ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1418 เผด็จการ
ตอนที่ 1418 เผด็จการ
ตู้ม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังลั่นมาจากยอดเขาด้านข้าง!
หลัวเยี่ยนหลินและคนอื่นๆ ก็หันไปมองด้วยแววตาตกใจ
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
หลัวเยี่ยนหลินส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนใจเย็น พร้อมทั้งรีบสาวเท้าก้าวเข้าไปดูทางนั้นให้ละเอียด
แต่เขาเห็นเพียงแค่ถ้ำที่อยู่บริเวณไหล่เขาถล่มลงมาเท่านั้น
หินขนาดใหญ่หลายก้อนหล่นลงมา พร้อมทำให้เกิดฝุ่นควันจำนวนมาก แทบจะปิดปากทางเข้าถ้ำไปแล้ว
“ทางนั้น… เป็นที่ที่หลินจือเฟยอยู่นี่นา”
หลัวเยี่ยนหมิงเดินตามมา หลังจากจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น
“เหมือนว่าในช่วงนี้เขาจะปิดด่านฝึกอยู่ตลอด ก็ไม่รู้ว่านี่เกิดอันใดขึ้น คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำเสียงดังขนาดนี้?”
ครึ่งปีที่ผ่านมานี้หลินจือเฟยเป็นหนึ่งในศิษย์ใหม่ที่โดดเด่นที่สุดของทางสำนัก
เขาก็เป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล ดังนั้นหลัวเยี่ยนหมิงจึงให้ความสนใจเขามาโดยตลอด
“หลินจือเฟย?”
หลัวเยี่ยนหลินเลิกคิ้วขึ้น
“ข้าไม่ได้เจอเขามาสักพักแล้ว”
หลินจือเฟยไม่ได้ติดตามทุกคนไปยังบุพกาลชายแดนเหนือ แต่อยู่ที่สำนักเพื่อตั้งใจบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอด
โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเอาชนะเจียงจื่อหยวนเมื่อครั้งที่แล้วมาได้ เขาก็เอาแต่อยู่ในที่ของตนเอง ไม่ค่อยได้ออกมาเท่าไร เก็บตัวอย่างยิ่ง
หลายคนไม่รู้ว่าหลินจือเฟยคิดจะทำอันใดกันแน่
ซึ่งรวมถึงหลัวเยี่ยนหมิงด้วย
“เกิดเรื่องอันใดกับเขาขึ้นหรือไม่ พวกเราลองไปดูหน่อยดีหรือไม่?”
หลัวซือซือถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย
ดูจากการเคลื่อนไหวของเขาแล้ว เหมือนว่าเขาจะมีปัญหา
หลัวเยี่ยนหมิงกำลังจะเคลื่อนไหว แต่ก็ต้องหยุดชะงักชั่วคราว
“ไม่ต้อง”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น กองหินขนาดใหญ่เหล่านั้นก็ถูกคนผลักออก!
คนรูปร่างสูงผอมเดินออกมาจากกึ่งกลางของกองหิน
และนั่นคือหลินจือเฟยที่ไม่ได้เห็นหน้ามานาน
บนใบหน้าและร่างกายของเขาเปรอะเปื้อนฝุ่นอยู่จำนวนไม่น้อย และเหมือนว่ามุมปากยังมีคราบเลือด ดูท่าทางจนตรอกเล็กน้อย
เขาเดินออกมาพร้อมสำลักฝุ่นเหล่านั้น
แต่ว่าหลัวซือซือและคนอื่นๆ ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“เหมือนว่าเขาจะไม่ได้เป็นอันใดมาก…”
หลัวซือซือถอนหายใจออกมา
แม้ว่าจะไม่ได้สนิทกัน แต่ทุกคนล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนัก จึงไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นอันใดไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลินจือเฟยที่มีพรสวรรค์ด้านค่ายกล
หากเขาเป็นอันใดไป ก็น่าเสียดายน่าดูไม่ใช่หรือ?
“หื้อ?”
ทันใดนั้นหลัวเยี่ยนหลินก็จ้องไปที่หลินจือเฟยตาเขม็ง แล้วหรี่ตาเล็กน้อย
“พี่สี่ เป็นอันใดไปหรือ?”
หลัวซือซือเองก็สังเกตได้ว่ามีอันใดผิดปกติ พร้อมมองไปทางเขาอย่างประหลาดใจ
หลัวเยี่ยนหลินพูดขึ้นมาอย่างลังเล เหมือนว่ากำลังจะคาดเดาอันใดบางอย่าง ในแววตามีระลอกคลื่นพวยพุ่ง
ถ้าเขาไม่ได้รู้สึกผิดพลาดไปละก็ ระลอกคลื่นที่กระจายมาจากถ้ำนั้น เหมือนว่าจะเป็น… การเคลื่อนไหวจากการสร้างค่ายกล?
แม้ว่ามันจะเล็กน้อย แต่ฝีมือของเขาก็แข็งแกร่ง อีกทั้งเขามีประสบการณ์สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายพร้อมกับผู้อาวุโสในตระกูล ดังนั้นเขาสามารถรับรู้ได้
หรือว่าหลินจือเฟยพยายามสร้างค่ายกลด้วยตัวคนเดียวภายในถ้ำแห่งนั้น
ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในสมองอย่างกะทันหัน ทำให้หลัวเยี่ยนหลินรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
เพราะว่าการสร้างค่ายกลนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อนอย่างมาก
โดยปกติแล้ว แม้กระทั่งปรมาจารย์ค่ายกลระดับราชายังมีความรู้ระดับงูๆ ปลาๆ
แต่คาดไม่ถึงว่าหลินจือเฟยจะทดลองสิ่งนี้…
ฝีมือที่แท้จริงของเขาอยู่ในระดับไหนกัน?
แต่ดูจากสถานการณ์เมื่อครู่นี้แล้ว หลินจือเฟยน่าจะล้มเหลว
แต่… สามารถสร้างความเคลื่อนไหวขนาดนี้ได้ มันก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าอย่างน้อยเขาได้พบหนทางบางอย่างแล้ว
หลัวเยี่ยนหลินตกใจเล็กน้อย
เขารู้มาตลอดว่าหลินจือเฟยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ดีมาก อีกทั้งยังมีนิสัยมั่นคง
เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่กี่เดือน นอกจากตอนทดสอบเมื่อต้นเดือน และตอนที่ประลองกับเจียงจื่อหยวนในครั้งนั้นแล้ว เขาก็แทบจะลบการมีอยู่ของตนเอง เวลาอื่นเหมือนว่าเขาได้หายตัวไป และเอาแต่ตั้งใจบำเพ็ญเพียร
คนเช่นนี้ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเรื่องไม่สำเร็จเลย!
ดังนั้นหลัวเยี่ยนหลินจึงชื่นชมเขาอยู่เสมอ
แต่ในวันนี้ เขาเพิ่งพบว่า บางทีตนเอง… อาจจะประเมินอีกฝ่ายต่ำไป!
เหมือนว่าเขารับรู้สายตาการจ้องมองของคนทั้งหลาย หลินจือเฟยจึงชะงักฝีเท้า แล้วเงยหน้ามามองทางนี้
หลังจากมองใบหน้าของพวกเขาอย่างชัดเจนแล้ว หลินจือเฟยก็แสดงสีหน้าจริงใจ และพยักหน้าให้อย่างมีมารยาท พร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อย
เหมือนว่า… เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ไม่มีความลำบากใจหลังจากที่มีคนมาค้นพบเรื่องที่เขากำลังทำอย่างลับๆ เลย
หลัวเยี่ยนหลินเองก็พยักหน้า และถอนสายตาออกไป
“ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้เป็นอันใด”
หลัวเยี่ยนหมิงจ้องไปทางนั้นอยู่หลายรอบ
ในฐานะที่เขาเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พูดไม่ออก
“เอาละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกเจ้าทั้งสองคนกลับไปฝึกให้ดี เมื่อกลับบ้านไปจะต้องมีการทดสอบ”
“ทราบแล้วพี่สี่”
…
เมืองฝางโจว
ทั้งสองฝ่ายยังคงดึงดันอยู่
“… นี่หมายความว่า เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าคนที่พาฉู่เยว่ไปนั้นคือใครกันแน่? ถ้าพูดไปแล้วก็คงมีแค่ฉู่เยว่เท่านั้นที่รู้ไม่ใช่หรือ?”
จินตี้ถามขึ้นเสียงเย็น
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“นางก็ไม่รู้”
จินตี้หัวเราะเสียงเย็น
“ใครจะรู้แล้วว่านางไม่รู้จริงหรือไม่!”
มุมปากของหรงซิวยกยิ้มขึ้น แต่กลับเป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยือก
“หากนางรู้ นางจะต้องบอกองค์ชายเช่นข้า ทุกท่านคิดว่าหากข้ารู้ว่าผู้นั้นเป็นใคร ข้าจะมายืนอยู่ตรงนี้แล้วสนทนากันอย่างสนุกสนานเช่นนี้หรือ?”
เดิมทีน้ำเสียงของเขาก็เย็นชามากอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ยังมีความเย็นเพิ่มขึ้นอีกสามส่วน ทำให้จิตใจของผู้คนสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เงียบกริบ
คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากัน
ที่หรงซิวพูดเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล…
ทุกคนสามารถมองออกว่า เขาปกป้องฉู่เยว่มากเพียงใด
ถ้าเขารู้ว่าฉู่เยว่ถูกใครรังแก และรู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดคือใคร ด้วยนิสัยเผด็จการอย่างเขา ไม่มีทางอดทนจนถึงตอนนี้อย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็น่าจะไม่รู้จริงๆ…
Comments