ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 835 พระพุทธเจ้าปรากฏกาย

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 835 พระพุทธเจ้าปรากฏกาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 835 พระพุทธเจ้าปรากฏกาย

ทั้งธารสะกดปีศาจกำลังสั่นสะเทือน ราวกับเปลือกโลกเคลื่อนตัว ฟ้าถล่มดินทลาย เลือดข้นสีแดงฉานไหลออกจากกำแพงเลือดที่สูงตระหง่านทั้งสอง ภาพน่าสะพรึงกลัวและน่าหวาดเสียว

ขณะที่ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะสูงขึ้น สวี่ชีอันก้าวไปข้างหน้าไม่ถอย จะรนหาที่ตายจริงๆ น่ะหรือ

แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาเผชิญหน้ากับความตายเป็นหนทางดีที่สุดเพื่อให้ตนได้รับบาดเจ็บสาหัสกว่านี้

เฉกเช่นนี้ความเสียหายที่หยกสลายคืนให้จะมีประสิทธิภาพที่ดี

เมื่อปราณชีวิตของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเต็มเปี่ยมจะคุกคามการโจมตีถึงชีวิตของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ได้ การโจมตีที่เป็นภัยถึงชีวิตของผู้แข็งแกร่งระดับนี้ได้ แค่คิดก็รู้ว่าน่ากลัวเพียงใด เพราะเป็นการโจมตีอันทรงพลังเช่นนี้ เมื่อได้คืนมาจึงจะสร้างความเสียหายระดับสุดยอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แผนการนี้ถูกกำหนดไว้แล้วยามโจมตีอรัญตา ความมั่นใจของสวี่ชีอันมาจากเหตุผลสองประการ ประการแรกพระพุทธเจ้าหลับใหลมาห้าร้อยปี ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อยแน่นอน ประการที่สองตั้งใจจัดดอกไม้สะสมพลังปราณส่วนหนึ่งภายในร่าง

สะสมพลังปราณของต้นไม้อมตะ ประกอบกับพลังชีวิตมหาศาลจากจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ค่อยกล้าเสี่ยงด้วยหน่อย

ทว่านี่ยังมิอาจรับประกันว่าจะไม่มีข้อผิดพลาด อย่างไรเสียความแข็งแกร่งของระดับสุดยอดก็เป็นเพียงตำนาน แม้สวี่ชีอันจะก้าวสู่ขั้นหนึ่งก็ยังมิอาจคาดเดาความยอดเยี่ยมของระดับสุดยอดได้

ดังนั้นจึงล้มเหลวได้ง่าย ท้ายที่สุดอาจจะเป็นฆ้องเงินสวี่นำเหนือมนุษย์ทุกคนโจมตีอรัญตา สุดท้ายเมื่อพระพุทธเจ้าลงมือ ฆ้องเงินสวี่ก็สิ้นลมหายใจตรงนั้น

อธิบายให้นักพรตจากจิ่วโจวอย่างลึกซึ้งว่าหมายถึงอะไร ‘หากลองดีก็จะตาย’

หลังจากฟื้นขึ้นก็งดไม่ใช้หยกสลายมาโดยตลอด จำเป็นต้องรู้สถานการณ์ การใช้ไพ่ตายให้ถูกที่จะแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้

ทว่าก็ถ่วงเวลานานเกินไปไม่ได้เช่นกัน เพราะยิ่งถ่วงเวลานานเท่าไร อานุภาพที่หยกสลายคืนให้จะน้อยลง

‘หยกสลาย’…เจียหลัวซู่ที่ประมือกับสวี่ชีอันหลายคราเริ่มตอบสนองก่อน ตามด้วยสีหน้าที่ดูย่ำแย่

เขาไม่ได้ลืมว่าสวี่ชีอันมีวิธีนี้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะใช้ที่นี่

เจียหลัวซู่ไม่กลัวศัตรูที่แข็งแกร่ง ทว่าหวาดกลัวศัตรูที่แข็งแกร่งและมีสมอง

จอมยุทธ์ป่าเถื่อนไม่น่ากลัว ทว่าหากจอมยุทธ์ผู้นี้เก่งการคำนวณ เช่นนั้นก็ชวนให้ปวดหัวแล้ว

คิ้วเรียวของพระโพธิสัตว์หลิวหลีผู้งามเลิศขมวดแน่น ภิกษุหนุ่มกว่างเสียนสีหน้าไม่พอใจ พระพุทธเจ้าในฐานะผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอด ย่อมไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสจาก ‘การโต้กลับ’ ของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง ความแย่คือช่วงที่พระองค์กำราบเสินซูถูกขัดจังหวะในทันที

เลือดมหาศาลทะลักออกจากในผนังเนื้อสีแดงเข้ม ผนังเนื้อที่เคยบีบอัดเสินซูอย่างบ้าคลั่งสับสนชั่วขณะ ราวกับคนที่โดนโจมตีถูกขัดจังหวะเรื่องที่กำลังทำชั่วคราว

ไม่ต้องให้ใครเตือน เสินซูคว้าโอกาสที่หาได้ยากกลับหันหลังทันที สองมือเจาะผนังเนื้อของศีรษะทั้งสองข้าง ส่งเสียงคำรามต่ำรุนแรง กล้ามเนื้อทั้งร่างนูนขึ้นทีละน้อย แฝงด้วยพลังมหาศาลอันน่ากลัว

เขาทุ่มกำลังดึงศีรษะของตนที่ฝังอยู่ในผนังเนื้อกลับมาในช่วงที่ ‘สัตว์ประหลาด’ กำลังเจ็บปวด

‘ผึง ผึง’…เส้นเลือดแน่นขนัดถูกฉีกอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับดึงเส้นเอ็นที่เหนียวแน่นขาดทีละเส้น

เสินซู ในที่สุดก็ชิงศีรษะกลับมาแล้ว

สองมือของเขาประคองศีรษะ แล้ววางลงบนคอ

อย่าวางผิดด้านล่ะ…สวี่ชีอันแอบสังเกตฉากนี้พร้อมความคิดที่แวบเข้ามา จึงพูดแขวะเพื่อคลายความตื่นเต้นภายในใจ

เขารู้ว่าเทพยุทธ์ครึ่งขั้นที่แท้จริงได้ฟื้นคืนชีพแล้ว

เลือดเนื้อของศีรษะกับส่วนคอขยับเขยื้อนเองและเชื่อมถึงกัน ศีรษะของเสินซูสมานกับร่างกายในชั่วพริบตาโดยไร้รอยแผลใดๆ คล้ายกับศีรษะไม่เคยแยกจากร่างกายตลอดห้าร้อยปี

ใบหน้าอาจหาญเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาที่ปิดแน่นเปิดขึ้นในทันใด!

เมฆลมพลันผันเปลี่ยนระหว่างสวรรค์และโลก

สวี่ชีอัน เจียหลัวซู่ หลิวหลี และกว่างเสียนที่อยู่ในธารสะกดปีศาจต่างเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว มองเห็นความชั่วร้ายอาละวาดอยู่บนฟ้าผ่านช่องว่างของบ่อลึก ชั้นเมฆหนาแน่นก่อตัวเป็นกระแสน้ำวน

กระแสน้ำวนที่ไม่ธรรมดาน่าจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเกินสิบลี้นี่หมุนช้าๆ ดูเหมือนจะช้า แต่ความจริงได้ก่อพายุไต้ฝุ่นอันน่าสะพรึงกลัวในโลกมนุษย์

ดินทราย ก้อนหิน วัวแพะ มนุษย์ และบ้านเรือน…ทุกสิ่งบนพื้นโลกพากันหมุนขึ้นฟ้า

มีเพียงเหล่าภิกษุที่มีชีวิตรอดในอรัญตาอาศัยพลังบำเพ็ญของตนต้านพลังที่มาจากที่ใดไม่รู้เอาไว้

นี่ไม่ใช่ความวุ่นวายของธาตุฟ้าดิน แต่เป็นความผิดปกติของฟ้าดิน วันโลกาวินาศ

ความปั่นป่วนของธาตุที่สร้างจากจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเทียบไม่ติดแม้แต่น้อย

ภายในระยะร้อยลี้รอบอรัญตา ทุกสิ่งมีชีวิตหมอบคลานอยู่บนพื้น ราวกับเผชิญเหวลึก

ความหวาดระแวงผุดขึ้นมาจากในใจพวกเขา บอกไม่ได้ว่าสาเหตุมาจากกระแสน้ำวนอันน่าสะพรึงกลัวที่เห็นบนฟ้า หรือได้รับความกดดันจากปราณของเทพยุทธ์ครึ่งขั้น

มีเพียงผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ฝั่งต้าฟ่งที่ไม่ได้หมอบคลาน ยังมีน่าหลันเทียนลู่เจ้าแห่งวัสสาน ทว่านี่อาจจะเป็นศักดิ์ศรีสุดท้ายของพวกเขา

ภายในใจของเหล่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ความรู้สึกเหมือนเป็นมดผุดขึ้นมาในใจอย่างที่ไม่เป็นมานาน

“ปะ ปราณนี่มัน…”

ริมฝีปากของหลี่เมี่ยวเจินสั่นระริก แล้วเอ่ยตะกุกตะกัก

“พระพุทธเจ้าหรือเสินซูอย่างนั้นหรือ”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางนั่งขัดสมาธิ ใบหน้างามล่มเมืองฉายสีหน้าเศร้าเคล้าสุข

“เสินซู เป็นเสินซู ในที่สุดเขาก็รวบรวมร่างกายได้แล้ว”

นับแต่อาณาจักรหมื่นปีศาจล่มสลาย นางก็คิดจะคลายผนึกของเสินซูอยู่ตลอด ให้ท่านพ่อฟื้นคืนชีพอย่างแท้จริง ทำให้อาณาจักรหมื่นปีศาจมีเสาหลักดินแดนไม่สั่นคลอน

วันนี้หลังจากห้าร้อยปีที่ผ่านมา นางทำได้

“สวี่ชีอันทำสำเร็จแล้ว”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสูดหายใจลึก ข่มความตื่นเต้นในใจอย่างรวดเร็ว ให้อารมณ์ไม่ฟุ้งซ่านอีก แล้วกลับมาเป็นประมุขอาณาจักรหมื่นปีศาจที่ไม่หวาดหวั่นยิ้มแย้มอยู่เสมอ

ทว่าความยินดีเล็กน้อยที่แสดงออกมาจากสีหน้า กลับยากจะเก็บได้ในเวลาอันสั้น

เมื่อมาคิดดูตอนนี้ นางวางเดิมพันกับสวี่ชีอัน สนับสนุนสวี่ชีอันให้เติบโต เป็นสิ่งที่นางทำถูกต้องที่สุดในห้าร้อยปีที่ผ่านมา

ครั้งแรกที่นางได้ยินว่าเย่จีถูกมนุษย์ผู้ชายกินฟรีทุกวันที่สำนักสังคีต แอบรักข้างเดียวและตกหลุมรักชายผู้นั้น ในใจจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเต็มไปด้วยความคิดอยากฆ่า

ต่อมานางแอบเข้าร่างเย่จี เดิมทีคิดจะทำให้ชายผู้นั้นตายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ทว่าท่านโหราจารย์ก็เตือนนางจากเงามืด

นางเลือกร่วมมือกับท่านโหราจารย์ก็เพราะบทสนทนาในครั้งนั้น แอบวางแผนและลองวางเดิมพันกับสวี่ชีอัน

ส่งแขนขวาของเสินซูไปที่พักของเขาก็เป็นหนึ่งใน ‘เดิมพัน’

“เทพยุทธ์ครึ่งขั้นน่ากลัวจริงๆ ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนมองเทพพ่อมดในระยะประชิด…”

ร่างกายของน่าหลันเทียนลู่ยืนหลังค่อมเล็กน้อย ผมสีขาวและเสื้อผ้าปลิวสะบัดท่ามกลางกระแสลมอันบ้าคลั่ง พายุทรายและนานาเศษซากที่ปลิวว่อนทำให้อรัญตาที่อยู่ห่างออกไปพร่ามัว

เจ้าแห่งวัสสานสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลมิอาจต้านทานกำลังฟื้นตัวจากส่วนลึกของอรัญตา

น่าหลันเทียนลู่ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพระโพธิสัตว์ทั้งสามและสวี่ชีอันที่อยู่ในธารสะกดปีศาจตอนนี้

ปราณอันน่าสะพรึงกลัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในใจกลางภูเขา เพิ่มขึ้นราวกับไม่มีสิ้นสุด คล้ายกับสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวกำลังฟักตัวอยู่

ทั้งอรัญตามีชีวิตขึ้นมาเพื่อต่อต้านสัตว์ประหลาดเช่นนี้

ภูเขาถล่ม หน้าผาแตกร้าว แต่ละตำหนักถูกรอยแยกบนพื้นกลืนกิน ต้นไม้แต่ละต้นจมลงสู่ใต้ดิน เลือดเนื้อสีแดงอ่อนเคลื่อนไหวอยู่ในรอยแยกบนพื้นที่แตกร้าว มันอาจจะแค่ฟื้นคืนชีพ แต่สร้างหายนะแบบฟ้าถล่มดินทลายให้กับมนุษยชาติ

เลือดเนื้อเคลื่อนตัวซ้อนกันเป็นชั้นอยู่ในถ้ำใต้ดินสีแดงเข้ม บีบอัดและกลืนกินเสินซูโดยไม่หยุดพัก

“ตูม!”

ผนังเนื้อที่อยู่ไม่ไกลจากด้านหลังสวี่ชีอันระเบิดในทันใด เลือดเนื้อทะลักอย่างน่าเหลือเชื่อ คล้ายกับเนื้อบดที่ถูกสับเพื่อทำขนมยัดไส้ แล้วถูกฉีกออกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ตรงนั้น

ต่อด้วยเสียง ‘ตูม’ อีกครั้ง พลังปราณที่ฉีกผนังเนื้อก็พุ่งชนเข้ากับผนังเนื้อฝั่งตรงข้าม

พลังอันน่าสะพรึงกลัว นี่คือเทพยุทธ์ครึ่งขั้นอย่างนั้นหรือ…ม่านตาของสวี่ชีอันหดตัวเล็กน้อย เขาเคยประสบกับความน่ากลัวของภูเขาเนื้อนี้มาก่อน ดาบสยบดินแดนทำได้เพียงรอยขีดข่วนเหมือนน้ำหนึ่งแก้วบนเกวียนขนฟืนที่ลุกไหม้ มิอาจเปิดทางได้

แม้จะทุ่มพลังทั้งหมดก็แยกช่องเนื้อออกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่หมัดเรียบง่ายของเสินซูเปิดทางได้โดยตรง เลือดเนื้อของ ‘พระพุทธเจ้า’ แยกจากกันดังตูม

ระหว่างที่เขาประกายความคิด ไม่ช้าผนังเนื้อก็เคลื่อนตัวและฟื้นฟูช่องโหว่อย่างรวดเร็ว

‘ตูม ตูม ตูม’…ผนังเนื้อที่ตั้งตระหง่านระเบิดออกเป็นช่องโหว่อย่างต่อเนื่อง เนื้อบดพ่นราวกับพายุฝน แล้วสาดลงบนร่างของสวี่ชีอันและพระโพธิสัตว์ทั้งสาม

เลือดเนื้อเหล่านี้ราวกับมีชีวิต เกิดเป็นเส้นเลือดเอง แล้วพยายามเจาะเข้าชั้นผิวหนัง

ทว่าพลังของพวกมันช่างน้อยนิด มิอาจทำอะไรกับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งได้ จึงถูกสวี่ชีอันปัดตกลงบนพื้น จากนั้นก็รวมตัวกับเลือดเนื้อสีแดงอ่อน แล้วกลับเข้าสู่ร่างเดิม

‘ตูม ตูม ตูม!’

ภูเขาเนื้อเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่องเพราะระเบิด บางครั้งก็ขยายตัว บางครั้งก็หดตัว คล้ายกับวุ้นแช่เย็นที่เด้งดึ๋ง

มันไม่สงบอีกต่อไป ราวกับเสียพลังมหาศาลในทุกวินาทีที่หยุดยั้งเทพยุทธ์ครึ่งขั้น

‘ตูม!’

เสียงระเบิดในครั้งนี้รุนแรงว่าครั้งไหนๆ ร่างยักษ์ทะลวงกายเนื้อ ผิวของเขาดำสนิทราวกับหมึก แขนซ้อนเป็นชั้นสิบสองคู่ ใบหน้าอัปลักษณ์เผยให้เห็นความองอาจและตราเปลวเพลิงสีดำบนหว่างคิ้ว

ด้านหลังศีรษะมีวงแหวนเพลิงที่ลุกโชน

ร่างธรรมเทพอารักษ์ของเสินซู

ทันทีที่ร่างธรรมนี้ปรากฏตัว โลกใบนี้ก็กำลังสั่นสะเทือน กระแสน้ำวนที่รวมตัวจากเมฆดำบนฟ้ากำลังขยายตัวและแผ่ขยายทำให้เกิดฉากคล้ายกับวันโลกาวินาศ

‘พระพุทธเจ้า’ ก็ไม่เว้น เลือดเนื้อที่ไม่มีสิ้นสุดเกาะติดร่างของเสินซูพลางปีนป่าย พยายามห่อหุ้มและกลืนกินเขา

สิบจั้ง ยี่สิบจั้ง ห้าสิบจั้ง และหนึ่งร้อยจั้ง…ร่างธรรมเทพอารักษ์ของเสินซู ‘ขยายตัว’ ถึงสองร้อยจั้งอย่างรวดเร็ว ราวกับยักษ์สูงตระหง่าน

ระหว่างที่กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนทั้งสิบสองคู่ก็ใช้กำปั้นทุบภูเขาเนื้อไม่ก็ฉีกเลือดเนื้อที่ติดบนผิวออก ยับยั้งภูเขาเนื้อที่น่าจะเป็นพระพุทธเจ้า

ทว่าเลือดเนื้อราวกับไม่มีสิ้นสุด ไม่ว่าเขาจะสูงขึ้นเท่าไร ภูเขาเนื้อก็จะขยายตัวเท่านั้น

เมฆดำบนฟ้าก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนราวกับฟ้ารั่ว ภายใต้แสงอันมืดสลัว ร่างยักษ์สูงสองร้อยจั้งพันติดกับภูเขาเนื้อที่บิดเบี้ยวน่าหวาดกลัว

ในมุมของหลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นที่อยู่ไกลออกไป ฉากนี้ไม่น้อยหน้าไปกว่าการอาละวาดของเทพมารยุคบรรพกาล แม้พวกเขาจะไม่เคยอยู่ในยุคนั้นก็ตาม

“เสินซูฟื้นคืนร่างแท้แล้ว จะให้เขาออกจากดินแดนประจิมทิศไม่ได้ ต้องผนึกเขาอีกครั้ง” เจียหลัวซู่สีหน้าจริงจัง

พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดันทันที

สำหรับตอนนี้มิอาจตัดสินแพ้ชนะระหว่างพระพุทธเจ้าและเสินซูได้ในเวลาอันสั้น ทว่าแม้พระพุทธเจ้าจะสั่งสมมาห้าร้อยปี ทว่ามิอาจแสดงร่างธรรมทั้งเก้าได้ด้วยสาเหตุบางประการ

ร่างธรรมสังสารวัฏไวโรจนะที่ใช้ได้เพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนหรี่ตาทอดมองร่างธรรมขนาดใหญ่ รวมถึงภูเขาเนื้อที่ปั่นป่วน แล้วเอ่ยพึมพำ

“พระพุทธเจ้าต้องการพลังของพวกเรา”

เจียหลัวซู่สบตากับหลิวหลี แล้วพยักหน้าอย่างรู้กัน

มือซ้ายอันขาวผ่องดุจหยกสลักของพระโพธิสัตว์หลิวหลีล้วงแขนเสื้อข้างขวาและดึงมังกรสีดำสนิทตัวเรียวบางออกมาเบาๆ

หางของมังกรเกี่ยวเข้ากับกาหยกใบเล็ก

มังกรน้อยกัดง้ามนิ้วระหว่างนิ้วชี้และนิ้วโป้งของพระโพธิสัตว์หลิวหลีเอาไว้ แล้วดูดกลืนแก่นโลหิตของพระโพธิสัตว์หญิงอย่างตะกละตะกลาม

ส่วนศีรษะของมังกรดำเปลี่ยนเป็นสีทอง รวมถึงแผงคอขณะที่ดูดกลืน

นี่กำลังทำอะไร มังกรตัวนี้คืออะไร…

สวี่ชีอันที่เหินฟ้าอยู่เห็นฉากนี้ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะทำอะไร รู้เพียงจะปล่อยให้เหล่าพระโพธิสัตว์ทำต่อไปไม่ได้ ตั้งใจจะห้ามแต่ลางสังหรณ์ของจอมยุทธ์ในช่วงวิกฤตบอกเขาว่าอย่าเข้าไปใกล้ หากเข้าใกล้ภูเขาเนื้อก็จะอันตรายถึงชีวิตได้

ขณะที่เขาสังเกตการณ์ มังกรดำก็กลืนแก่นโลหิตของกว่างเสียนและเจียหลัวซู่ต่อ

จากมังกรดำตัวน้อยกลายเป็นมังกรทองเหมือนหล่อด้วยทองคำ

เวลาเดียวกับที่มังกรน้อยกลายร่างเสร็จ ภูเขาเนื้อรอบข้างก็สูงขึ้นทันที ราวกับอดใจรอไม่ไหว

มังกรทองตัวน้อยงอตัวโบยบิน ส่งเสียงคำรามดังคมชัด จากนั้นก็พุ่งศีรษะลงชนบนภูเขาเนื้อ

‘ปัง!’

มังกรทองระเบิดออกกลายเป็นสะเก็ดแสงสีทองระยิบระยับ แล้วผสานเข้ากับภูเขาเนื้อสีเลือด

สะเก็ดแสงสีทองเหล่านั้นแสดงให้เห็นท่าทางของประกายไฟลามทุ่งตามมา มันลุกลามอย่างรวดเร็ว ย้อมภูเขาเนื้อสีเลือดกลายเป็นสีทองทีละน้อย

สวี่ชีอันที่อยู่กลางอากาศสัมผัสได้ถึงพลังงานของชายแกร่งกล้า ภูเขาเนื้อที่สงสัยว่าเป็นพระพุทธเจ้า บัดนี้ราวกับภูเขาไฟ

พระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ กว่างเสียน และหลิวหลีนั่งเข้าฌาน ร่างกายจมลงสู่ภูเขาเนื้อช้าๆ คล้ายกับจมลงบึง

ในเวลาต่อมาฉากที่ชวนให้ประหลาดใจก็บังเกิดขึ้น

ภูเขาเนื้ออันน่าสะพรึงกลัวไม่พัวพันกับเสินซูอีกต่อไป ตรงข้ามกลับออกห่างจากเทพยุทธ์ครึ่งขั้นก่อน รวมตัวและเคลื่อนไหวไปเอง ผ่านไปสักพักโครงร่างพระพุทธรูปขนาดมหึมาที่นั่งขัดสมาธิจีบนิ้วก็ก่อตัวขึ้น

ขณะที่โครงร่างพระพุทธรูปขนาดมหึมาก่อตัวขึ้น สีทองก็ย้อมทั่วทั้งร่างอย่างประจวบเหมาะ เปลี่ยนให้กลายเป็นพระพุทธรูปสีทองอร่าม

สูงนับร้อยจั้ง แม้จะนั่งขัดสมาธิก็อยู่ระนาบเดียวกับเสินซู

พระพุทธรูปไม่มีใบหน้า ทั้งหมดดูเลือนราง ยิ่งไม่มีอารมณ์และความคิดแสดงออกมา ราวกับเป็นเพียงกฎเกณฑ์ของฟ้าดิน

ร่างธรรมเทพอารักษ์สีดำสนิทหยุดทุกการเคลื่อนไหว จ้องมองพระพุทธรูปทองคำที่สูงเท่ากับตนอย่างเงียบๆ

ตรงข้ามกับพระพุทธรูป ร่างธรรมเทพอารักษ์สีดำสนิทเบิกตากว้าง กลิ่นอายบ้าคลั่งเต็มไปด้วยจิตใจพร้อมสู้กับสวรรค์ต่อกรปฐพี

ราวกับไม่มีสิ่งใดในโลกทำให้เขาหวาดกลัวและตื่นตระหนกได้ แม้ระดับสุดยอดก็ไม่เว้น

ราวกับเทพสงคราม

ด้านหนึ่งเป็นพระพุทธเจ้าปราชญ์ผู้สูงส่งแห่งสำนักพุทธที่ห่อหุ้มด้วยแสงพุทธะ ศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขามกำลังนั่งขัดสมาธิ อีกด้านหนึ่งเป็นร่างธรรมเทพอารักษ์สีดำสนิททั่วทั้งร่าง กล้ามเนื้ออัดแน่น ดูดุร้ายเล็กน้อย

ชั้นเมฆบนฟ้าด้านหลังพระพุทธเจ้าสีทองอ่อน สาดส่องด้วยแสงพุทธะอันอ่อนโยน เสียงบทสวดดังมาจากความว่างเปล่า ราวกับแดนสวรรค์บนดิน

ด้านหลังเสินซูเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ปานฟ้ารั่ว รวมถึงพายุทะเลทรายอันขุ่นมัว ฉากของวันโลกาวินาศ

โลกราวกับถูกผ่าครึ่ง แยกความดีความชั่วออกอย่างชัดเจน

เฉกเช่นปลาหยินหยาง

พระพุทธเจ้าปรากฏกายอย่างแท้จริง…วินาทีนี้สวี่ชีอันเกือบจะตะโกนว่า ขออภัยที่รบกวน ออกมา

เขาหรี่ตามองพระพุทธเจ้าที่รูปร่างเลือนราง

ในใจก็คิดถึงประโยคที่ท่านโหราจารย์เขียนใน ‘วิธีก้าวสู่เทพยุทธ์ครึ่งขั้น’ อย่างไม่มีสาเหตุ

กระโดดออกนอกไตรภูมิและไร้รูป

ซ่งชิงอธิบายประโยคครึ่งแรกว่า…พลังบำเพ็ญยิ่งสูงก็ยิ่งปราศจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา

ขณะที่เขาอกสั่นขวัญแขวน สีทองที่ปกคลุมภูเขาเนื้อก็เริ่มรวมตัวในที่เดียวกัน ทำให้ตรงนั้นเปล่งแสงสว่างบาดตา คล้ายกับพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นช้าๆ

ร่างธรรมสังสารวัฏไวโรจนะ!

มาอีกแล้วหรือ

สวี่ชีอันสบโอกาสขณะที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นกระโดดหายไป

………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด