จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)บทที่ 463 ผีกาฝาก 2
บทที่ 463 ผีกาฝาก 2
ฉู่ชวิ๋นตะโกนเรียกอยู่หลายครั้ง แต่เกาโม่หานก็ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าประสาทการได้ยินและการมองเห็นถูกปิดกั้นไปทั้งหมด
เกอจ้านตกใจกับเสียงของฉู่ชวิ๋น เพราะว่าเส้นไหมวิญญาณสามารถสื่อสารผ่านเสียงได้ ดังนั้นจึงได้ยินเสียงของฉู่ชวิ๋นดังอยู่ตลอดเวลา
“สหายน้อยหลุนหุย เกิดอะไรขึ้น?” เกอจ้านถามออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่นี่มันแปลก ๆ เดี๋ยวผมจะลองดูใหม่อีกครั้ง” ฉู่ชวิ๋นตอบไปด้วยพร้อมกับคิดหาวิธีช่วยเหลือคนไปด้วย
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปหาเกาโม่หานอีกครั้ง แต่เรื่องประหลาดไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เกาโม่หานยืนอยู่ตรงหน้าเขาชัด ๆ แต่มือของฉู่ชวิ๋นกลับไม่สามารถสัมผัสตัวของเกาโม่หานได้เลยแม้แต่น้อย
เหมือนอยู่กันคนละมิติอย่างไรอย่างนั้น
ฉู่ชวิ๋นดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ เข้าใจชัดเจนแล้วว่าค่ายอาคมแห่งนี้เป็นเหมือนเขาวงกต มีเส้นทางวกวนไม่รู้จบ และเส้นทางแต่ละสายก็จะมีค่ายอาคมเป็นของตนเอง
ฉู่ชวิ๋นไม่สงสัยอีกแล้วว่าทำไมนักพรต ถึงเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย นั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเขามีค่ายอาคมที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่นี่เอง
ดังนั้น ชายหนุ่มจึงตรวจสอบด้วยการลองปล่อยคลื่นจิตวิญญาณออกไป
คลื่นจิตวิญญาณของเขากระจายตัวไปได้ไกลสุดแค่ 10 เมตร เท่านี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันเพียงพอแล้ว
ฉู่ชวิ๋นพลันหลับตาลง และใช้จิตวิญญาณสำรวจจุดที่เป็นค่ายอาคมบนพื้นดิน หลังจากนั้น เขาก็เริ่มขยับเท้าเดินไปตามแนวขวางสองก้าว เป็นลักษณะการเดินที่ดูแปลกตาอย่างยิ่ง
เกอจ้านเบิกตาโต ไม่เข้าใจเลยว่าชายหนุ่มกำลังทำอะไรอยู่? แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงถามให้มากความ
สุดท้าย ฉู่ชวิ๋นก็เดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง พลันเขาก็ลืมตาขึ้นมา มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย ค่ายอาคมถูกทำลายเรียบร้อยแล้ว
ค่ายอาคมเมื่อมีคนสร้างขึ้นมาก็ต้องมีคนทำลายได้เช่นกัน มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ขอแค่เพียงมีความเข้าใจในเรื่องของการวางค่ายกลเล็กน้อยก็พอแล้ว
เกาโม่หานสายตามองไม่เห็น หูรับฟังไม่ได้ยิน จึงเดินมาชนกับฉู่ชวิ๋นเข้าอย่างจัง
“นั่นใครน่ะ?” เกาโม่หานตกใจอยู่ไม่น้อย รู้สึกได้ชัดเจนว่าตัวเองเดินชนใครบางคนอย่างแรง
“พี่เกา คิดว่าเดินชนรูปปั้นหรือไงครับ?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะในลำคอ
เกาโม่หานตกใจสุดขีด ก่อนที่จะละล่ำละลักออกมาว่า “นั่นสหายน้อยหลุนหุยใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วครับ” ฉู่ชวิ๋นตอบ “พี่ตามผมมาดีกว่านะ ผมจะพาออกไปจากที่นี่”
เกาโม่หานลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้า
ฉู่ชวิ๋นสามารถเข้าใจในอาการลังเลนี้ได้ไม่ยาก อยู่ดี ๆ เกาโม่หานก็เดินมาเจอเขากลางความมืด แถมระหว่างพวกเขาก็ไม่เคยรู้จักหรือสนิทสนมกันมาก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ
เกาโม่หานเป็นเหมือนคนตาบอด ต้องจับหลังเสื้อของฉู่ชวิ๋นเอาไว้ตลอดเวลาในขณะที่เดินตามเขากลับออกมาจากค่ายอาคม
ทันใดนั้น เกาโม่หานก็สามารถกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง ชายชราตกตะลึงไปทันทีเมื่อพบว่าตนเองหลุดออกมาแล้ว
“พี่เกา” เกอจ้านรีบเข้ามาทักทาย
เกาโม่หานอุทานด้วยความตกใจ “น้องเกอ ออกมาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ก่อนหน้าพี่ไม่นาน ต้องขอบคุณสหายน้อยหลุนหุยจริง ๆ” เกอจ้านกล่าว
เกาโม่หานหันมาขอบคุณฉู่ชวิ๋นอย่างสุดซึ้ง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว
“แค่นี้เรื่องเล็กน้อยน่า” ฉู่ชวิ๋นทำเป็นโบกไม้โบกมือ
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ เดินเข้าไปช่วยเหลือเตียวซิงอี้ออกมาจากค่ายอาคม
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? ฉันมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน เกือบจะบ้าตายอยู่แล้ว” เตียวซิงอี้พูดรัว ๆ ด้วยความหวาดกลัว
เกอจ้านกับเกาโม่หานก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ตอนที่อยู่ในค่ายอาคม ทุกคนรู้สึกเหมือนเป็นคนตาบอด ซ้ำยังไม่สามารถได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ทำได้แต่เพียงเดินไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ ต้องขอบคุณความเยือกเย็นของการมีพลังขั้นเซียน ถ้าพวกเขาเป็นชาวบ้านธรรมดา ป่านนี้คงสลบไปนานแล้ว
เกอจ้านเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเงาดำประหลาดให้ฟัง
เตียวซิงอี้กับเกาโม่หานมีสีหน้าสยองขวัญ ก่อนจะหันไปมองกลุ่มสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ในร่างมนุษย์ และพบว่าพวกนั้นมีเงาดำประหลาดเกาะติดตัวอยู่จริง ๆ
เกาโม่หานกับเตียวซิงอี้รีบตรวจสอบร่างกายของตนเองโดยทันที และผลที่ออกมาก็เหมือนกับเกอจ้าน ตรงบริเวณหัวหน่าว* มีกลุ่มควันสีดำรูปร่างคล้ายมนุษย์ตัวเล็กลอยวนเวียนอยู่ตลอดเวลา
(หัวหน่าว คือส่วนของร่างกายอยู่เหนืออวัยวะเพศใต้ท้องน้อยลงมา)
ไม่ว่าจะลองใช้พลังลมปราณขับไล่เท่าไหร่ ก็ไม่เป็นผล
“นี่มันอะไรกัน?” เตียวซิงอี้สบถด้วยความร้อนรน
เงาดำประหลาดไม่สามารถขับไล่หรือกำจัดออกไปได้ มันฝังอยู่ในร่างกายของพวกเขาไปแล้ว แถมยังอยู่ใกล้จุดลมปราณ ซึ่งเป็นแหล่งก่อกำเนิดพลังทั้งหมด ถึงไม่อยากเป็นกังวลก็ต้องเป็นกังวลขึ้นมาแล้ว
ชายชราทั้งสามคนพยายามโคจรพลังขับไล่เงาดำอยู่นานสองนาน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว เงาดำเหล่านี้ก่อตัวหนาแน่นมากขึ้น เหมือนว่ามันจะดูดพลังจากร่างกายของพวกเขามาไม่น้อย
“ขอผมดูหน่อยได้ไหม?” ฉู่ชวิ๋นถาม
ชายชราทั้งสามมีสีหน้าตกใจ ถ้าตอบตกลง ก็หมายความว่าฉู่ชวิ๋นสามารถปล่อยพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้โดยสะดวก ถ้าหากฉู่ชวิ๋นคิดไม่ดีขึ้นมา เพิ่มพลังลมปราณขึ้นเพียงเล็กน้อย อวัยวะภายในของพวกเขาก็จะแหลกสลายไปทันที อย่างที่ไม่มีทางป้องกันตัวได้เลย…
แต่เมื่อชายชราทั้งสามคนลองขบคิดดูให้ดีแล้ว ก็รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญถึงความเป็นความตาย มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
“ฉันเชื่อมั่นในตัวสหายหลุนหุยอยู่แล้ว” เกาโม่หานกัดฟันกรอด มีแต่เพียงหลุนหุยคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกเงาดำสิงสู่ ชายหนุ่มจึงอาจเป็นคนเดียวที่รู้วิธีขับไล่มัน
“ฉันก็เชื่อมั่นในตัวสหายน้อยหลุนหุยเหมือนกัน” เกอจ้านพูด เมื่อมีเงาดำสิงสู่อยู่ในร่างกาย ถ้าไม่รีบกำจัดออกไปโดยเร็ว ตนเองคงกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่ ๆ
เตียวซิงอี้ก็เลือกที่จะเชื่อใจฉู่ชวิ๋นเช่นกัน เนื่องจากไม่รู้เลยว่าเงาดำประหลาดเหล่านี้จะชักนำเภทภัยอะไรเข้ามาหาตัวบ้าง?
“สหายน้อยหลุนหุย พวกเราต้องรบกวนคุณแล้ว!” เกาโม่หานขยับออกมาข้างหน้า ลดพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายลง แต่ก็ยังอดรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
ฉู่ชวิ๋นโคจรพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของเกาโม่หาน และสำรวจดูบริเวณที่มีเงาดำประหลาดเกาะติด
เกาโม่หานรู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วร่างกาย ถ้าเกิดชายหนุ่มคนนี้คิดจะทำอะไรไม่ดีขึ้นมา ตนเองคงต้องตกตายโดยไร้หนทางป้องกันเป็นแน่แท้
ฉู่ชวิ๋นเริ่มต้นสำรวจเจ้าเงาดำประหลาดนั้นอย่างรวดเร็ว มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้รูปร่าง ไร้ความคิดและไร้จิตวิญญาณ ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าทำไมถึงขับไล่ออกไปไม่ได้ ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเหมือนเคยพบเจอสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้มาก่อน แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเป็นที่ไหน
ฉู่ชวิ๋นถอนพลังลมปราณออกมาจากร่างกายของเกาโม่หาน และนั่งคิดอยู่เงียบ ๆ อึดใจใหญ่
เกาโม่หานถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กำลังจะถามอะไรบางอย่าง เกอจ้านก็ยกมือห้ามเอาไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเจ้านั่นนี่เอง” ฉู่ชวิ๋นดวงตาเป็นประกายสว่างไสว
“สหายน้อยหลุนหุยรู้ว่าพวกมันเป็นตัวอะไรแล้วหรือ?” เกาโม่หานอดถามออกมาไม่ได้
เกอจ้านกับเตียวซิงอี้ก็จ้องมองเขาอย่างมีความหวังเช่นกัน
“สิ่งนี้เรียกว่าผีกาฝาก มันไม่มีรูปร่าง ไม่มีความคิด ไม่มีจิตวิญญาณ แต่สามารถเลียนแบบและสิงสู่สิ่งมีชีวิตได้ทุกสายพันธุ์” ฉู่ชวิ๋นอธิบาย
ในอดีต ตอนที่เขายังเป็นผู้ฝึกตนขั้นเริ่มต้นในดินแดนเซียน ฉู่ชวิ๋นเคยพบเจอผู้คนที่มีผีกาฝากเกาะติดตัว แต่เรื่องมันก็นานมาแล้ว หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็สุดความสามารถที่เขาจะจำได้ เรื่องมันก็ 3000 ปีมาแล้ว
“ผีกาฝาก? เลียนแบบ?” เกาโม่หานพึมพำด้วยความพิศวงงงงวย
“เดิมทีผีกาฝากถือกำเนิดขึ้นในสถานที่ที่มีความหนาวเย็นจัด ตัวมันเองเป็นเพียงมวลพลังงานที่ไม่มีสติปัญญา มันจะทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ เวลาพบเจอมนุษย์ มันจะเปลี่ยนรูปร่างเลียนแบบมนุษย์ เวลามันเจอสัตว์ มันก็จะเปลี่ยนรูปร่างเลียนแบบสัตว์” หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย ชายหนุ่มก็กล่าวต่อ “พวกมันมีอันตรายมาก เวลาที่สิงสู่ร่างกายผู้ใด มันจะสูบเอาพลังชีวิตและพลังวิญญาณของเจ้าของร่างไปหมดสิ้น แต่มันจะสูบกินอย่างช้า ๆ อาจใช้เวลาเป็น 10 ปีหรือเป็นร้อยปีได้ทั้งนั้น เมื่อตัวมันมีพลังแข็งแกร่งแล้ว มันก็จะยึดครองร่างของเจ้าของร่างทั้งหมดทันที แม้แต่พวกสัตว์ร้ายกลายพันธุ์ก็โดนพวกมันสิงได้เหมือนกัน เพราะเหตุผลนี้เองมันถึงถูกเรียกว่า ‘ผีกาฝาก’ ”
ถูกเกาะติด ถูกสูบพลังวิญญาณ และอาจจะต้องถูกยึดครองร่างในท้ายที่สุด เมื่อได้ยินแต่ละคำที่ฉู่ชวิ๋นพูดออกมา สีหน้าของชายชราทั้งสามก็ยิ่งย่ำแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ และร่างกายของพวกเขาก็เย็นเฉียบแล้ว
“เกาโม่หานคนนี้ใช้ชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเสมอมา จะปล่อยให้มีผีร้ายมาเกาะกินจิตใจได้อย่างไร?” เกาโม่หานพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
เกอจ้านกับเตียวซิงอี้ก็มีสีหน้าเดือดดาลไม่แพ้กันแล้ว ผีสางชนิดนี้ขับไล่ไปไม่ได้ หรือว่าต้องอยู่กับมันไปจนวันตาย?
เกาโม่หานหันมามองหน้าฉู่ชวิ๋น ดวงตาเป็นประกายด้วยความหวัง พูดว่า “สหายน้อยหลุนหุย ในเมื่อคุณรู้ว่ามันเป็นอะไร คุณก็น่าจะรู้วิธีกำจัดมันกระมัง?”
เมื่อชายชราอีกสองคนได้ยินคำนี้ ความหวังก็กลับมาปรากฏตัวบนสีหน้าอีกครั้ง จริงด้วยสิ ในเมื่อหลุนหุยรู้ว่ามันเป็นตัวอะไร เขาก็น่าจะรู้วิธีกำจัดมันออกไปเหมือนกัน
“มีวิธีอยู่ครับ แต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างจะเจ็บปวดไม่น้อย” ฉู่ชวิ๋นตอบ
ดวงตาของชายชราทั้งสามคนเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาพร้อมกัน เมื่อเทียบกับการต้องมีผีสิงอยู่ตลอดชีวิตแล้ว เจ็บปวดแค่ไหนพวกเขาก็ยอม
“สหายน้อยหลุนหุยได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วย บุญคุณในครั้งนี้ พวกเราจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” เกาโม่หานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย
“มีใครพกแผ่นหยกโบราณติดตัวมาบ้างหรือเปล่าครับ? แล้วถ้ามีศิลาวิญญาณด้วยก็จะดีมาก มันจะช่วยให้ขับไล่เงาดำออกไปได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
“ต้องใช้มากแค่ไหน?” เกาโม่หานถามออกมาคำเดียว
“ยิ่งเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น” ฉู่ชวิ๋นตอบ
พรึบ!
ชายชราทั้งสามคนโบกมือวูบหนึ่ง แล้วแผ่นหยกโบราณกองใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฉู่ชวิ๋น และในกลุ่มกองแผ่นหยกนี้ ก็ยังมีศิลาวิญญาณระดับสามัญอยู่อีกหลายสิบก้อนอีกด้วย
ชายหนุ่มอดคิดถึงบรรดาศิลาวิญญาณปลอมที่ฝังอยู่ใต้ภูเขาเฉียนหลงไม่ได้ อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ เขาก็จะมีศิลาวิญญาณอยู่ในการครอบครองจำนวนมากมายเช่นกัน
“ทุกคนถอยไปก่อนนะครับ” ฉู่ชวิ๋นพูด
เขากำลังสังเกตคลื่นลาวา เบื้องหน้าเป็นทะเลสาบลาวา อุณหภูมิร้อนสูง เหมาะสมสำหรับการสร้างม่านพลังเป็นอย่างยิ่ง
“ม่านพลังบัวไฟพิสุทธิ์” เป็นม่านพลังระดับ 4
ฉู่ชวิ๋นเดินวนไปวนมาในลักษณะประหลาด ระหว่างนั้นก็โยนแผ่นหยกโบราณลงไปด้วย เรียบร้อยดีแล้วจึงสร้างม่านพลังที่มองไม่เห็นขึ้นมารอบบริเวณ
“เชิญทุกคนเข้าข้างในครับ” ฉู่ชวิ๋นผายมือ
พวกเกาโม่หานไม่กล้าเชื่องช้า รีบเดินเข้าไปยืนอยู่ใจกลางม่านพลังทันที
ฉู่ชวิ๋นนำศิลาวิญญาณออกมาวางไว้บนพื้นดินแปดจุด หลังจากนั้นก็ใช้หินลากพื้นเป็นทางยาวตรงไปที่ทะเลสาบลาวา พลัน ลาวาร้อนเหลวจากในทะเลสาบก็ไหลผ่านร่องดินเข้าสู่ม่านพลังที่เขาสร้างเอาไว้
เมื่อศิลาวิญญาณก้อนสุดท้ายประจำตำแหน่งเรียบร้อย ม่านพลังก็ปรากฏตัวขึ้น ห้อมล้อมชายชราทั้งสามคนอยู่ตรงกลาง
ฉู่ชวิ๋นรีบปล่อยพลังลมปราณจำแลงของตนเองเข้าไปสู่ด้านในม่านพลัง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ม่านพลังมากยิ่งขึ้น
“ไม่ว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน ทุกคนต้องทนให้ได้นะครับ ห้ามออกมานอกม่านพลังเด็ดขาด”
โดยไม่รอให้ชายชราทั้งสามคนตอบรับคำใด ฉู่ชวิ๋นก็ยกมือขึ้นดีดนิ้ว แล้วม่านพลังก็ระเบิดลำแสงสว่างไสวทั่วบริเวณ
ในเวลาเดียวกันนี้เอง ได้ปรากฏพลังลมปราณรูปทรงดอกบัวสีม่วงเข้มขึ้นกลางม่านพลัง บัวดอกนี้ค่อย ๆ ลอยตัวขึ้นสูงและหมุนตัวอย่างเชื่องช้า แผ่รัศมีแสงสว่างออกมาอาบไล้ไปทั่วร่างกายของชายชราทั้งสามคน
“นี่คือพลังของดอกบัวไฟบริสุทธิ์ เมื่อร่างกายดูดซับเข้าไปแล้ว ก็จะช่วยขับไล่ผีกาฝากออกมาได้” ฉู่ชวิ๋นกล่าว
พวกของเกาโม่หานไม่กล้าพูดคำใดออกมา รีบทรุดกายนั่งขัดสมาธิ ดูดลำแสงจากดอกบัวไฟเข้ามาสู่ร่างกายให้ได้มากที่สุด และแสงเหล่านั้นก็ไหลซึมผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนังด้วยความร้อนแรงเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพลังของดอกบัวไฟบริสุทธิ์ไหลเวียนเข้าสู่ในร่างกาย ชายชราทั้งสามคนก็ส่งเสียงครางในลำคอออกมาไม่รู้ตัว ส่วนสีหน้าก็กำลังแสดงออกถึงความเจ็บปวดสุดชีวิต
Comments