ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1409 ลงมือแล้ว

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 1409 ลงมือแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1409 ลงมือแล้ว

ไม่ใช่ว่าประตูบานนั้นหายไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดมันถึงปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันล่ะ… นี่มัน?

ฉู่หลิวเยว่ผงะไปอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ในที่สุดก็สามารถยอมรับความจริงได้

นางปรับลมหายใจ และรักษาท่าทีทุกอย่างให้เป็นปกติ

จากนั้นโครงร่างและลวดลายของประตูก็เริ่มชัดเจนมากขึ้น

ในที่สุดมันก็ปรากฏขึ้น “ตรงหน้า” ของฉู่หลิวเยว่

หากประตูบานนี้สามารถเปิดได้มันก็จะดีมาก…

ทันทีที่ความคิดนี้เพิ่งจะปรากฏภายในสมองของนาง ฉู่หลิวเยว่ก็พบว่า ประตูบานนั้นสามารถเปิดออกได้จริงๆ

ในตอนนั้นเอง นางก็พบว่าเทวจิตของตนเองเหมือนถูกพลังอันใดบางอย่างควบคุม มันควบแน่นจนกลายเป็นเงาคนร่างเล็ก

คนผู้นั้นเหมือนกับนางทุกประการ อีกทั้งยังเคลื่อนไหวตามนางอย่างไม่รู้ตัว

ในตอนที่นางอยากจะเดินเข้าไป แต่เงาคนร่างเล็กกลับเข้าไปในประตูบานนั้นแล้ว!

แสงและเงาเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา!

รอบข้างเหมือนจะมีอันใดบางอย่างบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว! พร้อมลมเย็นๆ ที่พัดผ่าน!

หลังจากผ่านไปได้สักพัก บริเวณโดยรอบก็ค่อยๆ เงียบลง

ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้น

ทันใดนั้นเองนางก็ต้องกลั้นหายใจลง

…คาดไม่ถึงว่านางจะมาอยู่ในประตูบานนั้นแล้ว!

รอบด้านของมิติแห่งนี้ยังคงเหมือนเดิม ลายเส้นที่ก่อร่างขึ้นออกมาอย่างตามอำเภอใจก็ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง

แม้กระทั่ง… ความเข้มข้นของพลังสวรรค์และโลกก็ยังเหมือนกับเมื่อก่อนทุกประการ!

พลังที่มองไม่เห็นพวยพุ่งออกมา และรวมตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเข้าไปในร่างของฉู่หลิวเยว่!

ชั้นบนสุดของเจดีย์

ภายในห้องที่ว่างเปล่าและสงบเงียบ ชายชราสวมชุดคลุมสีน้ำเงินนั่งขัดสมาธิอยู่

ผมของเขาเป็นสีขาวโพลน ใบหน้ามีริ้วรอยและร่องรอยที่ถูกทำร้ายจากวันเวลา

ลมปราณคลุมเครือ ท่าทางเหนือธรรมดา

ความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าของเขา มีแส้ขนหางจามรีอันหนึ่งลอยอยู่อย่างเงียบเชียบ

บริเวณโดยรอบเงียบมากแม้กระทั่งเข็มตกยังได้ยิน

ทันใดนั้นเองคิ้วของเขาก็ขยับขึ้นเล็กน้อย

“หื้อ?”

น้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าดังอยู่ในคอ

วินาทีถัดมาเขาก็ลืมตาขึ้น

ดวงตาคู่นั้นของเขาเป็นสีเทา ทั้งสะอาดและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง

มันบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยวัยแรกเกิด และเหมือนกับเคยผ่านมรสุมชีวิตมาน้อยใหญ่มากมาย ทั้งดูลึกล้ำและมีความอดทน

หากได้สบตากับดวงตาคู่นี้เข้า เหมือนว่าความลับทุกอย่าง จะถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด

ในตอนนั้นเอง เขาก็มองไปที่บานประตูที่อยู่ “ตรงหน้า” ห่างกันไปไม่ไกล

ประตูบานนั้นกับแส้ขนหางจามรีของเขาเผชิญหน้าเข้าหากันอยู่

ในดวงตาของเมิ้งเหล่ามีประกายครุ่นคิด

ประตูบานนี้… เหมือนว่าจะมีอันใดบางอย่างผิดปกติ?

แต่หากมองอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็พบว่าทุกอย่างนั้นปกติดี ไม่สามารถบอกได้อย่างละเอียดว่าตรงไหนที่ผิดปกติ

หรือว่าเขาคิดมากเกินไป?

เมิ้งเหล่าสงบใจลง

ก่อนหน้านี้มันไม่ค่อยเชื่อฟัง เขาจึงต้องใช้ความพยายามไปไม่น้อย ก่อนจะย้ายมันจากชั้นหนึ่งมายังชั้นบนสุด และวางไว้ตรงหน้า เพื่อดูด้วยตาตนเอง

แต่มันก็ดูไม่มีอันใดผิดปกติ

เขาจ้องประตูบานนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอันใดผิดปกติ เมิ้งเหล่าจึงหลับตาลงอีกครั้ง

แต่หัวใจของเขาก็เต้นระส่ำอยู่เล็กน้อย

“นังหนู… เจ้าบอกว่าไม่ต้องการก็ไม่ต้องการจริงๆ หรือ? หึๆ… ข้ากลับไปจะไปจับเจ้า…”

เขาพึมพำกับตนเองสองประโยค จากนั้นก็เริ่มเข้าฌานอีกครั้ง

ประตูบานนั้นก็ลอยอยู่อย่างเงียบเชียบ

ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดอยู่นาน ตอนนี้นางยังไม่ค่อยแน่ใจว่าสถานการณ์ปัจจุบันของตนเองเป็นอย่างใด

นางอยู่ในประตูบานนั้นแน่หรือ หรือว่า… ประตูบานนี้เข้ามาอยู่ในร่างกายของนาง?

อีกทั้งบริเวณโดยรอบก็ดูเหมือนจริงอย่างยิ่ง แต่ตั้งแต่ต้นจนจบนางมั่นใจว่านางอยู่ที่เดิม และไม่ได้ทำอันใดทั้งนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ เมิ้งเหล่าจะไม่ให้ความสนใจเลยได้อย่างใด…

นางคิดไม่ออก จึงเลิกคิดเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

เวลาเป็นสิ่งล้ำค่า นางต้องการคว้าทุกโอกาสมาบำเพ็ญเพียรให้ได้อย่างรวดเร็ว!

ท้ายที่สุดแล้วการที่จะมาที่นี่ในแต่ละครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่าย

หลังจากสงบจิตใจลงแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มตั้งใจบำเพ็ญเพียร

ตอนนี้นางอยู่ในจอมยุทธ์ระดับเก้าขั้นต้น ประสิทธิภาพในการบำเพ็ญเพียรสูงขึ้นแต่ก่อนไม่น้อย

อีกทั้ง…

หลังจากที่กลับมาจากบุพกาลชายแดนเหนือ นางก็ค้นพบว่าลมปราณของนางนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นทุกวันอย่างเห็นได้ชัด

เหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่สุสาน นางกลืนกินพลังจำนวนมากเกินไปในคราวเดียว ตอนนี้ก็ค่อยๆ ถูกปล่อยออกมา ผสานเข้ากับกระดูกในร่างกาย ดังนั้นความแข็งแกร่งจึงเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ

และหลังจากที่นางทะลวงด่านจอมยุทธ์ระดับเก้าได้ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้นกว่านั้น

ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิด ก่อนจะ “มองไปยัง” ตันเถียนอีกครั้ง

บนไข่มุกธารา มีลวดลายสะดุดตาเก้าเส้นส่องสว่างขึ้น

แม้ว่าเส้นสุดท้ายจะด้อยกว่าเส้นอื่นเล็กน้อย แต่มันก็สะดุดตาอย่างยิ่ง

และเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำนั้นมีรอยแตกร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน เหมือนกับใยแมงมุม

โดยเฉพาะตำแหน่งตรงกลาง รอยแตกร้าวสายหนึ่งที่ลากยาวไปถึงยอดเจดีย์ จนแทบจะแตกออกจากกันทั้งหมดแล้ว!

เหลือเพียงส่วนสุดท้ายเท่านั้นที่ยังเชื่อมต่อกันอยู่

เมื่อหันกลับไปมอง มันทั้งเปราะบาง และเหมือนว่ามันจะแตกหักขึ้นได้ทุกเมื่อ!

หลังจากฉู่หลิวเยว่ฟื้นขึ้นมามันก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว

ลำแสงเรืองรองรอดผ่านรอยแตกร้าวนั้น ดูแล้วเหมือนเรื่องที่เหนือจินตนาการอย่างยิ่ง

แม้กระทั่งตัวของฉู่หลิวเยว่เองก็ยังไม่รู้ว่า ผนึกส่วนสุดท้ายนั้นจะเปิดขึ้นมาเมื่อไร

นางสามารถสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยอย่างยิ่ง

…นั่นคือจิตวิญญาณของนางจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัย!

แน่นอนว่าภายในนั้นจะต้องมีความทรงจำที่ขาดหายไปของนาง

ฉู่หลิวเยว่สยบหัวใจที่เต้นไม่เป็นระส่ำลง แล้วดูดซับพลังที่อยู่รอบข้างอย่างบ้าคลั่ง

เหมือนแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก วิ่งผ่านลำคลองที่แห้งแล้ง

พื้นดินที่แตกระแหงก็เปลี่ยนไปด้วยความมีชีวิตชีวา

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่า

วันที่จิตวิญญาณของนางจะกลับมา บางที… อาจจะเป็นเร็วๆ นี้แล้ว!

เขาจิ่วเหิง

หรงซิวที่เพิ่งกลับออกมาจากเขาเฝิงหมิน เมื่อมาถึงที่หน้าประตู สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที ดวงตาจ้องไปที่กลอนประตูตาเขม็ง

ในตอนนั้นเองเขาก็ผลักประตูเข้าไป

ตู๋กูโม่เป่ากำลังรออยู่ภายในห้อง

เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาก็หันหน้ากลับมา

เสื้อคลุมสีม่วงที่หรูหราและประณีต มีรอยคราบเลือดเปื้อนอยู่!

หรงซิวขมวดคิ้ว

“ท่านลงมือแล้วหรือ?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด