อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร 547 เจอฝูงหมาป่ากลางดึก / 548 ไม่มีคนแอบล่าสัตว์

Now you are reading อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร Chapter 547 เจอฝูงหมาป่ากลางดึก / 548 ไม่มีคนแอบล่าสัตว์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 547 เจอฝูงหมาป่ากลางดึก / ตอนที่ 548 ไม่มีคนแอบล่าสัตว์

ตอนที่ 547 เจอฝูงหมาป่ากลางดึก

มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนเพิ่งปรับเอนเก้าอี้ลงเตรียมนอนก็ได้ยินเสียงและได้กลิ่น เป็นเสียงกับกลิ่นที่ไม่ปกติแต่คุ้นเคย พวกเขาจึงลงจากรถแล้วปิดประตู

ดวงดาวสว่างเต็มท้องฟ้าดุจเวลากลางวัน ไม่ต้องใช้กล้องส่องทางไกลทั้งสองคนก็เห็นชัดว่าสิ่งที่กำลังมาคืออะไร

“ฝูงหมาป่าจริงๆ ด้วย” เพราะเดาได้ว่าเป็นฝูงหมาป่า พวกเขาถึงได้ลงจากรถ ไม่ใช่ขับรถหนี

เสียงฝีเท้าขณะวิ่ง กลิ่นที่โชยมาตามลม ทำให้พวกเขาเดาได้

พวกเขาคุ้นเคยกับหมาป่ามากเหลือเกิน

เดินขึ้นไปทางที่ฝูงหมาป่ากำลังวิ่งมาประมาณสิบเมตร ทั้งสองคนหยุดยืน

ไม่นานหมาป่าตัวโตเต็มวัยสองตัว หมาป่าหนุ่มสองตัว ลูกหมาป่าสามตัว ฝูงหมาป่าทั้งเจ็ดตัวนี้ประกอบด้วยสีน้ำตาล สีเหลือง สีดำ สีขาว สีเทา หยุดยืนห่างจากทั้งสองคนไปห้าเมตร

ดวงตาสีเขียวกับสายตาเย็นชานั้นกำลังมองมู่เถาเยาราวกับสงสัย

“ซาลาเปาน้อย พวกมันเป็นครอบครัวเดียวกัน”

“อืม พวกมันดูผอมไปหน่อย เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างอ่อนแอ เพราะบนตัวของหมาป่าเต็มวัยสองตัวมีบาดแผลอยู่ไม่น้อย”

เมื่อเทียบกับหมาป่าที่อยู่ในป่าพิษหมาป่า พวกมันอ่อนแอมากจริงๆ

มู่เถาเยาปวดใจเล็กน้อย เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากสายเลือด

คนเผ่าหมาป่าพระจันทร์ใกล้ชิดกับหมาป่ามาแต่กำเนิด

ตี้อู๋เปียนเห็นมู่เถาเยาหดหู่ก็อดถามขึ้นไม่ได้ “ซาลาเปาน้อย อยากพาพวกมันไปอยู่ป่าพิษหมาป่าไหม”

“…ไม่ล่ะ ธรรมชาติคัดสรร ผู้แข็งแกร่งย่อมรอดชีวิต นี่เป็นกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่ควรทำลายสมดุล”

อย่าว่าแต่สัตว์เลย มนุษย์เองก็เหมือนกัน ล้วนต้องพึ่งตัวเองเพื่อความอยู่รอดทั้งนั้น

“พี่สาม ช่วยไปเอากล่องยาของฉันบนรถมาให้หน่อยสิคะ” น่าเสียดายที่ไม่ได้เอาเนื้อดิบสำหรับหมาป่ากินมาด้วย

มู่เถาเยาเดินไปทางฝูงหมาป่า

ฝูงหมาป่าเห็นคนเดินเข้าไปใกล้ก็ไม่ได้เดินขึ้นหน้าหรือถอยหลัง เพราะพวกมันรู้สึกคุ้นเคย ถึงขั้นที่รู้สึกคุ้นยิ่งกว่าสัตว์ชนิดเดียวกัน จึงไม่มีทางโจมตี แม้พวกมันจะหิวมากก็ตาม

มู่เถาเยาเดินไม่หยุด จนไปถึงตรงหน้าหมาป่าทั้งเจ็ดตัว ไล่ลูบทีละตัว จากนั้นก็อุ้มลูกหมาป่าที่ผ่ายผอมที่สุดขึ้นมา “เจ้าตัวน้อย หิวมากเลยใช่ไหม เดี๋ยวจะให้พวกแกกินยานะ”

เนื่องจากก่อนมารู้อยู่แล้วว่าเขตไร้ผู้คนมีหมาป่า เธอจึงเอายาที่เดิมทีเตรียมไว้ให้หมาป่าในป่าพิษหมาป่ามาด้วย ไม่ว่าจะได้เจอหรือไม่ก็เตรียมพร้อมไว้ก่อน

ตอนนี้ได้ใช้แล้ว

“ซาลาเปาน้อย กล่องยามาแล้ว”

ตี้อู๋เปียนเปิดกล่องยาแล้วเอาสองมือประคอง เพื่อให้มู่เถาเยาหยิบยาได้สะดวก

มู่เถาเยาวางลูกหมาป่าลงพื้น หยิบยาบำรุงออกมาเจ็ดเม็ดก่อน จากนั้นก็ป้อนให้กินตัวละเม็ด ให้มากกว่านี้พวกมันก็ดูดซึมไม่ได้ กินหนึ่งเม็ดเพียงพอแล้ว

จากนั้นก็เอายารักษาบาดแผลมาให้หมาป่าตัวเต็มวัยสองตัวกินตัวละเม็ด

พวกมันเป็นพ่อแม่ที่ดีมาก เนื้อตัวมีบาดแผลน้อยใหญ่มากมาย แต่ลูกๆ ทั้งห้ากลับไม่มีบาดแผลเลย ก็แค่ผอมแห้งไปหน่อย

ป้อนยาเสร็จมู่เถาเยาก็สื่อสารกับหมาป่า บอกว่าล้างแผลจะเจ็บหน่อย แต่จะช่วยให้หายไวขึ้น…บลาๆๆ

ตี้อู๋เปียนเอาคำพูดของมู่เถาเยาคุยกับพวกหมาป่าอีกครั้ง

แววตาของหมาป่าสองตัวมีความเชื่อใจมากขึ้น

คนหนึ่งส่องไฟ อีกคนฆ่าเชื้อใส่ยาให้หมาป่า

ตี้อู๋เปียนบ่นกับหมาป่าทั้งเจ็ด “พวกแกดวงดีนะ มาเจอซาลาเปาน้อย…”

ประมาณครึ่งชั่วโมงแผลบนตัวหมาป่าทั้งสองก็ถูกทำแผลจนหมด มู่เถาเยาหาถุงพลาสติกมาสองใบ แบ่งใส่ยาบำรุงกับยารักษาบาดแผลสำหรับหนึ่งอาทิตย์ พร้อมพูดประกอบท่าทางว่าพวกมันต้องกินอย่างไร สุดท้ายก็ให้ตี้อู๋เปียนแปลอีกรอบ

รอพวกมันเข้าใจแล้วมู่เถาเยาถึงเอาถุงพลาสติกที่ใส่ยาแบ่งให้พ่อแม่หมาป่าคาบไว้ ลูบหัวของพวกมัน “เอาล่ะ พวกแกกลับไปเถอะ วันหน้าไม่รู้จะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม”

“ซาลาเปาน้อย วันหน้าพวกเรามาอีกก็ได้” ไม่เอา ‘กขค’ มาอีกเด็ดขาด!

“ต่อให้มาอีกก็ใช่ว่าจะได้เจอ”

“…ฉันจะพยายามฝึกพลังวิเศษ พอถึงตอนนั้นจะติดต่อพวกมันก่อน”

มู่เถาเยายิ้ม ไล่ลูบหัวหมาป่าทีละตัว “พวกแกรีบไปเถอะ”

พวกหมาป่าวิ่งไปพลางหันกลับมามองด้วยสายตาอาวรณ์อยู่เรื่อยๆ

จนกระทั่งลับตา มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนถึงกลับขึ้นรถ

ทั้งสองคนหลับอยู่บนรถคนละคันประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วออกเดินทางต่อ

เวลานี้ใกล้ตีห้าแล้ว อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงฟ้าก็สว่าง

มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนขับรถไปถึงประมาณดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นก็หยุดจอด ล้างหน้าแปรงฟันปลุกสองสามีภรรยา

“เสี่ยวมู่?” จางผิงผิงมองไปนอกหน้าต่างรถ สีหน้างุนงง

“ฟ้าสว่างแล้ว ป้าจางรีบออกไปดูดวงอาทิตย์ขึ้นสิคะ”

จางผิงผิงสะดุ้งลุกขึ้นมา สีหน้ากลัดกลุ้ม “เสี่ยวมู่ ป้าบอกให้ปลุกตอนตีสองขึ้นมาเปลี่ยนกันขับไม่ใช่เหรอ”

“ตอนตีสองพวกเราก็หยุดพักไปค่ะ ไม่ได้ขับมาตลอดคืน ดูสิคะ ตอนนี้พวกเราออกจากเขตไร้ผู้คนแล้วค่ะ”

“จอดรถกลางคืน…ไม่เจอสัตว์มารบกวนเหรอ”

“ไม่มีค่ะ สงบมาก”

มีฝูงหมาป่ามาไม่จำเป็นต้องให้พวกเขารู้

จางผิงผิงเชื่อ เพราะเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย จึงพูดด้วยความดีใจ “พวกเราโชคดีจริงๆ !”

“ใช่ค่ะ ป้าจางล้างหน้าล้างตานะคะ หนูขอลงจากรถก่อน”

“เธอล้างแล้วเหรอ”

“ค่ะ หนูกับพี่สามล้างแล้วค่ะ”

พวกเขาดูดวงอาทิตย์ขึ้น กินอาหารเช้าแล้วออกเดินทางต่อ

ตอนที่ 548 ไม่มีคนแอบล่าสัตว์

จางผิงผิงกับสามีขับรถต่อเนื่องสามชั่วโมงกว่าถึงหยุดจอด

พอรถจอด มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็ตื่น

“เสี่ยวมู่ ตื่นแล้วเหรอ ข้างหน้ามีฝูงควายป่า ต้องรอพวกมันไปก่อนพวกเราถึงจะไปต่อได้”

“ค่ะ ควายป่าขี้หงุดหงิด ถ้าพวกเราขับเข้าไปหามัน มันอาจคิดว่าพวกเราท้าทายแล้ววิ่งตามรถ”

“ใช่จ้ะ เพราะคำนึงถึงเรื่องนี้ถึงได้จอดรถ แต่พวกเราห้ามลงจากรถเด็ดขาด”

มู่เถาเยาพยักหน้า “ค่ะ เราถ่ายรูปฝูงควายป่าพวกนี้จากทางหน้าต่างได้”

ครั้นแล้วจางผิงผิงก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป เพราะกล้องของเธออยู่ที่ลู่ทง

“เสี่ยวมู่ก็มาถ่ายด้วยกันสิ”

“หนูแค่ดูก็พอแล้วค่ะ”

สิบกว่านาทีต่อมาฝูงควายป่าก็ค่อยๆ เดินเยื้องย่างไปด้านหนึ่ง

เมื่อพวกมันเดินไปไกลแล้ว มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนถึงขับรถ

แต่ไม่นานก็เจอกับเจ้าหน้าที่หน่วยรักษาพันธุ์สัตว์ป่า รถถูกขวางไว้

ตี้อู๋เปียนกับลู่ทงแสดงหลักฐานใบอนุญาตที่ออกโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เนื่องจากเขตไร้ผู้คนแห่งนี้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวเพราะทะเลทรายสี่สี และก็เพราะเหตุนี้ถึงไม่มีการแอบล่าสัตว์

แน่นอนว่านอกจากเพราะนักท่องเที่ยวเยอะแล้วก็ยังมีสาเหตุด้านภูมิประเทศด้วย

ต่อให้เขตไร้ผู้คนจะใหญ่กว่าหลายๆ เมือง แต่ทางเข้าที่ให้รถขับเข้าไปได้มีไม่มาก อีกทั้งแต่ละทางเข้ายังมีคนเฝ้าตลอด

ไม่อย่างนั้นพื้นที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าจะให้เจ้าหน้าที่มาคอยดูแลคุ้มครองสัตว์คงมีเท่าไรก็ไม่พอ ห้ามคนแอบลักลอบล่าสัตว์ไม่ได้แน่นอน

เขตไร้ผู้คนแห่งนี้ถึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้ามา

เจ้าหน้าที่ตรวจดูใบอนุญาตเสร็จก็ตรวจค้นรถ เพื่อป้องกันแอบขนสัตว์ป่าออกไป

เจ้าหน้าที่ตรวจเสร็จถึงยิ้มพลางพยักหน้า “ขอโทษที่รบกวนครับ”

จางผิงผิงยิ้มพูด “ยินดีค่ะ”

เจ้าหน้าที่ “พวกคุณเข้ามาเจอรถคันอื่นไหมครับ เจออะไรผิดปกติบ้างไหม”

พวกเขาส่ายหน้าพร้อมกัน

กวางที่พวกเขาเจอมีเขาปกติ ไม่เจอซากสัตว์ที่ถูกถลกหนัง

ตี้อู๋เปียนก็ได้ถามถึงหมาป่ากับสัตว์ชนิดอื่น จึงรู้ว่าที่นี่ไม่มีคนลักลอบล่าสัตว์

ลู่ทงยิ้มพูด “เขตคุ้มครองธรรมชาติแห่งนี้สวยงามมาก เป็นสวรรค์ของสัตว์ป่า ผมเป็นตำรวจป่าไม้มาสามสิบกว่าปีพบเจอคนลักลอบล่าสัตว์อยู่ไม่น้อย”

อึม…ไม่ใช่แค่คนลักลอบล่าสัตว์ ยังมีพวกที่แอบขายพืชคุ้มครองของประเทศด้วย เช่นก่อนหน้านี้มีเถ้าแก่ร้านดอกไม้ร้านหนึ่งแอบเก็บดอกกล้วยไม้ป่าไปจนติดคุก…

เจ้าหน้าที่พอรู้ว่าเป็นคนวงการเดียวกันก็เกิดความสนิทสนมขึ้นมาทันที “แบบนั้นพวกคุณลำบากกว่าพวกเราอีกครับ ต้นไม้ในป่ามีเยอะมาก สังเกตเห็นความผิดปกติยาก มีเสียงปืนหรือเสียงอะไรก็ดังไม่ได้ไกลเท่าพื้นที่โล่ง”

ลู่ทงพยักหน้า “ใช่ครับ ผมไม่เคยได้ยินว่าที่นี่มีคนลักลอบล่าสัตว์ เพราะผลงานของพวกคุณเลยนะ”

“มันเป็นหน้าที่ครับ ตอนนี้เป็นช่วงวันหยุดของพี่เหรอครับ”

“ผมหกสิบแล้ว ไม่ใช่พี่หรอก เป็นลุงต่างหาก เพิ่งเกษียณมาไม่กี่เดือน”

“เกษียณแล้วเหรอครับ ยังดูหนุ่มอยู่เลย”

“แก่แล้ว ร่างกายไม่ไหวแล้ว ตามคนหนุ่มคนสาวไม่ทันแล้ว”

“คุณลุงดูพูดเข้า มีใครบ้างไม่ต้องอายุหกสิบ”

“ฮ่า ๆ นั่นสินะ ใครๆ ก็ต้องมีวันนั้น”

“ครับ พวกคุณไปต่อเถอะครับ พวกเราก็จะไปลาดตระเวนต่อแล้ว”

จางผิงผิงรีบถามขึ้น “พ่อหนุ่ม อีกนานไหมกว่าจะออกไปได้”

“ขับตรงไปเรื่อย ๆ สักสองชั่วโมงก็ออกไปได้แล้วครับ เก็บเอกสารไว้ให้ดี ตรงทางออกมีตรวจอีกครับ”

“ได้จ้ะ ขอบใจนะ”

“ยินดีครับ”

หลังจากเจ้าหน้าที่ไปแล้วพวกมู่เถาเยาก็ไม่รีบออกไป

จางผิงผิงดูเวลา “ตอนนี้ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว พวกเรากินอะไรรองท้องสักหน่อย เดี๋ยวออกไปได้ค่อยกินดีๆ สักมื้อ”

ทุกคนพยักหน้า กลับไปขึ้นรถบ้านกินไปคุยไป

ตี้อู๋เปียนพูดขึ้น “ถ้าเทียบกับเขตไร้ผู้คนที่อื่น ที่นี่ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแล้ว”

ลู่ทงก็ยิ้มพูด “นั่นสิ จุดที่มีสัตว์ป่าเยอะกลับไม่มีคนแอบล่า นี่เป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก”

จางผิงผิง “แต่ระดับอันตรายก็ไม่ใช่น้อย สัตว์ป่ามีพลังโจมตีสูง”

มู่เถาเยา “ตราบใดที่ไม่ไปยั่วยุ ปกติพวกสัตว์ไม่ทำร้ายคนก่อนค่ะ” เพราะมีอาหารอย่างเพียงพอ

ตี้อู๋เปียน “ดังนั้นถ้ารักชีวิตก็อย่าไปแหย่พวกสัตว์เลยครับ”

ทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของตี้อู๋เปียน

ต่อให้เบื่อชีวิต ก็ไม่มีทางมาถึงเขตไร้ผู้คนเพื่อเป็นอาหารสัตว์

หลังจากกินอาหารกลางวันแบบง่ายๆ เสร็จมู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนก็ขับรถ สองชั่วโมงต่อมาก็ถึงทางออก

พอตรวจเอกสารเสร็จจางผิงผิงก็ถามขึ้น “แม่หนู โรงแรมที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหนเหรอจ๊ะ”

ตำรวจหญิงยิ้ม พูดอย่างโอบอ้อมอารี “ขับไปตามภูเขานะคะ ประมาณสองชั่วโมงจะเจอโรงแรมที่ใช้ได้พอสมควร แต่ราคาแอบแพงค่ะ เพราะที่นั่นเหมือนเป็นจุดแวะพักของนักท่องเที่ยวที่จะเข้าออกเขตไร้ผู้คน ถ้าอยากได้ราคาถูกกว่านี้ให้ขับไปอีกหนึ่งชั่วโมงจะเข้าตัวอำเภอค่ะ”

“แล้วอีกสองวันพวกเราจะไปที่ราบทุ่งหญ้า นอกจากตรงนั้นแล้วยังมีที่อื่นไปได้อีกไหมจ๊ะ”

“มีค่ะ เข้าไปในตัวอำเภอจะมีหมู่บ้านที่ชื่อว่าหมู่บ้านเลี้ยงม้า อยู่ตรงชายชอบที่ราบทุ่งหญ้าค่ะ หรือพวกคุณป้าจะพักในหมู่บ้านก็ได้นะคะ ถึงที่นั่นจะเป็นหมู่บ้าน แต่ธรรมชาติสวยมากค่ะ พวกโฮมสเตย์ราคาถูกแพงมีหมด ร้านอาหารบางร้านก็อร่อยมากค่ะ”

อึม เธอเป็นคนหมู่บ้านเลี้ยงม้า พ่อแม่กับพี่ชายพี่สะใภ้เปิดร้านอาหาร มีชื่อเสียงในท้องถิ่นกับในหมู่นักท่องเที่ยวอยู่บ้าง

“น่าสนใจดีนะ ขอบใจมากนะแม่หนู”

“ยินดีค่ะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด