ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 805 ไม่เต็มใจ
บทที่ 805 ไม่เต็มใจ
เผ่าลี่กู่
ในคฤหาสน์สามทางเข้าของหัวหน้าหลงถู สวี่ชีอันเหลือบมองรูปแบบการตกแต่งห้องโถงด้านใน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเลียนแบบมาจากที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่ยังไม่อาจกำจัดความหยาบกระด้างและความเรียบง่ายของชายแดนตอนใต้ออกไปได้ ดังนั้นภาพที่เห็นจึงยากจะบรรยาย
“พลังของเทพเจ้ากู่ในเหวลึกจะยังไม่คุกคามเจ้าในตอนนี้ แต่ถ้าในอนาคตเกิดวิกฤตที่คล้ายคลึงกันขึ้น โปรดแจ้งให้เรารู้ล่วงหน้า”
สวี่ชีอันนั่งบนเก้าอี้ตัวใหญ่ หยิบถ้วยชาขึ้นมา แล้วจิบชาพิเศษจากชายแดนตอนใต้
หลงถู ฉุนเยียนและหัวหน้าคนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มแย้มแจ่มใส กระตือรือร้นและให้ความเคารพ
ฉุนเยียนยิ้มแย้มพูดจา
“ขอบคุณฆ้องเงินสวี่ที่ให้ความช่วยเหลือ ชาวเผ่าพันธุ์กู่ซาบซึ้งในความเมตตาของเจ้า ขอให้มิตรภาพระหว่างต้าฟ่งกับชายแดนตอนใต้ยั่งยืนตลอดไป”
หลวนอวี้นั่งขัดสมาธิ ดวงตาเป็นประกาย หน้าตาสดใส พูดจาเย้ายวน
“ฆ้องเงินสวี่ไม่ได้บอกให้หลุนเจียรู้ว่าเขามาถึงชายแดนตอนใต้แล้ว ทำให้เราคิดว่ามีอสูรกู่เหนือมนุษย์ถือกำเนิดขึ้น ทำให้หลุนเจียหวาดกลัวแทบตาย!”
ขณะที่พูด นางก็เอามือเล็กๆ นุ่มนิ่มขาวผ่องของนางทาบหน้าอกตัวเอง
เนื่องจากสำเนียงจึงทำให้ ‘เหรินเจีย[1]’ ฟังดูเหมือน ‘หลุนเจีย’ แต่เสียงนั้นนุ่มนวลดึงดูดใจ ทั้งยังไพเราะเพราะพริ้งอ่อนหวาน ฟังดูแล้วคลับคล้ายคลับคลาเสียงนางฟ้า
สวี่ชีอันมิได้สนใจนางทั้งยังพูดจาเคร่งขรึม
“ข้ารู้ว่าชื่อเสียงของต้าฟ่งไม่ดีนัก พวกท่านย่อมไม่เคยไว้วางใจต้าฟ่งมาก่อนและเหตุผลในการจัดตั้งพันธมิตรก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของตัวข้าเอง”
“แต่ฆ้องเงินผู้นี้รับรองได้ว่า ตราบเท่าที่ข้าอยู่ที่นี่ ต้าฟ่งกับเผ่าพันธุ์กู่จะเป็นพันธมิตรกันตลอดไป”
ตัวตนในสายตาต้าฟ่ง จิ่วโจวเป็นแบบอย่างของจารีต มีมารยาท ทรงพลังน่าเกรงขาม
ต้าฟ่งในสายตากองกำลังหลักล้วนเป็นเด็กชายวัยเบญจเพสที่ไม่ซื่อสัตย์ น่ารังเกียจและไร้ยางอาย!
ในเรื่องนี้ ล้วนพูดถึงสำนักพุทธกับเทพพ่อมดมากที่สุด
หลงถูกับคนอื่นๆ ล้วนตื่นเต้นกับคำสัญญาของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง แต่ฉุนเยียนเห็นว่า ฆ้องเงินสวี่มิได้แยแสต่อการขยิบตายั่วยวนของหลวนอวี้ นางจึงแอบประเมินเขาสูงขึ้นเล็กน้อย
ต้องรู้ว่าฆ้องเงินสวี่มีชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ ก่อนที่เขาจะร่ำรวย ทุกวันเขาใช้เวลาอยู่ในสำนักสังคีต มีการติดต่อใกล้ชิดกับข้าราชบริพารทั้งหมดและมีสถานะสูงส่งในทุ่งดอกไม้
“เสบียงที่สัญญากับท่านไว้อาจต้องรออีกหนึ่งหรือสองปี ตอนนี้ในที่ราบลุ่มภาคกลางมีแต่ขยะ ไม่มีเงินและอาหารจริงๆ แต่ข้าได้นำเงินบำนาญสำหรับทหารเผ่าพันธุ์กู่ที่เสียชีวิตในสนามรบมาด้วย”
สวี่ชีอันมองไปทางฉุนเยียนและกล่าวคำขอโทษ
“ต้องขออภัย กองทัพอสูรเหินเวหาห้าร้อยนายของเผ่าซินกู่ถูกกวาดล้างหมดสิ้นแล้ว”
แววตาของฉุนเยียนฉายแววเศร้า นางพูดเสียงแผ่วเบา
“ข้าเชื่อว่าพวกเขาตระหนักดีอยู่แล้วว่าจะต้องตายในสนามรบ พวกเขาเป็นนักสู้ที่กล้าหาญที่สุดของเผ่าซินกู่ ทางเผ่าจะดูแลเมียและลูกของพวกเขาเอง”
สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดให้ฟังเบาๆ
“พวกเขายังเป็นวีรบุรุษของต้าฟ่งด้วย ข้าได้หารือกับฝ่าบาทแล้วว่า จะเปิดโรงเรียนขึ้นที่เมืองกวนในยงโจว ลูกหลานเหล่าทหารที่พลีชีพเพื่อต้าฟ่ง สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและการขนส่งจะตกเป็นภาระของเมืองกวน”
“เด็กคนอื่นๆ ของเผ่าพันธุ์กู่ย่อมต้องการอ่านและเขียน ดังนั้นพวกเขาย่อมมาได้ แต่พวกเขาต้องมาเรียนหนังสือ”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบรรดาหัวหน้าทั้งหลายโดยไม่มีปิดบัง ขงจื๊อเป็นระบบการศึกษาที่สมบูรณ์แบบที่สุดในจิ่วโจวตอนนี้ รวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้โดยไม่จำกัดแค่เพียง ‘ประวัติศาสตร์’ ‘การแพทย์’ ‘กฎหมาย’ ‘มารยาท’ ‘คำนวณตัวเลข’ และ ‘ภูมิศาสตร์’
หลังจากที่ลูกหลานของเผ่าพันธุ์กู่มีรากฐานทางวัฒนธรรมที่สูงขึ้น พวกเขาสามารถเขียนประวัติศาสตร์ให้กับคนเผ่าพันธุ์กู่ บัญญัติกฎหมายและสร้างมารยาทที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ยกตัวอย่างที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้คือ ถ้าลี่น่าอ่านภูมิศาสตร์เป็น นางจะไม่หลงทางเมื่อขึ้นเหนือและจะไม่โดนโกงเงิน
อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อเผ่าพันธุ์กู่ค้าขายกับกองคาราวานจากที่ราบลุ่มภาคกลาง พวกเขามักถูกกองคาราวานที่ไร้ยางอายหลอกลวง เพราะพวกเขาคำนวณตัวเลขไม่เป็น
“สำหรับเผ่าพันธุ์กู่แล้ว บุญคุณครั้งนี้จะคงอยู่ตลอดไป ขอขอบคุณฆ้องเงินสวี่ เผ่าพันธุ์กู่จะจดจำความเมตตาของเจ้าจากรุ่นนี้ไปสู่รุ่นต่อๆ ไป”
หลงถูยืนขึ้นทันทีและพูดเสียงต่ำ
“นั่นคือข้อตกลง! ในนามของทุกคนในเผ่าลี่กู่ ขอขอบคุณฆ้องเงินสวี่”
ดวงตาของเขาเป็นประกาย ราวกับเขาต่อรองราคาได้เงินก้อนโต
อ่า ข้ายังพูดไม่จบเลย เด็กๆ ชาวเผ่าลี่กู่ต้องเอาข้าวมากินเอง…สวี่ชีอันพูดอย่างอับจนหนทาง
“รับจำนวนจำกัดและจะมีการประเมินทุกสามเดือน เด็กที่ไม่ผ่านการประเมินจะต้องถูกส่งตัวกลับถิ่นเดิม”
…
บนยอดเขาเซียนซาน วังเทพสวรรค์
หลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่ร่อนลงตรงจัตุรัสด้านนอกพระราชวัง หลี่หลิงซู่เหลือบมองวังที่สูงตระหง่านด้วยความวิตกกังวลเล็กน้อย
หลี่เมี่ยวเจินยังคงนิ่งเงียบ
“จดจำคำอธิบายของอาจารย์ไว้”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงเตือน
หลี่หลิงซู่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
หลี่เมี่ยวเจินเม้มริมฝีปากของนางและพูดเสียงแผ่วเบา
“อาจารย์ ศิษย์ผิดตรงไหน?”
เทพธิดาปิงอี๋จ้องมองหลี่เมี่ยวเจินและพูดเบาๆ
“การอิจฉาริษยาเป็นสิ่งผิด ผิดที่วิตกกังวลเรื่องสาธารณะ ผิดที่เอาทรายมาถูตา”
“อย่าฝ่าฝืนองค์เทพแล้วยอมรับการลงโทษ เจ้าจึงจะรอดพ้นจากบ่วงกรรมครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย มิฉะนั้น ถึงเป็นปรมาจารย์ก็ไม่อาจช่วยชีวิตเจ้าได้”
หลังจากพูดจบ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงกับเทพธิดาปิงอี๋ก็ก้าวเข้าไปในวังเทพสวรรค์
หงส์เพลิงเดินตามหลังศิษย์พี่ของนางไปอย่างเงียบเชียบ
วังเทพสวรรค์นั้นงดงามมาก มองจากภายนอกดูเหมือนพระราชวังที่สร้างขึ้นสำหรับยักษ์โดยเฉพาะ
เสาหนารองรับโดมที่สูงกว่าสิบจั้ง เสาแต่ละต้นมีขนาดสิบคนโอบ หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ เดินไปตามทางเดินกลางห้องโถงใหญ่ เสียงฝีเท้ายังดังก้องอยู่ในโถงพระราชวัง
สุดปลายทางเดินเป็นบัลลังก์สูง องค์เทพผู้มีผมสีขาวและมีเครานั่งขัดสมาธิบนแท่นดอกบัวโดยก้มศีรษะลงเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังหลับอยู่และล้อไฟสี่สีฉายแสง ‘ดิน ลม น้ำ และไฟ’ กำลังหมุนอยู่หลังศีรษะของเขา
สองข้างบัลลังก์มีผู้อาวุโสของนิกายสวรรค์อยู่ทั้งหมดเก้าคน คนพวกนั้นมีทั้งชายและหญิง มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ในตอนนี้ พวกเขามองไปยังหลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่ด้วยสีหน้าเฉยเมย
เปรียบเหมือนการมองดูคนไม่สลักสำคัญ ไม่มีท่าที ‘เกลียดเหล็กแต่ไม่เอาเหล็ก’ และ ‘ยุยงปรมาจารย์ให้มาถามอาชญากร’
แต่หลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่รู้หน้าที่ตัวเองดี เมื่อเทพบุตรและเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์มาเยี่ยมชมแม่น้ำและทะเลสาบ พวกเขามักได้รับคำเตือนจากผู้อาวุโส
อย่ายึดติดกับเรื่องเวรเรื่องกรรม
ความหมายของประโยคนี้คือ ให้พยายามมองจากมุมมองของผู้สังเกตการณ์ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงในโลก มองเห็นการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์และเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในโลกโลกิยะ
ใช้เรื่องนี้เพื่อตระหนักให้ลืมเสน่หาขั้นสูงสุดไป
ศิษย์ลัทธิขงจื๊อชอบไปศึกษาต่างถิ่นด้วยเหตุผลเดียวกัน เมื่อท่านเห็นคนมากมาย ท่านย่อมเข้าใจคน
แต่สถานการณ์ของนิกายสวรรค์นั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย พูดตามตรง เส้นทางของหลี่เมี่ยวเจินกับหลี่หลิงซู่นั้นถูกต้อง มีความรักก่อนแล้วค่อยลืมเสน่หา
เข้าใจด้วยการกระทำย่อมง่ายกว่าจ้องมองแน่นอน
แต่ปัญหาคือมีความเสี่ยงมากเกินไป หลี่หลิงซู่กับหลี่เมี่ยวเจินไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ในอดีต เทพบุตรและเทพธิดาของนิกายสวรรค์มักตกลงสู่โลกโลกิยะและไม่สามารถละทิ้งตัวตนได้
บางคนทรยศปรมาจารย์ แต่งงานมีลูกมีเมีย หรือปรนนิบัติสามีเลี้ยงดูลูก
แม้ไม่เลวร้ายนัก แต่ก็มีส่วนน้อยที่ตกสู่วิถีแห่งมารและกลายเป็นมารฝ่ายอธรรมไป
พูดง่ายๆ คือมีรักก่อนแล้วค่อยลืมเสน่หา แต่มีกี่คนเล่าที่ติดอยู่ในหลุมลึก มีรักแล้วออกไปไหนไม่ได้
การที่นิกายสวรรค์จะฝึกฝนเทพบุตรหรือเทพธิดาขึ้นมาสักคนย่อมมิใช่เรื่องง่าย?
ด้วยเหตุนี้ต่อมาผู้อาวุโสจึงมักตักเตือนเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายไม่ให้เข้าไปพัวพันกับเวรกรรม
สำหรับเทพบุตรและเทพธิดาที่ลงจากภูเขา การกำกับดูแลย่อมเข้มงวดยิ่ง
“คารวะองค์เทพ!”
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงและเทพธิดาปิงอี๋ทำความเคารพด้วยน้ำเสียงราบเรียบและท่าทีเรียบเฉยไม่แยแสสิ่งใด
“ได้พบองค์เทพแล้ว!”
หลี่หลิงซู่และหลี่เมี่ยวเจินเลียนแบบท่าทางปรมาจารย์ของตัวเองและทำความเคารพด้วยท่าทีเฉยเมย
ทว่าเหมือนฝูงหมาป่าที่มีฮัสกี้สองตัวปะปนอยู่
มีบางสิ่งบางอย่างที่มักรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่เสมอ
องค์เทพนั่งขัดสมาธิก้มศีรษะ แต่ไม่พูดอะไร ทว่ามีเสียงดังก้องในโถงพระราชวัง
“หลี่หลิงซู่ เจ้าลงเขาเป็นเวลาสามปี มีสาวงามคนสนิทสามร้อยเก้าสิบสองคนทั่วทั้งที่ราบลุ่มภาคกลางและชายแดนตอนใต้ รวมถึงที่อื่น ๆ ทว่าเจ้ายังไม่หลุดพ้นจากตัณหาราคะ เทพถามเจ้าว่า หมกมุ่นกับการลืมเสน่หาขั้นสูงสุดขนาดนั้นเลยหรือ?”
‘สัตว์เดรัจฉาน มีมากมายขนาดนั้นเลยหรือ?!’ หลี่เมี่ยวเจินเอียงคอมองศิษย์พี่ของนางทันที เกือบรักษาท่าทีเฉยเมยไม่แยแสสิ่งใดของนางไม่อยู่
หลี่หลิงซู่ดูเศร้าสร้อยและพูดว่า
“องค์เทพพูดผิดแล้ว มีสามร้อยเก้าสิบเจ็ดคน สี่คนเสียชีวิตในสงคราม หัวใจของศิษย์แสนเจ็บปวด…”
พอพูดจบ เขาก็รู้สึกว่าอากาศในห้องโถงพระราชวังเย็นลงอย่างรวดเร็ว ออกจะหนาวเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงรีบพูดเพิ่มเติมว่า
“หัวใจของศิษย์แสนเจ็บปวด เมื่อรู้ตัวว่าอยู่ไม่ไกลจากการลืมเสน่หาขั้นสูงสุด”
องค์เทพไม่ตอบสนองสิ่งใด
หลี่หลิงซู่หายใจเข้าลึกๆ และเริ่มพูดเรื่องที่เขาคิด โดยพูดว่า
“ศิษย์รู้สึกว่า ถ้าอยากจะลืมเสน่หา ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าเสน่หาคืออะไร และอะไรคือเสน่หา?”
“เพื่อที่จะทำตามความคาดหวังอันสูงส่งของปรมาจารย์ ศิษย์จึงตัดสินใจเสี่ยงชีวิตและอุทิศตนเพื่อความเสน่หา แต่ศิษย์โง่เขลา ในตอนแรกก็รู้สึกได้เพียงความงดงามของเสน่หา แต่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงควรลืมเสน่หา”
“แต่วิชาลับของปรมาจารย์ไม่เคยผิด ดังนั้นศิษย์จึงสร้างเสน่หามากมาย มองหาสาวงามคนสนิทครั้งแล้วครั้งเล่า พยายามค้นหาความเสน่หา”
คนแรกที่อยู่ทางด้านซ้ายของบัลลังก์เป็นชายชราที่มีผมหงอกขาว เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แล้วเจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าอะไรคือลืมเสน่หาขั้นสูงสุด?”
หลี่หลิงซู่ส่ายหัว
“ศิษย์ กลับ…กลับทำให้มันเลวร้ายลง แต่ท่านองค์เทพและเหล่าผู้อาวุโส โปรดเชื่อเถอะว่าศิษย์คนนี้ไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับสตรี ศิษย์เพียงแค่จำต้องเข้าใจการลืมเสน่หาขั้นสูงสุด”
นักบวชเต๋าผมหงอกขาวพยักหน้าเล็กน้อย หันไปหาองค์เทพแล้วพูดว่า
“เทพบุตรหมกมุ่นอยู่กับสตรี องค์เทพอาจต้องการพิจารณาตอน”
ใบหน้าของหลี่หลิงซู่เปลี่ยนเป็นซีดเผือด เขาพูดจาตะกุกตะกัก
“ไม่ ท่านไม่ได้พูดว่า ‘ตัดขาดจากโลกียะ ตัดขาดจากหัวใจมนุษย์’ หรอกรึ?”
เสียงอันยิ่งใหญ่ขององค์เทพดังกึกก้องอยู่ในห้องโถงพระราชวัง
“ท่านคิดเช่นไร?”
เหล่าผู้อาวุโสพากันครุ่นคิด ส่ายหัวพร้อมกัน แล้วตอบว่า
“เราเชื่อว่าเทพบุตรหลี่หลิงซู่ไม่สามารถลืมเสน่หาขั้นสูงสุดได้ ดังนั้นจึงควรลบความทรงจำของเขาทิ้งและสร้างจิตใจขึ้นมาใหม่”
องค์เทพพูดช้าๆ
“ได้!”
ริมฝีปากของหลี่หลิงซู่สั่นระริก อยากจะโต้แย้งและประท้วง แต่สุดท้าย เขาก็เลือกที่จะเงียบ เขาไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของปรมาจารย์
หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองเขาและรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
เสียงขององค์เทพดังกึกก้องอีกครั้ง
“เทพธิดาหลี่เมี่ยวเจิน หลังนางลงจากเขา นางก็ปล้นคนรวยช่วยเหลือคนจน กล้าหาญผดุงความชอบธรรม หนึ่งปีต่อมา นางไปที่อวิ๋นโจวเพื่อจัดตั้งกองทัพส่วนตัวมาปราบโจร จากนั้นไปเมืองหลวงเพื่อเสริมทัพนิกายสวรรค์ในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์…”
องค์เทพพูดจาฉะฉาน สรุปการกระทำของหลี่เมี่ยวเจินในแม่น้ำและทะเลสาบ
“หลี่เมี่ยวเจิน เจ้าเกลียดชังความชั่ว เจ้าไม่อาจเอาทรายมาถูตาได้ แม้ว่าเจ้าจะทำเรื่องดี แต่เจ้าก็ถูกผูกมัดด้วยอารมณ์ มันเป็นอารมณ์ที่ควบคุมเจ้า ไม่ใช่เจ้าควบคุมอารมณ์ เจ้าอยากจะพูดอะไรน่ะ?”
ผู้อาวุโสทุกคนหันไปมองหลี่เมี่ยวเจินพร้อมกัน
เมื่อเทียบกับหลี่หลิงซู่ สถานการณ์ของเทพธิดานั้นร้ายแรงกว่า นิกายสวรรค์ให้ความสำคัญกับการลืมเสน่หาขั้นสูงสุดแต่แก่นแกนคือการอยู่เหนืออารมณ์
หลี่เมี่ยวเจินกลับตรงกันข้าม นางหลงใหลมากเกินไป เป็นอารมณ์ที่ควบคุมนาง
ในสนามรบยงโจว นางยอมอยู่และตายร่วมกับสหายที่สิ้นชีพไปในสนามรบมากกว่าอยู่คนเดียว นี่คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
“ศิษย์ไม่มีอะไรจะพูด!”
หลี่เมี่ยวเจินพูดเสียงต่ำ
“เจ้ายินดีรับโทษลบความทรงจำของเจ้าหรือไม่?” เสียงขององค์เทพดังก้องห้องโถงพระราชวังและดังก้องอยู่ในหูหลี่เมี่ยวเจิน
หลี่เมี่ยวเจินก้มศีรษะลง นิ่งเงียบและนิ่งเงียบ
เทพธิดาปิงอี๋เหลือบมองไปด้านข้างนางและพูดเบาๆ
“องค์เทพกำลังถามเจ้าอยู่!”
นักธรรมในตำแหน่งแรกทางด้านขวาพูดเบาๆ
“เทพบุตรยังปล่อยสาวงามคนสนิทของเขาไปได้ เหตุใดเจ้าจะปล่อยกลุ่มคนที่เจ้าเคยคบหาตลอดสามปีที่ลงจากเขาไม่ได้?”
ความขมขื่นปรากฏอยู่เต็มหน้าหลี่หลิงซู่
นักบวชเต๋าผมหงอกขาวพูดจาเย็นชา
“เจ้ากับเทพบุตรมีพรสวรรค์เหนือมนุษย์ หากเจ้าเข้าใจการลืมเสน่หาขั้นสูงสุด เจ้าสามารถใช้ชีวิตในโลกนี้ได้อย่างอิสระ มีชีวิตอยู่ตลอดกาล และสืบทอดนิกายสวรรค์ต่อไป คนธรรมดาในโลกนี้มีอายุสั้นเพียงร้อยปี ดังนั้นพวกเขาไม่ควรมาเป็นโซ่ตรวนขวากหนามขวางทางเจ้า”
“ชีวิตของพวกเขาไม่มีความหมาย หากเจ้าลบความทรงจำของเจ้าได้ เจ้ายังได้เป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ต่อ”
‘ไม่มีความหมายรึ?
ในขณะนี้ ทุกสิ่งที่นางประสบและผู้คนที่นางพบเจอ ตั้งแต่นางเดินทางลงจากภูเขาก็แวบเข้ามาในความคิดของนาง
มีขุนนางในชนบทที่ร่ำรวยทว่าไร้เมตตา มีข้าราชการที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ มีคนที่ได้รับความเดือดร้อนและถูกรังแก มีวีรบุรุษหนุ่มที่ชื่นชอบนางมานาน แต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึก มีสหายที่เสียชีวิตในศึกยงโจว
และเขา…
ในอวิ๋นโจว เขาคือผู้ให้คำสัญญาที่มีค่าดั่งทองพันชั่ง เขาสาบานแล้วว่าจะยอมตายในศึกสำนักพุทธ ในตลาดผักเขาตัดศีรษะท่านอ๋องด้วยความโกรธเกรี้ยวและยุติบทบาทข้าราชการ ที่ด่านอวี้หยาง เขากลืนโอสถสุวรรณแล้วกระโดดลงจากกำแพงเมือง เขาบุกเข้าไปในพระราชวังด้วยความโกรธเกรี้ยวและตะโกนว่า ทุกคนโกรธแค้นเขาและโลกใบนี้ไม่เคยมองเห็นตัวเขา
นางไม่อาจลืมเลือนสหายที่สิ้นชีพในยงโจวได้ เพราะนี่เป็นการทรยศต่อพวกเขา
นางไม่อาจลืมเลือนผู้คนที่เคยให้ความช่วยเหลือได้ เพราะนี่คือความทรงจำที่มีค่าที่สุดในชีวิตของนาง และมันคือความหมายของการเดินทางไปในแม่น้ำและทะเลสาบตลอดสามปีของตนเอง
นางไม่อาจลืมคนผู้นั้นได้เลย คนที่นางชื่นชมและเทิดทูนอยู่เสมอในใจ แม้จะไม่เคยปริปากพูด
ทุกคนรู้ว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินผดุงความยุติธรรม ลงทัณฑ์ความชั่วช้า อภิบาลความดี
ทุกคนรู้ว่า ฆ้องเงินสวี่อุทิศตนเพื่อประเทศและประชาชน
นางไม่มีทางเหงา
หลี่เมี่ยวเจินเงยหน้าขึ้นและพูดว่า
“ศิษย์ ไม่เต็มใจ!”
องค์เทพเงียบ แต่อากาศในห้องโถงพระราชวังเย็นลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนหนาวสั่นไปทั่ว
“ศิษย์อย่างข้ากระทำการอย่างเปิดเผยและเหนือชั้น ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ข้าละอายใจต่อลัทธิของข้า แต่ไม่ละอายต่อโลกและผู้คนในที่ราบลุ่มภาคกลาง ข้าได้ช่วยเหลือโลก ลงโทษความชั่วร้ายและส่งเสริมความดี สิ่งนี้ เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าของข้าเอง
“ท่านองค์เทพสามารถสังหารข้า กำจัดข้า แต่อย่ามาดูถูกข้า อย่ามาลบความทรงจำของข้า
“องค์เทพได้โปรดตัดสินให้ลุล่วง”
ไม่มีเสียงใดดังขึ้นในห้องโถงพระราชวัง ศิษย์ทุกคนมองไปที่องค์เทพพร้อมเพรียงกัน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงอันยิ่งใหญ่ขององค์เทพก็สะท้อนออกมา
“ได้ตามที่ขอ!”
ดูเหมือนรูม่านตาของเทพธิดาปิงอี๋จะหดตัวลง
นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงและผู้อาวุโสทั้งสองฝั่งหลับตาลง
ใบหน้าของหลี่หลิงซู่ซีดขาวราวกระดาษ
…………………………………………………….
[1] เหรินเจีย 人家 เป็นคำแทนตัวเองสำหรับผู้หญิง (ในเนื้อเรื่องฉุนเยียนใช้สำเนียงท้องถิ่นจึงออกเสียงเพี้ยนเป็น หลุน)
Comments