เซียนหมากข้ามมิติ 483 ภูเขาใหญ่เพิ่มขึ้นอีกลูกหนึ่ง
ตอนที่ 483 ภูเขาใหญ่เพิ่มขึ้นอีกลูกหนึ่ง
หางที่เก้าถูกหนึ่งกระบี่ฟันขาด ความกดดันที่ขอทานชรารู้สึกได้พลันลดลงมากกว่าหนึ่งระดับ ยิ่งรู้สึกว่าผ่อนคลายกว่าตอนที่ถูซือเยียนแปดหางตีเสมอ ทั้งหมดไม่เพียงเพราะถูซือเยียนบาดเจ็บถึงปราณดั้งเดิมด้วยกระบี่นี้ แม้แต่ปราณหัวใจก็ถูกฟันไปด้วยกัน
ถูซือเยียนล้มลงบนพื้น ขดร่างตัวสั่นเทา แปดหางที่เหลือต่างขดตัวอยู่ข้างกายนาง ปราณภูผาไม่สั่นคลอนอีก นางเงยหน้าขึ้นมองภูเขาใหญ่ที่เริ่มสมจริงขึ้นทุกทีบนท้องฟ้าอย่างสิ้นหวัง ขอทานชราไม่ได้หยุดใช้วิชากดภูเขาเพราะจี้หยวนลงมือโดยสิ้นเชิง
ฝ่ายจี้หยวนเก็บกระบี่เครือเขียวเข้าฝักอย่างช้าๆ เจตกระบี่คมปลาบทั่วท้องฟ้าหายไปจนสิ้นเมือกระบี่เซียนกลับเข้าฝัก
หลังจากเก็บกระบี่เครือเขียวเรียบร้อย จี้หยวนถือกระบี่ด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง แม้ไม่มีเสียงหวีดหวิวของกระแสปราณและการชักนำของปราณวิญญาณวิชาควบคุม ราวกับว่าการสะบัดแขนเสื้อของจี้หยวนในครั้งนี้ครอบคลุมท้องฟ้า หางจิ้งจอกเส้นนั้นบนท้องฟ้าถูกจี้หยวนใช้วิชาจักรวาลในแขนเสื้อเก็บไปแล้ว
ตอนจี้หยวนนำหางจิ้งจอกออกมาจากแขนเสื้ออีกครั้ง หางจิ้งจอกสีขาวนั้นกลายเป็นผมยาวๆ เส้นหนึ่ง
แม้เป็นเพียงผม จี้หยวนจับไว้ในมือแล้วยังคงมีความรู้สึกหนักอยู่รางๆ
ครืน…
ทั้งเขาลาดชันเริ่มสั่นสะเทือนอีกครั้ง ดึงความสนใจของจี้หยวนออกจากผมในมือ ภูเขาใหญ่บนท้องฟ้ายิ่งมายิ่งสมจริง อากาศรอบข้างหนักอึ้งเหมือนกับถ่วงน้ำ
“อย่า…อย่าทับข้า! พวกเจ้า พวกเจ้าสองคนเป็นเซียนระดับเซียนแท้ ร่วมมือกันรังแกสตรีอ่อนแออย่างข้า ไม่รู้สึกอายเลยหรืออย่างไร”
“จี้หยวน! ท่านจี้! พวกเรานับว่าเคยรู้จักกัน บนเรือบุปผาในตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องก็เกือบได้พะเน้าพะนอกันและกันแล้ว ท่านใจร้ายใจดำปานนี้เชียวหรือ”
ถูซือเยียนหน้าซีดเลือดไหลจากปาก อ้อนวอนจี้หยวนบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าสิ้นหวัง ใบหน้างดงามนั้นใครเห็นเข้าย่อมต้องเห็นใจ
ทว่าขอทานชราฟังแล้วแทบรู้ชัดว่าไม่มีความเป็นไปได้ กระนั้นยังคงมองจี้หยวนตามสัญชาตญาณ
แม้จี้หยวนมีทักษะบำรุงปราณในปัจจุบัน ทว่าขอทานชรามองแล้วยิ้มมุมปาก เขาจึงส่งกระแสเสียงหาอีกฝ่าย
“ไม่มีเรื่องนี้!”
“หึๆ ข้าผู้ชรารู้แล้ว”
ขอทานชราพยักหน้า สำแดงเคล็ดวิชาในมือ ภูเขาใหญ่บนท้องฟ้าก่อตัวกันเป็นรูปเป็นร่าง
“กดภูเขาผนึกปีศาจ!”
ท่ามกลางเสียงดุจสายฟ้าของขอทานรา ภูเขายักษ์บนท้องฟ้าตกลงอย่างรวดเร็ว
หวิว…กระแสปราณถูกฉีกขาด บ่งบอกว่าภูเขาใหญ่ลูกนี้เป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อย
“กรี๊ด…”
ครืน…
เสียงร้องแหลมน่าเวทนาของถือเยียนดังไปทั่วภูเขา ทั้งเขาลาดชันสั่นไหว ชาวบ้านบนภูเขายิ่งยืนไม่มั่นคง บางคนก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น ภูตตรงส่วนลึกของเทือกเขายิ่งหวาดกลัวกุมศีรษะไม่กล้าขยับเขยื้อน
แต่ความเคลื่อนไหวนี้กลับไม่ได้ทำให้ภูเขาพังทลายแต่อย่างใด อย่างมากก็หินผาสั่นสะเทือน
แกรกๆๆๆๆๆ…
ตรงที่ภูเขาใหญ่ตกลงมา ภูเขารอบข้างส่งเสียงตอบรับเป็นระลอก ภูเขาใหญ่ที่แต่เดิมโดดเดี่ยวรวมกลุ่มกับภูเขาทั้งหมด เหมือนกับอยู่ท่ามกลางเมือเขาลาดชันอย่างไรอย่างนั้น
ปราณปีศาจที่แต่เดิมพวยพุ่งอยู่กลางเขาลาดชันเหมือนกับถูกกดอัดอยู่ใต้ภูเขาในวินาทีนี้เช่นกัน และหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยสมบูรณ์ ส่วนแสงมรรคทั่วฟ้าค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงรัศมีแสงเจ็ดสีรอบกายขอทานชราที่ยังคงไม่จางไป
จี้หยวนกับขอทานชราค่อยๆ ลดระดับลงจากสองทิศทาง ระหว่างนั้นขอทานชราที่ให้ความรู้สึกของอริยะเทพหายไปตามรัศมีแสง กลับกลายเป็นขอทานเสื้อผ้าหลุดรุ่ยเก่าขาดอีกครั้ง
ฝุ่นดินบนท้องฟ้าลดน้อยลงด้วยความเร็วที่ไม่ปกติ เขาลาดชันกลับมาแจ่มใสอย่างช้าๆ ป่าเขารอบข้างเงียบเชียบราวกับป่าช้า ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นยามเย็นบนเขาธรรมดาๆ วันหนึ่ง
จี้หยวนกับขอทานชราเหมือนมนุษย์สองคนเที่ยวเล่นบนเขา ค่อยๆ เดินจากตรงที่ตนเองร่อนลงมารวมตัวกัน จากนั้นค่อยเดินไปถึงตรงหน้าภูเขาให้ที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ด้วยกัน
บนกำแพงเขาที่อยู่ห่างจากตรงหน้าจี้หยวนและขอทานชราออกไปหนึ่งจั้ง ในตอนนี้มีรอยแตกแคบประมาณหนึ่งนิ้ว ด้วยสายตาและแสงเทพตาทิพย์ของพวกเขา แม้เป็นที่ว่างภายในภูเขา ร่างทั้งร่างของนางก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก
นอกจากคอและศีรษะแล้ว มีเพียงไหล่และแขนพร้อมเสื้อผ้าขาดวิ่นครึ่งหนึ่งของถูซือเยียนที่โผล่ออกมาข้างนอก ส่วนอื่นๆ กลับถูกกลับไว้ใต้หินผา
‘รุนแรงจริงๆ…’
จี้หยวนทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ ขณะเดียวกันเปรียบเทียบกับสถานการณ์ของพี่ลิงในไซอิ๋ว ซุนหงอคงถูกบดขยี้ใต้ภูเขาห้านิ้ว อย่างไรก็ดีมีร่างกายครึ่งท่อนเผยออกมาข้างนอก อืม เผยออกมาข้างนอกภูเขาจริงๆ แม้ถูกลมพัดตากแดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังคงสูดอากาศบริสุทธิ์ ถึงขนาดได้สนทนากับเด็กเลี้ยงวัวที่เดินผ่านไปมาด้วย
ทว่าร่างกายทั้งหมดของถูซือเยียนถูกทับอยู่ใต้ภูเขาโดยสิ้นเชิง อย่าว่าแต่สนทนากับคนอื่นเลย คนทั่วไปอาจไม่รู้ถึงการมอยู่ของนางเลยด้วยซ้ำ กระนั้นภายในช่องว่างแคบๆ ข้างในภูเขายังคงพอมีอากาศให้หายใจ จึงเรียกได้ว่าไม่มีความแตกต่างมากเท่าไหร่
คิดได้ดังนั้นแล้วพระโพธิสัตว์มีเมตตามากจริงๆ…
ขอทานชราถอนสายตากลับมา สบตากับจี้หยวนที่มองไปข้างในแล้วหัวเราะหึๆ
“นับว่าผนึกจิ้งจอกชั่วร้ายตัวนี้ไว้ได้แล้ว! ทว่าท่านจี้กลับทำลายดอกไม้งาม ไม่รักหยกถนอมบุปผาเลยสักนิด กระบี่นั้นรวดเร็วแม่นยำจริงๆ!”
จี้หยวนฟังอย่างไรก็รับรู้ได้ถึงความนัยในคำพูดของขอทานชรา จึงถอนสายตากลับมาอย่างอดไม่ได้
“ผู้อาวุโสหลู่เย้าข้าคนแซ่จี้ให้น้อยหน่อยเถอะ ถูซือเยียนผู้นี้กล้าพูดทุกอย่าง จะตายอยู่แล้วยังพูดพร่ำออกมาได้ ตอนนั้นข้าคนแซ่จี้สืบคนดีจิตวิญญาณประหลาดที่ต้าเจินแล้วพบนางปีศาจตนนี้เข้าพอดี ทว่าไม่ทันไรนางก็หนีไปแล้ว”
“อืม ข้าพูดชราก็พูดไปอย่างนั้น ท่านจี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดแจ้งหรอก”
มีโอกาสหยอกเย้าจี้หยวนสักครั้งอย่างหาได้ยาก ขอทานชราเข้าใจอยู่แล้วยังแกล้งทำเป็นเลอะเลือน กล่าวเสริมอีกว่า
“ครั้งนี้ก็บังเอิญอีกเช่นกัน ข้าเข้าใจแล้ว!”
นี่เป็นการพบกันโดยบังเอิญจริงๆ จี้หยวนเห็นท่าทางนั้นของขอทานชราแล้วหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้อยู่เหมือนกัน
จากนั้นสีหน้าของทั้งสองค่อยค่อยๆ สงบนิ่งขึ้น จี้หยวนคิดก่อนเอ่ย
“ผู้อาวุโสหลู่คิดผนึกนางหนึ่งร้อยปีจริงหรือ”
ขอทานชราแบมือ
“ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไร โบราณว่าไว้ว่าเห็นแก่หน้าผู้หลักผู้ใหญ่ จิ้งจอกวิญญาณแปดหางจากถ้ำสวรรค์จิ้งจอกหยก เรื่องที่พบเจอยังไม่เพียงพอให้สังหารนาง ท่านจี้เพียงตัดหางนางเส้นหนึ่งไม่ใช่หรือ ทว่าไม่ได้สังหารนางเช่นเดียวกัน”
จี้หยวนพยักหน้า
“ถูกต้อง แต่รอนางตื่นแล้วยังต้องถามความถึงจะใช้ได้ นางปีศาจตนนี้ไปทั่วทุกที่ ไม่รู้เหมือนกับว่าสร้างเรื่องอะไรไว้บ้าง ในเมื่อพบนางแล้ว ไหนเลยจะไม่ลองถามเหตุผลสักหน่อย”
ครั้นรับรู้ได้ถึงลมหายใจแผ่วเบาของถูซือเยียน จี้หยวนถามอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสหลู่ นางจะฟื้นเมื่อไหร่”
“เอ่อ นี่ต้องดูที่ตัวนางเองแล้ว แม้หนึ่งกระบี่นั้นของท่านจี้ตัดหางปลอมออกไป แต่ตอนนั้นนางมีกลิ่นอายของปีศาจจิ้งจอกจริงๆ กระบี่นี้ทำให้นางบาดเจ็บไม่น้อย อาการบาดเจ็บที่มีร้ายแรงกว่าวิชากดภูเขาของข้ามาก ดังนั้นข้าผู้ชราถึงได้บอกว่าท่านทำลายดอกไม้งามแล้ว”
ขอทานชราไม่กล้าเย้าจี้หยวน เพียงพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่งก่อนนับนิ้วคำนวณดู
“ไม่เกินครึ่งปีน่าจะฟื้น”
…
นอกเขาลาดชัน นายทหารกลุ่มหนึ่งที่อาศัยสองขาวิ่งหนีก่อนหน้านี้เพียงหยุดฝีเท้าเล็กน้อยตอนที่พื้นดินสั่นภูเขาส่าย จากนั้นเร่งฝีเท้าวิ่งเร็วขึ้นด้วยแม่ทัพเร่งเร้า คนโง่ก็รู้ว่าต้องเป็นเพราะเซียนประชันมรรคกับปีศาจมารอย่างแน่นอน
ทว่าตอนนี้สงบลงแล้ว นายหทารทั้งหลายที่หนีไปได้หลายลีแล้วผ่อนฝีเท้าตามจิตใต้สำนึก นอกจากแปลกใจก็เป็นเพราะว่าเหนื่อยแทบตายแล้วจริงๆ
บนกายสวมชุดเกราะ อีกทั้งแบกจิ้งจอกตายแล้วอีกจำนวนหนึ่ง ยิ่งต้องนำถุงใส่น้ำ อาหารแห้ง และสิ่งของต่างๆ ที่เตรียมพร้อมไว้บนหลังม้ามาแบกเองหลังจากม้าตาย วิ่งหนีเอาชีวิตรอดด้วยความตื่นเต้นมานานมากขนาดนี้ แม้ฝึกฝนวิชายุทธ์เคยชินกับสนามรบ ทว่าก่อนหน้านี้ถูกถูซือเยียนล่อลวงใจ ได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง ตอนนี้จึงแทบทนไม่ไหวแล้ว
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…”
แม่ทัพผู้นั้นใช้หอกยาวค้ำพื้น ยันร่างกายเพื่อหอบหายใจ หลายวันมานี้อากาศร้อนอบอ้าวอยู่บ้าง กอปรกับตกใจมากและใช้แรงไปมาก ทำให้เหงื่อกาฬบนใบหน้าไหลลงมาราวกับสายฝน เสื้อผ้าบนตัวเปียกชุ่มตั้งนานแล้ว เมื่อหยุดพักแล้ว ความเหนื่อยล้าและความทรมานบนร่างกายพลันถาโถมเข้ามา เหล่าพี่น้องรอบข้างพากันล้มลงหอบหายใจ
ฝ่ายแม่ทัพยังคงใช้หอกยาวค้ำพื้น พร้อมกันนั้นหันไปมองเขาลาดชัน ความเคลื่อนไหวที่น่ากลัวทางนั้นสงบลงแล้ว
“ทะ ฮู่…ฮู่…ท่านแม่ทัพ น่าจะ น่าจะไม่เป็นไรแล้ว…กระมัง”
“มะ ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อครู่ แสงสีขาวและเสียงกระบี่เมื่อครู่ นะ น่าจะเป็นวิชากระบี่เซียน…ตะ แต่ว่าท่านเซียนชนะแล้ว…ฮู่…”
ในหมู่บ้านบนเขาลาชัน ชาวบ้านจำนวนน้อยเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา แตกต่างจากเหล่าทหารที่ตกอกตกใจและเหนื่อยล้าแทบตายโดยสิ้นเชิง
ในมุมมองของเหล่าชาวบ้าน พวกเขามองเห็นเงาลวงภูเขาใหญ่ของขอทานชราก่อนหน้านี้ ตอนที่ภูเขายักษ์ตกลงจากท้องฟ้า พื้นดินภูผาสั่นสะเทือนจริงๆ แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็สงบลง
ความรู้สึกที่ทำให้ประหวั่นพรั่นพรึงนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอยในวินาทีนี้ พอภูเขาใหญ่ตกลงมาแล้ว แสงรุ้งงดงามบนท้องฟ้ายังคงอยู่ต่อไปอีกครู่หนึ่งถึงค่อยจางไป เหล่าชาวบ้านรู้อยู่ลึกๆ ว่าน่าจะเป็น ‘เทพเซียน’ กำราบปีศาจได้สำเร็จแล้ว
ชาวบ้านใจกล้าจำนวนหนึ่งวางแผนถือโอกาสตอนที่ฟ้ายังไม่มือ รีบขึ้นเขาลาดชันไปเพื่อดูสักหน่อย แม้ได้เห็นอยู่ไกลๆ ก็ยังดี
ต่อให้มีผู้อาวุโสในหมู่บ้านโน้มน้าวอย่างจริงจัง ทว่านายพรานหนุ่มจำนวนหนึ่งในหมู่บ้านก็ยังคงไม่ฟัง
นายพรานยังหนุ่มแน่นทั้งหมดเจ็ดคนพกหอก คันธนู และเชือกไป ถึงขนาดนำคบเพลิงและตะบันไฟไปด้วยเช่นกัน มุ่งหน้าไปทางภูเขาใหญ่ที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ด้วยกัน
ประมาณครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เหล่านายพรานถึงเนินเขาตรงส่วนลึกของภูเขาใหญ่อย่างชำนิชำนาญ นายพรานทุกคนขึ้นมาแล้วกลับยืนอึ้งงันไม่ขยับ
ทานภูเขาที่คุ้นเคยไกลลิบหายไปแล้ว ที่ราบลุ่มกว้างๆ ก็หายไปเช่นกัน…
“ขะ ข้าตาฝาดไปกระมัง”
“เร็ว รีบหยิกข้าที!”
“นั่น…มีภูเขาเพิ่มขึ้นมาลูกหนึ่ง!”
เหล่านายพรานนึกถึงเงาภูเขาบนท้องฟ้าที่มองเห็นก่อนหน้านี้อย่างอดไม่ได้ ที่แท้มีภูเขาลูกหนึ่งตกมาแล้วจริงๆ ยอดเขาหลายยอดของภูเขานี้เชื่อมต่อกับภูเขารอบข้าง สูงใหญ่กว่ายอดเขาลาดชันแต่เดิมอยู่มากโข กลายเป็นยอดเขาหลายยอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาลาดชันอย่างแท้จริง…
Comments