หมอผีแม่ลูกติดบทที่ 323 ทำให้ถูกต้อง
บทที่ 323
ทำให้ถูกต้อง
เพราะการมาถึงของเจียงหวายเย่นั้น ทำให้งานเลี้ยงนั้นกร่อยมากในทันที แต่ก็ยังคงดึงดูดหญิงสาวที่กำลังหาคู่มากมายอยู่
ในเวลานี้เจียงหวายเย่นั้นไม่ได้พิการแล้ว อีกทั้งองค์ชายก็ไม่ได้ถูกยึดกองทหารหรือถูกกดดันอีกแล้วด้วย ในเวลานี้เขาคือพระมหาอุปราชที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ถ้าหากได้แต่งงานกับคนเช่นนี้แล้ว ก็คงเหมือนได้ก้าวขึ้นสวรรค์เป็นแน่แท้
เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งลงในตำแหน่งที่อยู่สูงที่สุด แล้วลิ้มรสชาในมืออย่างสบายอารมณ์ และแน่นอนว่าไม่ได้สนใจสายตามากมายที่จ้องมาที่เขาเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่หลินรั่วจิ่งก็มองเจียงหวายเย่ด้วยสายตาที่ชื่นชม แต่พอหลินซีเหยียนรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ดวงตาของนางก็ได้มืดดำลงทันที
“นี่น้องสาม พี่นั้นสงสัยนักว่าทำไมเจ้าถึงได้อยู่กับ องค์ชายตามลำพังได้ แล้วแม่นางชิงอวี่ล่ะ?”
หลินหัวเยว่ก็ได้มีสีหน้าเป็นห่วง แต่ความเป็นจริงภายใต้ดวงตานั้นถูกมองออกด้วยหลินซีเหยียนหมดแล้ว
“ชิงอวี่นั้นรู้สึกตกใจแล้วกลับไปก่อนแล้วน่ะ”
โดยหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญไป หลินซีเหยียนนั้นตอบแค่เพียงคำถามท้ายๆเท่านั้น แต่ทว่าผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ไม่เห็นด้วยกับคำตอบของนาง แล้วลูกสาวของตระกูลเจ้ากรมหลิวก็ได้ลุกขึ้นถาม “แต่ทว่าแม่นางหลินเองก็เป็นถึงคุณหนูเช่นกัน แต่กลับเมินเฉยต่อจารีตประเพณีแล้วไปอยู่ตามลำพังกับผู้ชายสองต่อสองได้เช่นไร?”
“หรือแม่นางหลิวจะคิดว่าองค์ชายนั้นจะทำอะไรข้าอย่างนั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม โดยไร้ซึ่งความโกรธบนใบหน้าของนาง แต่กลับแฝงด้วยสีหน้าที่เย้ยหยันแทน
สิ่งที่ตามมาพร้อมกับการตอบคำถามด้วยคำถามของหลินซีเหยียนนั้น คือสายตาที่หนาวเย็นของเจียงหวายเย่ที่จับจ้องมายังหลิวซินหรูที่หนักอึ้งเป็นหลายพันชั่ง
นางก็ได้กลืนน้ำลายลงไปแล้วรีบพูดแก้ไขออกมา ด้วยความกลัวว่ามันจะเป็นการทำให้มหาอุปราชขุ่นเคืองเข้า “แน่นอนว่าอย่างองค์ชายน่ะไม่ทำอะไรเจ้าอยู่แล้ว แต่เจ้าน่ะจะทำเป็นเมินเฉยต่อจารีตประเพณีไม่ได้นะ”
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนางลง สายตาของนางนั้นไม่ได้มีสายตาเย้ยหยันเหมือนเมื่อสักครู่แล้ว และริมฝีปากแดงๆของนางก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาแล้วกล่าวด้วยเสียงที่เบาออกมาด้วยเสียงที่หนาวเย็นต่ำกว่า 8 องศา “แม่นางหลิวนั้นคิดที่จะเอากฎพวกนั้นมาใช้กับข้างั้นเหรอ?”
หลิวซินหรู่ก็ได้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมากับคำพูดที่หนาวเย็นของหลินซีเหยียน แต่นางนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงแค่นังโง่ที่หนีตามคนอื่นไปแล้ว นางยังจะต้องกลัวอะไรอีก
ดังนั้นแล้วต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้แล้ว ใบหน้าเล็กๆของหลิ่วซินหรูก็ได้เต็มไปด้วยความมั่นใจขึ้นมาแล้วกล่าว “หากแม่นางหลินไม่รู้เรื่องของกฎจารีตประเพณีแล้ว ข้าจะสั่งสอนเจ้าเองเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ทำอะไรให้เป็นการเสียหน้าคุณหนูอย่างพวกเราต่อหน้าขององค์ชาย”
คำพูดนี้แม้จะบางเบา แต่ก็ทำให้หลินซีเหยียนโมโหขึ้นมา นางได้หันหน้าไปมองที่อีกฝ่ายด้วยสายตาที่หนาวเย็นแล้วกล่าว “ถ้าเจ้าอยากที่จะสอนข้าแล้วล่ะก็ ข้าขอดูหน่อยเถอะว่าเจ้านั้นมีคุณสมบัติพอแล้วหรือยัง?”
“เจ้า…..” หลิวซินหรูก็ได้ชี้ไปที่หลินซีเหยียนด้วยนิ้วที่สั่นๆ นางไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายนั้นจะโต้แย้งนางกลับมาต่อหน้าทุกคนเช่นนี้
ถ้าหากนางไม่พูดโต้อะไรกลับไป จากนี้ไปนางจะไปสู้หน้าเหล่าคุณชายและคุณหนูได้อย่างไร?
หลินซีเหยียนก็ได้นั่งลงที่เก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ ด้วยท่าทีที่สง่างามและสูงส่ง ในทางกลับกันหลิวซินหรูนั้นกลับเป็นเหมือนตัวตลก คิดที่จะสั่งสอนคนอื่นแต่ทว่าใครกันแน่ที่เหนือกว่าและใครที่อยู่ต่ำกว่าเห็นกันได้อย่างชัดเจนเช่นนี้
ในขณะที่ผู้คนกำลังมองไปที่หลิวซินหรูด้วยสายตาที่ดูหมิ่นอยู่นั้น หลิวซินหรูที่ทนไม่ไหวก็ได้ตะโกนออกไป “กับผู้หญิงที่ท้องก่อนแต่งอย่างเจ้าน่ะ ข้าน่ะเหมาะที่จะสั่งสอนเจ้าแล้ว เพราะเจ้าน่ะเป็นคนที่นำความอับอายมาให้พวกเรา”
ทันทีที่นางพูดออกไปเช่นนี้ เจียงหวายเย่ก็ได้เริ่มขยับมือของเขาเล็กน้อย แล้วจากนั้นดวงตาของเขาก็ได้เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“แม่นางหลิว เจ้าพูดเช่นนั้นกับพี่สามของข้าได้เช่นไร?” หลินรั่วจิ่งก็ได้มีสีหน้าเสียใจ ราวกับว่านางนั้นไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหลิวซินหรู
เมื่อหลินเสวี่ยเหยียนเห็นเช่นนั้น นางก็ได้รีบช่วยนาง “จริงด้วย พี่สามของข้าเป็นคนที่สวยมาก แม้ว่านางจะมีลูกแล้วยังไง? ก็ยังสามารถที่จะหาสามีดีๆได้”
“ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก หนีตามชายอื่นไปจนมีลูก แล้วยังคิดที่จะหาสามีดีๆอีกอย่างนั้นเหรอ?”
หลิวซินหรูก็ได้ต่อว่าด้วยดวงตาที่แดง โดยไม่สนเรื่องของการสั่งสอนของนางและกล่าวพูดด้วยถ้อยคำที่รุนแรงออกมาจากปากของนาง
ในเวลานี้ทั่วทั้งตำหนักแห่งนี้ ทุกคนต่างก็กล่าวว่า หลินซีเหยียนเป็นคนผิดและกล่าวปลอบหลิวซินหรู
ด้วยเสียงดัง “ปัง” ที่จู่ๆก็เกิดขึ้นราวกับฟ้าผ่าลงที่แจ้งนั้น ได้ทำให้ในตำหนักที่กำลังส่งเสียงกันอื้ออึงนั้นเงียบสงบลงทันใด แม้หลินซีเหยียนที่กำลังวางแผนจะวางยาก็ได้เลิกคิดไปด้วย
ตามมาด้วยเสียงดังนั้นคือใบหน้าที่มืดดำของ เจียงหวายเย่ และแผ่เอาจิตสังหารออกมาทำให้ผู้คนที่อยู่ที่นี่เกิดการสั่นกลัว
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมเจียงหวายเย่ถึงได้โมโห แต่พวกเขาก็ควรที่จะต้องขอโทษออกไปก่อน
“คำพูดที่น่าโสโครกเหล่านั้นทำให้หูของเปิ่นหวางสกปรก ขอให้เจ้าชดใช้มาด้วย”
ในฐานะที่เป็นตัวต้นเหตุแล้ว หลิวซินหรูนั้นไม่รู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรผิด กลับกันนางก็ได้เริ่มร้องไห้ออกมา “องค์ชาย ท่านนั้นเป็นถึงเจ้านายของพวกเราทุกคน ข้านั้นได้เตือนแม่นางหลินด้วยความหวังดี แต่กลับไม่นึกว่านางจะดื้อด้านไม่ยอมให้ข้าสั่งสอนเช่นนี้”
“สั่งสอนเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวอย่างดูหมิ่น “อย่างเจ้าคู่ควรด้วยงั้นเหรอ?”
แล้วหน้าเล็กๆหลิวซินหรูก็ได้ซีดเผือดขึ้นมา แล้วไม่สามารถตั้งสติได้อยู่พักใหญ่ๆ
เมื่อสักครู่องค์ชายว่าอะไรนะ? บอกว่าเราไม่คู่ควรอย่างนั้นเหรอ?
แล้วนางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่อย่างไม่อยากจะเชื่อ ด้วยดวงตาแดงๆของนางกับท่าทีที่อ่อนแอและเสแสร้ง “องค์ชาย ทำไมข้าถึงจะไม่คู่ควรล่ะ? ในเมื่อเทียบกับหลินซีเหยียนแล้ว ตัวข้านั้นดีกว่านางอีกเป็นไหนๆ”
เทียนเอ๋อที่ตอนแรกแอบอยู่ที่มุมมุมหนึ่งด้วยความคิดที่จะโผล่เข้ามาร่วมสนุกด้วยนั้น ตอนนี้เขากลับโผล่ออกมาด้วยความโมโหเมื่อเขาได้ยินที่พูดเช่นนั้น “ถอนคำพูดของเจ้าเสีย แม่ของข้านั้นดีเลิศที่สุดแล้ว อย่างเจ้าน่ะไม่คู่ควรหรอก”
แล้วเสียงเด็กๆของเขาก็ได้ดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก ทำให้หลิวซินหรูนั้นรู้สึกทำให้ขายหน้าและโมโหอย่างมาก
“เทียนเอ๋อ เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ด้วยบรรยากาศที่หนาวเย็นรอบตัวของนาง หลินซีเหยียนก็ได้เดินไปหาเทียนเอ๋อ
เทียนเอ๋อก็ได้จ้องมาด้วยดวงตากลมโตแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ วันนี้เทียนเอ๋อออกไปเล่นข้างนอกมาแล้วไปหาท่านลุงมา ซึ่งท่านลุงก็มาส่งเทียนเอ๋อด้วย”
หลินซีเหยียนก็ได้ทำเป็นจ้องมองไปที่เขาด้วยความโมโหแล้วกล่าว “ไม่ใช่ว่าแม่บอกไปแล้วเหรอว่าจะไปกับเจ้าด้วยน่ะ? ทำไมเจ้าถึงไม่รอแม่กันฮึ?”
เทียนเอ่อก็ได้ทำสีหน้าบูดบึ้ง แล้วจากนั้นก็ได้ทำเป็นพูดราวกับเป็นผู้ใหญ่แล้ว “มีบางอย่างที่ท่านแม่ทำไม่ได้ แต่เทียนเอ๋อกับท่านลุงทำได้เช่นกัน”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็ได้หันหน้าไปทางที่เขาเดินมา
ในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อนั้นเอง คำพูดที่เหน็บแนมของหลิวซินหรูก็ได้ดังขึ้นมา “ดูนั่นสิ นั่นแหละลูกที่ไม่รู้ว่าพ่อเป็นใครของหลินซีเหยียนล่ะ”
“โอหัง”
เจียงหวายเย่ก็ได้เอามือตบที่โต๊ะ แล้วจากนั้นโต๊ะก็ได้แหลกกลายเป็นผงด้วยการตบเพียงครั้งเดียว เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาเทียนเอ๋อ จากนั้นเขาก็ได้ลูบหัวของอีกฝ่ายแล้วผ่อนอารมณ์ที่ตึงเครียดของเขาลง “เทียนเอ๋อเป็นลูกของเรา เจ้าถือดีอย่างไรมาว่าเขา?”
“อะไรนะ เจ้าเด็กนั่นคือลูกของพระมหาอุปราชอย่างนั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้!”
แล้วคำพูดของผู้คนรอบๆนั้นได้ทำให้แววตาของ หลินซีเหยียนนั้นมืดดำขึ้นมา นางเองก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อแท้ๆของเทียนเอ๋อนั้นเป็นใคร แต่แล้วอย่างไรล่ะ? ตราบเท่าที่นางยังอยู่เทียนเอ๋อจะเป็นลูกของใครก็ช่าง
จนกระทั่งถึงตอนนี้ หลินซีเหยียนนั้นยังคงคิดว่า เจียงหวายเย่พูดออกมาเช่นนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เทียนเอ๋อกับตัวนางถูกว่าร้ายไปมากกว่านี้
ถึงนางจะขอบคุณ แต่นางคิดว่าเรื่องนี้นางสามารถจัดการด้วยตัวเองได้ และในขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมาอยู่นั้นเอง ตัวตนที่ผอมเพรียวก็ได้โผล่ออกมาต่อหน้าผู้คนอย่างช้าๆ
“นั่นมันเยี่ยจุนเจี๋ยจากบ้านตระกูลท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อนี่นา”
“ทำไมเขาถึงมาที่นี่ล่ะ?”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลินซีเหยียนน่ะ”
เมินเฉยต่อคำพูดเหล่านี้ เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เดินไปคารวะเจียงหวายเย่แล้วจากนั้นก็ถาม “ทำไมองค์ชายถึงได้บอกว่า เทียนเอ๋อเป็นลูกของท่าน?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวแล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น “ใครกันที่จะมีลูกที่สุดยอดเช่นนี้ได้หากไม่ใช่เรา”
Comments