ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1417 น้องชาย
ตอนที่ 1417 น้องชาย
พลังปราณศักดิ์สิทธิ์สายนั้น นางแย่งมาจากรัชทายาทของเป่ยหมิง ฉู่หลิวเยว่คิดมาโดยตลอดว่า ก่อนที่ตนเองจะทะลวงอาณาเขตเทพเซียน นางจะไม่มีทางผสานพลังปราณศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นได้แน่นอน
แต่ทว่าในตอนนี้ ภาพเหตุการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้กลับเกิดขึ้นแล้ว!
อีกทั้งมันยังดูง่ายดายและเรียบง่ายอย่างมาก!
ฉู่หลิวเยว่กลั้นหายใจลงโดยไม่รู้ตัว
นางสามารถรับรู้ได้เลยว่าพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ผสานเข้ากับชีพจรและเส้นเลือดของนางเรียบร้อยแล้ว
และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ลมปราณของฉู่หลิวเยว่พุ่งทะยานสูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งนางอยู่ห่างจากจอมยุทธ์ระดับเก้าเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น!
นางหลับตาลง แต่ระลอกคลื่นที่อยู่ภายในใจไม่สามารถสงบลงได้
ที่แห่งนี้มันคือที่ไหนกันแน่?
อีกทั้งแรงกดดันที่น่าหวาดกลัว มันมาจากที่ใดกัน?
และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ เหตุใดที่แห่งนี้ถึงช่วยเหลือนางขนาดนี้?
ความคิดจำนวนนับไม่ถ้วนของฉู่หลิวเยว่ปรากฏขึ้นภายในสมอง!
…
เนื่องจากการมาถึงของตระกูลระดับใหญ่และสำนักที่อยู่ภายนอก บรรยากาศทั่วทั้งสำนักจึงตึงเครียดขึ้นอย่างมาก
ศิษย์ส่วนใหญ่จึงมารวมตัวกันที่จัตุรัสชิงหมิง
และมีบางส่วนเลือกที่จะรอคอยภายในพื้นที่ของตนเอง รอดูทิศทางของสถานการณ์ในตอนนี้อย่างเงียบเชียบ
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง หลัวเยี่ยนหมิงและหลัวเยี่ยนหลินกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ระหว่างทั้งสองคนนั้น มีกระดานหมากรุกโปร่งแสงขนาดใหญ่ขวางอยู่บนอากาศ
ลำแสงสีเงินปรากฏอยู่ทั่วบริเวณ
ดารดาษเหมือนดวงดาวอยู่บนท้องฟ้า
แต่ดูเหมือนว่าได้ลงหมากไปครึ่งกระดานแล้ว
หลัวเยี่ยนหมิงกอดอก ขมวดคิ้วมุ่น เขาจ้องไปที่กระดานตรงหน้าตาเขม็ง เหมือนกับกำลังลำบากใจอย่างมาก
เขาอยู่ในท่าทางนี้มาเกือบหนึ่งเค่อแล้ว
แต่หลัวเยี่ยนหลินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เหมือนจะผ่อนคลายกว่ามาก แต่ก็ยังสามารถอดทนรออย่างใจเย็นได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหงื่อบนหน้าผากของหลัวเยี่ยนหมิงไหลย้อยออกมา
เขายกมือขึ้น พยายามหาทางลงมือ แต่ทุกครั้งที่ถึงเวลาสำคัญ เขาก็ลังเลและเลือกที่จะถอยหลังออกไป
เขาไม่มั่นใจ
ในที่สุดหลังจากผ่านไปอีกครึ่งเค่อ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น
“พี่สี่ ข้าแพ้แล้ว”
หลัวเยี่ยนหลินโบกข้อมือ กระดานหมากรุกแผ่นนั้นก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นกระดาษโปร่งแสงแผ่นบาง ที่มีขนาดไม่เกินฝ่ามือ
ของชิ้นนั้นลอยไปตรงหน้าของหลัวเยี่ยนหมิง เขาผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็รับมาด้วยสองมือ
“เอากลับไปศึกษาให้ดี”
หลัวเยี่ยนหลินเดินเข้ามาแล้วตบไหล่ของเขา
“ความรู้ของเจ้าไม่เลว ภายในครึ่งเดือน เจ้าน่าจะสามารถเรียนรู้มันได้สำเร็จ”
ริมฝีปากหลัวเยี่ยนหมิงขยับเล็กน้อย แล้วยิ้มออกมาอย่างจนปัญญาเล็กน้อย
“เป็นข้าที่ไร้ประโยชน์ ทำให้พี่สี่ผิดหวัง”
หากเปรียบเทียบกับคนทั่วไป หรือผู้บำเพ็ญเพียรด้านค่ายกลส่วนใหญ่แล้ว อาจจะเรียกได้ว่าเขามีความโดดเด่นเลยทีเดียว
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบุคคลชั้นนำอย่างแท้จริง เขาก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่า ฝีมือยังห่างชั้นอีกไกล
พรสวรรค์เช่นนี้ ไม่ว่าจะตามอย่างใดก็ตามไม่ทัน
“เดิมทีระดับของข้าก็อยู่สูงกว่าเจ้าอยู่แล้ว หากเจ้าชนะ พี่สี่ของเจ้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? แล้วอีกอย่างหากอยากเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง เพียงแค่พรสวรรค์อย่างเดียวมันไม่เพียงพอ เยี่ยนหมิง เจ้าจะต้องจำเอาไว้ สวรรค์ย่อมตอบแทนคนขยันหมั่นเพียร”
หลัวเยี่ยนหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยักหน้าอย่างแรง
“ขอบคุณพี่สี่มากขอรับ”
ขณะที่พูดเขาก็เก็บของสิ่งนั้นลงอย่างระมัดระวัง
“พี่สี่ พวกเจ้าเล่นหมากรุกเสร็จหรือยัง?”
เสียงที่อบอุ่นอ่อนโยนดังขึ้น
คนผู้นั้นคือ หลัวซือซือ
เดิมทีนางจะมาดูพวกเขาเล่น แต่ได้ยินมาว่าด้านนอกสำนักมีการเคลื่อนไหว จึงจากไป
“เพิ่งเสร็จ”
หลัวเยี่ยนหลินเดินเข้าไปหา
“สถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างใดบ้าง?”
หลัวซือซือเห็นว่าหลัวเยี่ยนหมิงมีใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ก็รู้แล้วว่าหมากเมื่อครู่นี้เขาเป็นฝ่ายแพ้
แต่ว่าสถานการณ์แบบนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตเขาเคยเจอมาหลายครั้งมากแล้ว ดังนั้นหลังจากที่เขาเสียใจไปสักครู่หนึ่ง ก็สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้แล้ว
หลัวซือซือถอนสายตาออกมา คิ้วเรียวเหมือนก้านหลิวของนางขมวดขึ้นเล็กน้อย
“สถานการณ์… ไม่ได้ดีมาก”
จากนั้นนางก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอกอย่างคร่าวๆ ให้พวกเขาฟัง
ความจริงแล้วสิ่งที่นางรู้ก็มีจำกัด เพราะท้ายที่สุดแล้วนางก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
สิ่งที่สามารถสืบมาได้ก็มีน้อยมาก
“… สรุปว่าทั้งสองกำลังถึงคราวตัน เรื่องราวหลังจากนี้จะเป็นอย่างใด เกรงว่าจะพูดได้ยาก”
หลัวซือซือค่อนข้างกังวล และรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
เหตุใดอยู่ดีๆ คนเหล่านี้ถึงต้องหาเรื่องฉู่เยว่ด้วยเนี่ย?
เขาสามารถได้รับโอกาส ก็ถือว่าเป็นโชคชะตาของเขา มันเกี่ยวอันใดกับคนอื่นด้วยเล่า?
ร้ายดีอย่างใดคนเหล่านี้ก็เป็นบุคคลสำคัญในตระกูลและสำนักสูงส่ง การที่มาบีบบังคับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง พวกเขาไม่รู้สึกละอายใจเลยหรือ?
หลังจากที่หลัวเยี่ยนหลินฟังจบแล้ว เขาก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“วางใจเถอะ เรื่องตลกขบขันในครั้งนี้ สุดท้ายจะเป็นเพียงแค่เสียงฟ้าร้องดังครึกโครม ฝนตกโปรยปราย เรื่องใหญ่จะกลายเป็นเรื่องเล็ก เรื่องเล็กจะหายไป เด็กคนนั้น… ไม่มีทางเป็นอันใดไปแน่นอน”
หลัวซือซือชะงัก แล้วรีบถามขึ้นมา
“พี่สี่ เจ้ารู้ได้อย่างใด? ข้าว่าคนเหล่านั้นได้วางแผนไว้ยิ่งใหญ่มาก…”
เมื่อหลัวเยี่ยนหลินเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของนาง ในตอนนั้นก็รู้สึกไม่มีความสุขขึ้นมา
เขารู้ว่าน้องสาวตระกูลเขาชื่นชอบเด็กหน้าเหม็นคนนั้น แต่เมื่อเห็นนางเป็นห่วงมากขนาดนี้ คนที่เป็นพี่ชายก็มีความคิดบางอย่างขึ้นมา
เขาแค่นหัวเราะเสียงเบา แล้วเดินไปนั่งที่ม้าหินด้านข้าง พร้อมรินชาให้กับตนเอง ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“เด็กคนนั้นดวงแข็งมาก ใครจะไปทำอันใดเขาได้?”
เพิ่งเข้าสำนักมาไม่กี่เดือน ฉู่เยว่ก็ก่อเรื่องไปไม่น้อยแล้วไม่ใช่หรือ?
มีหลายครั้งที่ตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต อันตรายปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
แล้วผลเป็นอย่างใดเล่า?
เขาก็ยังสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ?
อีกทั้งก็ยังมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว!
หากเป็นคนอื่นแล้วละก็ คงทนไม่ไหวตั้งนานแล้ว แต่เจ้าเด็กคนนี้ก็ยังรับได้เสมอ
เดิมทีในตอนนี้เขาไม่สามารถใช้สายตาแบบเดิมมองฉู่เยว่ได้แล้ว
“แล้วอีกอย่างตอนนี้ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและหรงซิวกำลังพูดให้เขาอยู่ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาสนับสนุนฉู่เยว่ มีสำนักหลิงเซียวและพระราชวังเมฆาสวรรค์คอยหนุนหลังเช่นนี้… คนเหล่านั้นคงไม่กล้าทำอันใดง่ายๆ แน่นอน”
ไม่ว่าจะเป็นสำนักหลิงเซียวหรือพระราชวังเมฆาสวรรค์ต่างไม่ควรยั่วยุทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขากำลังร่วมมือกัน และยืนอยู่ฝั่งเดียวกันไม่ใช่หรือ?
หากคนเหล่านี้ไม่ได้บ้า เขาไม่มีทางยอมล่วงเกินสองกองกำลังใหญ่เพื่อฉู่เยว่ผู้เดียวหรอก!
หลัวซือซือได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง
“ที่พี่สี่พูดมาก็ใช่…”
“ที่คนเหล่านี้มาเพียงเพราะว่าเขาคว้าน้ำเหลวจากบุพกาลชายแดนเหนือ และอิจฉาสิ่งที่ฉู่เยว่ได้รับ หากบอกว่า… หึ มีความมุ่งร้าย แต่คนที่ตามกระแสเหล่านั้น กลับเป็นคนที่โง่ยิ่งกว่า”
เพราะการที่มาหาเรื่องโดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้ ล่วงเกินทั้งสำนักหลิงเซียว แล้วตอนนี้ก็ยังมีพระราชวังเมฆาสวรรค์ แบบนี้ไม่คุ้มค่าแน่นอน
พวกเขาคิดว่าหากร่วมมือกันแล้วก็สามารถเกลี่ยโทษออกไปได้ แต่เขากลับไม่รู้ว่าแค้นของสุภาพบุรุษ สิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย
เขารู้จักหรงซิวมานานขนาดนี้ เขาไม่เคยเห็นหรงซิวออกหน้าให้ใครเช่นนี้เลย
แค้นในวันนี้ เกรงว่าอีกฝ่ายได้จดมันเอาไว้แล้ว
“จริงสิ หรงซิวพูดว่า เขากับฉู่เยว่มีความสัมพันธ์อันใดกันหรือ?”
สำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาสงสัยใคร่รู้มาโดยตลอด
ตอนนี้หรงซิวยอมรับด้วยตนเองแล้ว แน่นอนว่าเขาจะต้องศึกษาอย่างดี
สีหน้าของหลัวซือซือแปลกประหลาดไป
“เขาบอกว่า… เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิด… แต่เขาไม่ได้พูดโดยละเอียด”
หลัวเยี่ยนหลินลูบคางตนเอง แล้วครุ่นคิดอยู่นาน ตอนที่เขาพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาก็ลังเลไปเล็กน้อย
“ไม่เห็นเคยได้ยินว่าหรงซิวมีน้องชายร่วมมารดาอีกคนหนึ่งนี่นา…”
Comments