุ่งริ่งที่ได้ช่วยต่อชีวิตของเขาเอาไว้ มิให้เขาต้องหนาวแข็งตายในคุกอันเย็นยะเยือกแห่งนี้
แต่เขาที่มีชีวิตอยู่ดีกินดีมาตั้งแต่เล็ก หาได้เคยประสบพบเจอโทษเช่นนี้มาก่อนไม่?
เพียงระยะเวลาสองวันสั้นๆ มือเท้าก็เต็มไปด้วยแผลเปื่อยจากความเย็นจัด ใบหน้าเขียวช้ำ ริมฝีปากดูซีดเซียวไร้เลือด ผมเผ้ากระเซิง
ภายในสองวันนี้ เขารู้สึกเสียใจไม่หยุดที่รับตำแหน่งทูตผู้เจรจาหย่าศึก
จีหย่วนเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ โดดเด่นด้านวาทศิลป์ สิ่งเหล่านี้เป็นความสามารถที่มีค่ายิ่ง ทว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุณชายผู้มั่งคั่งใช้ชีวิตมาอย่างสุขสบาย ย่อมขาดประสบการณ์ทั้งในสังคมและยุทธภพ
แม้มีความสามารถเฉิดฉาย แต่ก็มิได้หมายความว่าจะทนแรงกดดันได้
สิ่งที่ได้เจอมาในสองวันนี้ รวมถึงความกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตนั้น ทำให้จิตใจของเขาแทบแตกสลาย
ความหวังเดียวในตอนนี้ ก็คือตัวเองยังมีค่าพอที่สวี่ชีอันจะไม่ฆ่าเขา และอาจใช้เขาเป็นเบี้ยเพื่อต่อรองฝ่ายกบฏอวิ๋นโจว
ซึ่งนี่คือความหวังเดียวที่จะทำให้เขามีแรงกัดฟันอดทนต่อไปได้
‘ได้ตากแดดบ้างก็ดี หากอยู่แต่ในคุกตะราง ไม่ช้าก็เร็วข้าคงได้แข็งตายเอาพอดี…’ จีหย่วนเดินโซเซไปตามโถงทางเดินอันมืดมิด โดยมีเหล่าขุนนางแห่งอวิ๋นโจวยี่สิบกว่าคนติดตามหลังเขา
เมื่อออกมาจากประตูคุกใต้ดิน ก็เจออากาศหนาวเย็นอันชวนให้ตื่นตัว แต่กระนั้นดวงตะวันที่ลอยนิ่งค้างอยู่กลางนภา ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย
จีหย่วนชะงักฝีเท้าก่อนจะเงยศีรษะขึ้น แล้วเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกที่แสงแดดส่องกระทบลงบนใบหน้า
ทว่าจู่ๆ ฆ้องทองแดงที่อยู่ด้านหลังก็เตะเข้าที่บั้นท้ายของเขา จนทำให้เขาล้มลงกับพื้น
จีหย่วนลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก พลางมองไปที่ฆ้องทองแดงผู้นั้นด้วยสายตาเคืองโกรธและบึ้งตึง
“มองอะไร เชื่อหรือไม่ว่าข้าควักลูกตาของแกได้”
ฆ้องทองแดงผู้นั้นกดด้ามดาบด้วยมือเดียว โดยที่ใบหน้าเคร่งขรึมของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แล้วพูดว่า
“แกไม่ได้มีนิสัยกำเริบเสิบสานมากขนาดนั้นเสียหน่อยกระมัง ครั้นเข้าเมืองหลวงหมายจะเป็นเจ้ากรมพิธีการและสมุหราชเลขาธิการแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน ถึงกับต้องมีชินอ๋องออกจากเมืองมาเพื่อต้อนรับ จึงจะยอมเข้าเมืองใช่หรือไม่
“แกไม่ได้ติเตียนคนในตำหนักกระดิ่งทอง จนพวกเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งราชสำนักรู้สึกกดดันอับอายไม่กล้าเงยหน้าหรอกใช่หรือไม่
“แกคงไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ประชาชนในเมืองหลวงเกิดความสงสัยเกี่ยวกับชื่อเสียงของสวี่หนิงเยี่ยนใช่หรือไม่
“แกยังทำตัวกำเริบเสิบสานอยู่นะ”
จีหย่วนกำมือทั้งสองข้างแน่น พร้อมกับกัดฟันอย่างอดกลั้น
หากในวันหน้าอวิ๋นโจวบุกเข้ายึดเมืองหลวงสำเร็จ เขาจะขอเป็นคนทำลายหน่วยคนเคาะยามด้วยตัวเอง และเหล่าคนเคาะยามที่มีมิตรภาพอันดีงามกับสวี่ชีอัน จะต้องถูกเฉือนเนื้อทั้งเป็นให้หมด
ตอนนั้นเอง ก็มีฆ้องทองแดงวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาหา พลางมองฝูงชนด้วยสายตาเข้มงวด
เหล่าฆ้องทองแดงทั้งหลายต่างพากันจัดปกคอเสื้อจนเรียบร้อยทันใด และปรับตำแหน่งสัญลักษณ์ฆ้องทองแดงบนหน้าอกให้ตรง เมื่อตรวจสอบทุกอย่างสมมาตรไร้ปัญหาใดแล้ว ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพนบนอบว่า
“หัวหน้า”
ฆ้องทองแดงวัยกลางคนเพียงพยักหน้าเบาๆ ดึงสายตากลับด้วยความพอใจ แต่เขาไม่ได้มองไปทางจีหย่วนที่มีสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมชุดนักโทษที่ทั้งสกปรกและยับยู่ยี่
“ออกเดินทางกันเถอะ อย่ามัวแต่เสียเวลา”
‘ออกเดินทางรึ ไปที่ใดกัน?’ จีหย่วนตกตะลึงในใจ คิดอยากจะสอบถาม แต่ก็รู้สึกว่าจะไม่ได้คำตอบอยู่ดี กลับกันอาจโดนเฆี่ยนตีแทนด้วยซ้ำ
ฆ้องทองแดงมีบุคลิกเงียบขรึมคนนั้นจึงคุมตัวจีหย่วนเดินออกไป พลางกล่าวว่า
“หัวหน้า หนิงเยี่ยนมาหาพวกเราคืนนี้เพื่อร่ำสุราด้วยกัน”
ฆ้องทองแดงวัยกลางคนนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง
“ไปหอคณิกาหรือว่าสำนักสังคีต?”
“หอคณิกาขอรับ เขาบอกว่าพักหลังไม่ไปสำนักสังคีตแล้ว” ฆ้องทองแดงผู้เงียบขรึมตอบ
ฆ้องทองแดงวัยกลางคนรู้สึกโล่งใจอยู่หน่อยๆ
“ดั่งสำนวนที่ว่าหนึ่งคำมั่นสัญญามีค่าเท่ากับทองพันชั่ง เขารักษาสัจจะวาจาเสมอเลยนะ”
หลี่อวี้ชุนรู้มาว่าช่วงแรกที่ฝูเซียงตายจากไป สวี่ชีอันก็สัญญาไว้ว่าจะไม่ไปสำนักสังคีตอีก
จูกว่างเสี้ยวเงียบไปสักพักหนึ่ง ก่อนกล่าวเสริมว่า
“เขาบอกว่าสามารถเชิญนางคณิกาจากสำนักสังคีตทั้งหมดไปที่หอคณิกาได้ขอรับ”
…หลี่อวี้ชุนไม่อยากจะพูดอันใดอีกแล้ว
หลังจากผ่านด้านหลังของที่ทำการปกครอง ก็เดินมายังส่วนโถงทางเดินด้านนอก จากนั้นก็ผ่านห้องสำนักงานและลานสวน จนสุดท้ายก็มาถึงประตูของที่ทำการปกครอง
ซึ่งตรงประตูของที่ทำการปกครอง มีรถคุมนักโทษคันหนึ่งจอดรออยู่
จูกว่างเสี้ยวมองจีหย่วนแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบว่า
“ไปตากแดดกัน”
ใบหน้าจีหย่วนนิ่งค้างกะทันหัน และยืนทึ่มทื่ออยู่กับที่เช่นนั้นไป
…
ประกาศที่ติดอยู่ตามกำแพงบริเวณที่ทำการปกครองในเมืองหลวง ตรงประตูเมืองทั้งด้านในและด้านนอก ครั้นยามเช้าตรู่มาเยือน ก็ถูกแปะติดประกาศใหม่แล้ว
ในอดีตเหล่าประชาชนมิได้สนใจกับประกาศสักเท่าไร นอกเสียจากว่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน
ซึ่งเมืองหลวงในขณะนี้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือการเจรจาสงบศึก
“ในประกาศว่าไว้อย่างไร?”
ทันทีที่ติดใบประกาศ เหล่าประชาชนต่างก็รายล้อมพร้อมแสดงความคิดเห็น และกรูกันเข้าไปถามเจ้าพนักงานที่ติดประกาศ
หนึ่งชั่วยามก่อนที่จะมีการติดประกาศ บางทีก็จะมีเจ้าพนักงานที่รับหน้าที่ ‘ร้องตะโกนสิ่งที่จะประกาศ’ ซึ่งเป็นการบอกเนื้อหาให้แก่ประชาชนรับทราบ
เพราะถึงอย่างไรในหมู่ประชาชน ก็ยังมีผู้ที่รู้หนังสือจำนวนน้อยอยู่ดี
อีกทั้งประกาศจากทางราชสำนักเช่นนี้ บวกกับระดับภาษาที่ใช้ก็เป็นระดับสูงมากอีก ต่อให้เป็นคนรู้หนังสือ แต่หากไม่เคยได้รับการศึกษามาก่อน ก็ไม่อาจเข้าใจเนื้อหาได้ทั้งหมด
สุดท้ายก็จะกลายเป็นสถานการณ์อย่าง ‘ทุกตัวอักษรล้วนรู้จักหมด แต่มิอาจเข้าใจในความหมาย’
“เนื้อหาต้องเกี่ยวกับเรื่องเจรจาสงบศึกแน่นอน ทางราชสำนักรบแพ้แล้ว ส่วนชิงโจวก็สูญเสียการป้องกัน ข้าได้ยินว่าเหมือนจะยอมยกดินแดนเพื่อสงบศึกนะ”
“ไม่นึกเลยว่าเฝ่ยโจวจะอวดดีเช่นนี้ ตั้งแต่กษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ชีวิตของประชาชนก็ย่ำแย่ลงทุกวัน ซ้ำขุนนางยังแผลงฤทธิ์ฉ้อโกงอีก”
“ชู่ เบาเสียงหน่อย อย่าพูดจาส่งเดชสิ”
“กลัวอันใด ทางนี้ไม่มีพวกทหารอยู่เสียหน่อย อีกอย่าง ทุกคนก็ด่ากันแบบนี้ทั้งนั้น”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น หัวข้อสนทนาก็ถูกเปลี่ยนจาก ‘การเจรจาสงบศึก’ เป็นเรื่องชิงโจวสูญเสียการป้องกันแทน
“กระทั่งฆ้องเงินสวี่ยังไม่สามารถปกป้องชิงโจวได้เลยหรือ เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งที่สามารถกวาดล้างกองกำลังของสำนักพ่อมดจำนวนสองแสนนายที่ด่านอวี้หยางได้ด้วยดาบเล่มเดียวเชียวนะ”
“เรื่องนี้ข้าฟังเจ้าพูดหลายรอบจนนับไม่ถ้วนแล้วนะ ใครมันจะไปรู้ได้เล่า แต่เมื่อพูดถึง ก็ไม่ได้เจอฆ้องเงินสวี่ในเมืองหลวงมานานแล้วเหมือนกัน”
“ข้าได้ยินมาว่าท่านโหราจารย์ได้สิ้นชีพอยู่ที่ชิงโจวทั้งหมดไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว ซึ่งฆ้องเงินสวี่ก็มิใช่คู่ต่อสู้ของกลุ่มกบฏอวิ๋นโจวด้วย”
“เฮ้อ ไม่แปลกใจเลยที่ฆ้องเงินสวี่ถึงตกต่ำเช่นนี้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ ก็ดันเอาชนะฝ่ายนั้นไม่ได้นี่”
หลังจากพูดระบายอารมณ์มาหลายวันแล้ว แม้เหล่าประชาชนส่วนใหญ่จะยังจิตใจไม่สงบ แต่กระนั้นพวกเขาก็เคยผ่านเวลาที่สับสนมากที่สุดมาแล้ว สำหรับเรื่องการตัดสินใจและการเจรจาสงบศึกระหว่างราชสำนักกับอวิ๋นโจว ถึงจะก่นด่ากันอย่างลับๆ ทว่าพวกเขาก็จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน
ความรู้สึกต่อต้านจึงไม่ได้มากขนาดนั้นแล้ว
โดยเฉพาะเรื่องชิงโจวสูญเสีญการป้องกันและเรื่องอวิ๋นโจวส่งคณะทูตเข้าเมืองหลวง เมื่อข่าวลือต่างๆ ที่หมกเม็ดเอาไว้ก็เริ่มแพร่กระจายออกไป เหล่าประชาชนในเมืองหลวงก็ค่อยๆ เข้าใจที่มาที่ไปของเรื่องราว และทราบถึงข่าวการตายของนักบุญอุปถัมภ์แห่งต้าฟ่งอย่างท่านโหราจารย์ในสงครามที่ชิงโจวได้
แม้ว่าในสายตาของพวกเขา ชื่อเสียงท่านโหราจารย์จะน้อยกว่าฆ้องเงินสวี่
เพราะความเข้าใจของประชาชนชนชั้นล่าง ท่านโหราจารย์ก็เป็นเพียงสมญานามและแนวคิดอย่างหนึ่ง
ในตอนนั้นเอง เจ้าพนักงานที่ยืนอยู่ข้างใบประกาศก็กล่าวเสียงดังกึกก้อง
“กษัตริย์ในอดีตกาลล้วนให้ความสำคัญกับการปกป้องราษฎรเสมอมา และไม่อาจทนได้เมื่อมีผู้มาทำร้ายคนในชาติ…ตั้งแต่ที่ข้าได้ขึ้นครองราชย์ การปกครองประเทศก็มิได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก เป็นเหตุให้กลุ่มกบฏอวิ๋นโจวลุกฮือขึ้นต่อต้าน ทั่วทั้งจิ่วโจวเกิดความวุ่นวายโกลาหล ซ้ำยังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ทำให้ราษฎรเป็นทุกข์และเดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า รู้สึกละอายต่อบรรพบุรุษยิ่ง…
“องค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่ง ผู้รองรับสรรพสิ่งด้วยคุณธรรม เหนือล้ำกว่าข้ามากหลายโข…กล่าวคือองค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่งจะขึ้นครองราชย์แทน โดยมีสวี่ชีอันจะเป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษา คอยช่วยฟื้นฟูระบอบการปกครองที่เสื่อมถอย ปราบปรามกลุ่มกบฏ แล้วทำให้ต้าฟ่งมีการเมืองที่โปร่งใส สงบสุขร่มเย็นอีกครา เช่นนี้จะไม่ดีกว่าหรือ? จบพระราชโองการเพียงเท่านี้”
ในใบประกาศมีตัวอักษรยืดยาวถึงสี่ร้อยกว่าตัว เมื่อเจ้าพนักงานอ่านจบ เหล่าประชาชนที่อยู่รอบข้างต่างก็ตกตะลึงอ้าปากค้างตามกันไป พวกเขาแข็งทื่ออยู่กับที่ราวกับรูปปั้นแกะสลักอย่างไรอย่างนั้น
“มะ หมายความว่าอะไร?”
“เหมือนว่า…องค์จักรพรรดิจะสละราชบัลลังก์ให้องค์หญิงใหญ่?” ดวงตาของผู้พูดพลันเบิกโพลง “องค์หญิงใหญ่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิหรือ?”
ทันใดนั้นเองสถานการณ์ก็กลายเป็นดั่งหม้อทอดอันร้อนฉ่า เกิดความโกลาหลขึ้นท่ามกลางฝูงชนอย่างดุเดือด
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่คิดจะระวังวาจาพาซวยที่หลุดออกจากปากอีกต่อไป แล้วเริ่มหารือกันอย่างรุนแรง
“สตรีจะขึ้นเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลหรอกรึ จะเอาพวกขุนนางไปนั่งเย็บปักผ้าด้วยกันหรือไร?”
“องค์หญิงนางรู้หนังสือบ้างหรือไม่? เหตุใดฝ่าบาทถึงสละราชบัลลังก์ให้องค์หญิงกันนะ สตรีขึ้นเป็นจักรพรรดิ ไม่กลัวถูกผู้คนใต้หล้าเยาะเย้ยเลยหรือ?”
ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือต่อต้าน โกรธเคือง และรับกับสิ่งนี้ไม่ได้ รู้สึกเพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุดในใต้หล้า
ต่อจากนั้นก็มีคนพูดขึ้นว่า
“พวกเจ้าเคยฟังเรื่องเล่าในโรงน้ำชาหรือไม่? เหมือนว่าในอดีตจะเคยมีจักรพรรดิที่เป็นสตรีมาก่อนด้วย เรียก เรียกว่าอะไรกันนะ?”
“จักรพรรดินีแห่งสุริยัน?”
“ใช่ๆ เจ้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกันหรือ”
ทันใดนั้นเองเสียงวุ่นวายโกลาหลก็พลันหยุดลง เป็นที่ชัดเจนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เคยได้ยินเนื้อหาเช่นนี้มาจากภัตตาคาร โรงน้ำชา หอนางโลม หรือสถานบันเทิงอื่นๆ
จากนั้นก็มีคนกล่าวขึ้นมา
“ในประกาศบอกไว้ว่า องค์หญิงใหญ่ขึ้นครองราชย์ โดยมีฆ้องเงินสวี่เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษานี่”
โอ้ มีฆ้องเงินสวี่เป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษานี่เอง
เสียงต่อต้านจึงลดน้อยลง แต่ก็ยังมีคนบ่นพึมพำอยู่
“ทำไมฆ้องเงินสวี่ต้องเป็นผู้ช่วยให้กับสตรีที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิด้วย นี่มันไม่เหลวไหลไปหน่อยหรือ ต้าฟ่งของเรามีประวัติยาวนานนับหกร้อยปี แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องทำนองนี้มาก่อน”
“ใช่ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าพวกขุนนางและฆ้องเงินสวี่คิดอะไรอยู่ ระหว่างที่เจรจาสงบศึกกับอวิ๋นโจว ก็มาผลักดันให้องค์หญิงใหญ่ขึ้นเป็นจักรพรรดิอีก”
“ฆ้องเงินสวี่เลอะเลือนแล้ว”
เดิมทีสวี่ชีอันก็ถูกมองว่าเป็นวีรบุรุษและนักบุญอุปถัมภ์ของปวงประชาชน แต่พอเกิดเรื่องชิงโจวเสียการป้องกันก็ทำให้ผิดหวังอยู่บ้าง ไหนจะเห็นเรื่องเจรจาสงบศึกที่น่าอับอายนั่นอีก แม้ว่าจะไม่มีใครกล่าวต่อว่าสวี่ชีอันในที่สาธารณะ แต่ในใจนั้นก็ย่อมมีความผิดหวังต่อเขาอยู่แล้ว
เมื่อใบติดประกาศปรากฏออกมา ความผิดหวังที่สะสมภายในจิตใจ ก็กลายเป็นความไม่พอใจทันที
จังหวะนั้นเอง เสียงเอะอะเสียงหนึ่งก็ดึงความสนใจของประชาชนที่อยู่รอบๆ ใบประกาศที่ติดตรงกำแพงไป
เมื่อมองตามเสียงดังกล่าวไป ก็เห็นว่ารถคุมนักโทษคันหนึ่งกำลังค่อยๆ แล่นมาทางนี้ ซึ่งมีประชาชนกลุ่มหนึ่งคอยตามด้านหลังรถนั่น พวกเขาทั้งขว้างหินและถุยน้ำลายใส่นักโทษที่อยู่บนรถคุมนักโทษอย่างไม่หยุดหย่อน
ทั้งยังมีคนถือถังใส่ของเสีย แล้วขว้างปาอุจจาระไปทางนักโทษที่อยู่ในรถอีกด้วย
ตอนนั้นเองท่ามกลางคนขี่ม้าหลายคน ก็มีคนเคาะยามคนหนึ่งขี่ม้าก้าวนำออกมาด้านหน้า ก่อนจะเคาะฆ้องหนึ่งครั้ง แล้วกล่าวเสียงกึกก้องว่า
“ภายใต้คำสั่งของฆ้องเงินสวี่ สั่งให้นำกลุ่มกบฏแห่งอวิ๋นโจวแห่ประจานกลางที่สาธารณะ”
ตลอดสองข้างทางเปี่ยมไปด้วยฝูงชนที่กำลังคึกคัก หลังจากได้ฟังประกาศเมื่อครู่ประชาชนก็เข้าไปร่วมสนุก บ้างก็ต่อแถวขว้างหินใส่ บ้างก็ชี้นิ้วพลางตะโกนสาปแช่ง และบางส่วนก็ปรบมือหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ
ยามนี้ศีรษะของจีหย่วนเต็มไปด้วยเลือด จิตใจดุจเถ้าที่ดับมอดสิ้น
ส่วนขุนนางจากอวิ๋นโจวที่ติดตามมาด้วยต่างก็ตัวสั่นงันงก ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความโศกเศร้า
…
ยามพลบค่ำ
ภายในห้องทรงพระอักษร ฮว๋ายชิ่งกำลังนั่งโต๊ะขนาดใหญ่ที่ถูกปูด้วยผ้าไหมสีทอง ซึ่งภายในห้องโถงก็มีหัวหน้าพรรคสองคนอย่างหลิวหงและเฉียนชิงซู รวมถึงเจ้ากรมพิธีการอยู่ด้วย
เจ้ากรมพิธีการประสานมือทำความเคารพกล่าวว่า
“ฝ่าบาท เรื่องการขึ้นครองราชย์เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งที่สวมชุดงามตามแบบของราชสำนัก พยักหน้าเบาๆ
หลังจากเจ้ากรมพิธีการถอยกลับไปแล้ว หลิวหงก็ออกมาประสานมือคำนับพร้อมเอ่ยว่า
“วันนี้ทั้งเมืองกำลังเดือดระอุ เหล่าประชาชนมีการต่อต้านอยู่บ้าง แต่ไม่นับว่าหนักหนา ส่วนเสียงวิจารณ์ของฆ้องเงินสวี่ก็เปลี่ยนเป็นดีขึ้น ยังเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนในเมืองหลวงอยู่มากพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลิวหงพูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา
“ด้วยชื่อเสียงของฆ้องเงินสวี่ในปัจจุบัน ใช้ให้เป็นเกราะคุ้มกันของฝ่าบาทก็เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะในยุคสมัยนี้ไม่มีใครได้ใจประชาชนเท่าเขาอีกแล้ว”
ในความจริงแล้ว พวกชนชั้นสูงยอมรับการที่องค์หญิงจะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิได้มากกว่าประชาชน ซึ่งขอเพียงแค่ได้ผลประโยชน์ร่วมเท่านั้น แต่หากบีบบังคับด้วยกำลัง ก็น้อยคนนักที่จะยอมจำนน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ในสายตาของชนชั้นปกครองฮว๋ายชิ่งเป็นสตรีเพศ แต่ถึงอย่างไรก็มีเชื้อสายราชวงศ์ฝังลึกอยู่
สตรีที่จะสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิจะถูกยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งกษัตริย์องค์ใหม่ก็ยังเป็นคนในราชวงศ์ต้าฟ่ง
สิ่งนี้จะช่วยลดการต่อต้านของชนชั้นปกครองได้อย่างมาก
แต่ประชาชนทั่วไปไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ หากจะเอาใจประชาชน ก็ต้องโน้มน้าวพวกเขา แต่ฮว๋ายชิ่งมีบารมีไม่มากพอ และไม่มีใครมีบารมีพอเช่นเดียวกัน จึงมีเพียงสวี่ชีอันเท่านั้นที่ทำได้
จากนั้นเฉียนชิงซูก็กล่าวเสริมว่า
“ฝ่าบาทจะสามารถได้ใจของราษฎรหรือไม่นั้น ก็ดูผลในวันพรุ่งนี้เถิด”
ฮว๋ายชิ่งก้มหน้า ตรวจอ่านเอกสารในมือ แล้วตอบเพียง ‘อืม’ โดยมิได้เงยหน้า
“ตอนนี้ดึกแล้ว ท่านทั้งหลายกลับไปก่อนเถิด”
จากนั้นทั้งสามคนต่างประสานมือคำนับ ก่อนจะเดินออกจากห้องทรงพระอักษรไป
เอกสารในมือฮว๋ายชิ่งถูกส่งมาจากสำนักราชเลขาธิการ โดยเนื้อหาคืองานที่ต้องทำหลังขึ้นครองราชย์ ซึ่งมีแต่เรื่องหยุมหยิม แต่มีเรื่องหนึ่งที่ดูสำคัญมากที่สุด นั่นก็คือเรียกสมุหเทศาภิบาลของแต่ละที่และผู้บัญชาการทุกคนกลับเมืองหลวงมารายงาน
ทว่าแท้จริงแล้วนี่คือการเจรจาและการโน้มน้าว เพื่อให้ผู้นำแต่ละเมืองมาร่วมทำงานภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน
…
วันต่อมา
วันนี้บรรยากาศในเมืองหลวงดูแปลกประหลาดยิ่ง ตั้งแต่เหล่าขุนนางชนชั้นสูง จนถึงประชาชนรากหญ้าทั่วไป ต่างก็ทราบกันดีว่าวันนี้คือวันที่จะต้องถูกบันทึกในประวัติศาสตร์อย่างแน่นอน
เนื่องจากองค์หญิงใหญ่ฮว๋ายชิ่ง จะขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิในวันนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้าฟ่งไม่เคยมีมาก่อนตลอดหกร้อยปีที่ก่อตั้งประเทศ
ยามที่จักรพรรดิขึ้นครองราชย์ ประชาชนทั่วไปจะไม่มีวาสนาได้เห็น แต่จะไม่มีการขัดขวางความสนใจหรือการวิพากษ์วิจารณ์ของพวกเขา
ทุกชนชั้นล้วนมีความคิดเห็นแตกต่างกันไป เช่นเหล่าบัณฑิตในราชวิทยาลัยและสำนักศึกษา รู้สึกจงเกลียดจงชังกับเรื่องฮว๋ายชิ่งจะขึ้นครองราชย์อย่างมาก แม้ว่าคณะทูตจากอวิ๋นโจวจะถูกแห่ประจานกลางที่สาธารณะ ก็ไม่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกดีได้เลย
แต่ส่วนมากก็มิได้ด่าทอสวี่ชีอันแล้ว
ในชนชั้นประชาชนคนทั่วไป มีความเห็นที่หลากหลายมากที่สุด บ้างก็ว่ารับไม่ได้ บ้างก็ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวเอง และมีบางส่วนที่เลือกจะเชื่อมั่นฆ้องเงินสวี่
ณ จวนสกุลสวี่ อาสะใภ้ก็เป็นตัวแทนของสตรีชนชั้นสูงในการแสดงความคิดด้วย
“เหล่าเหยีย เรื่องหนิงเยี่ยนคราวนี้มิใช่แค่เรื่องเหลวไหลหรอกใช่หรือไม่ สตรีจะขึ้นเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร ข้ามิกล้าออกจากจวนด้วยซ้ำ เพราะกลัวจะโดนคนจำได้ว่าเป็นอาสะใภ้ของสวี่หนิงเยี่ยน จะทำอย่างไรถ้าถูกคนปาไข่เน่าใส่เนี่ย”
อาสะใภ้ยังคงงดงามดั่งเดิม ราวกับว่ากาลเวลาจะเห็นใจนางเป็นพิเศษ
แม้นางจะนั่งเคียงข้างกับผู้เป็นบุตรสาว ถึงจะไม่ได้ให้ความรู้สึกดั่งเด็กสาว แต่ก็ไม่ได้ดูแก่ชรา และใบหน้าขาวนวลของนางหาได้มีริ้วรอยแม้สักนิดไม่
ส่วนอารองสวี่ก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่ได้แสดงความเห็นใด
“พี่ใหญ่เขามีขอบเขตของตัวเองอยู่”
สวี่หลิงเยวี่ยเมื่อเปรียบเทียบกับมารดาแล้ว นางมักจะชื่นชมวีรกรรมของพี่ใหญ่อยู่มาก
เมื่ออาสะใภ้สงบสติตัวลงได้ ก็ถอนหายใจ
“เรื่องชิงโจวสูญเสียการป้องกัน ก็ยังไม่ได้ถามเอ้อร์หลางเลย ส่วนหลิงอินที่กำลังบำเพ็ญอยู่เผ่าพันธุ์กู่ ก็ไม่รู้จะกลับมาปีไหนเดือนใด นางคงไม่ได้ถูกชาวหมานอี๋ในซินเจียงตอนใต้รังแกหรอกนะ
“คนไร้มโนธรรมอย่างเจ้าสวี่หนิงเยี่ยน กลับเมืองหลวงมาแล้ว แต่ก็ไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่องมาหาบ้างเลย”
ขณะที่พูดอยู่นั้น แววตาของอาสะใภ้ก็พลันนิ่งชะงัก และมองออกไปยังห้องโถง
……………………………………………….
[1] ยามเหม่าคือช่วงเวลา 05.00 – 06.59 น
Comments