คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า 791 ลางร้ายครั้งใหญ่? จอมมารออกโรง!
ตอนที่ 791 ลางร้ายครั้งใหญ่? จอมมารออกโรง!
……….
หุบเขากลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ฉินหลิวซีก็ได้รู้จากจื้อเฉิงและสตรีท้องโตเหล่านี้ว่าพวกนางทำอะไร อย่างที่สตรีนามว่าเถาหงเอ่ย พวกนางเป็นแม่พันธุ์ให้กำเนิดบุตร มีบางคนถูกหลอกมา บางคนก็ถูกลักพาตัวมาซ่อนไว้ในหุบเขาชั่วร้ายแห่งนี้ ถูกชายฉกรรจ์เหล่านั้นผลัดกันยำยี จนกระทั่งตั้งครรภ์ เมื่อคลอดบุตรออกมา เด็กเหล่านั้นก็ถูกเอาไป จากนั้นก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง
สำหรับสาเหตุที่พวกนางรู้ว่าเด็กเหล่านั้นถูกเอาไปหล่อหลอมเป็นทารกผี ก็เพราะบรรดารุ่นพี่ก่อนหน้านี้เกลี้ยกล่อมอู่เซิง[1]ทุกวิถีทางจนได้รู้มา คนอย่างพวกนาง นอกจากที่นี่แล้ว ก็ยังมีอยู่ที่อื่นอีก
ดังนั้นไม่ว่าเด็กจะคลอดออกมาหรือไม่ ชะตากรรมของพวกเขาก็ล้วนต้องตายในที่สุด ในเมื่ออย่างไรก็ต้องตาย แล้วเหตุใดจะต้องมาเผชิญกับโลกที่โหดร้าย
อย่าถามว่าเหตุใดพวกนางจึงไม่หนี เป็นเพราะหนีไม่พ้น มีคนเคยลองหนีมาก่อน ถูกจับกลับมา ถูกตัดแขนตัดขาควักดวงตา คนผู้นั้นยังถูกทิ้งไว้ในหุบเขาอยู่เลย
แล้วก็ไม่ต้องถามว่าเหตุใดจึงไม่ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับบุตรในท้อง คำตอบก็คือพวกนางทำไม่ลง แม้ว่าในใจจะเหมือนตายทั้งเป็น แต่ก็ไม่มีความกล้าหาญที่จะฆ่าตัวตายจริงๆ ส่วนเรื่องทำแท้งก็ใช่ว่าไม่เคยลองมาก่อน นอกจากจะเจ็บปวดแล้ว หลังจากที่ถูกพบเข้าก็จะถูกทรมานอย่างสาหัส
เมื่อเวลาผ่านไปนาน พวกนางก็ค่อยๆ เฉยชาไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาเถิด จะเป็นหรือตาย ก็แล้วแต่สวรรค์จะกำหนด
และเหตุใดจื้อเฉิงและคนอื่นๆ จึงได้เต็มใจที่จะปั้นพระพุทธรูปมารเหล่านั้น ก็เป็นเพราะถูกความมีศีลธรรมผูกมัดไว้ หากพวกเขาไม่ทำ คนเหล่านั้นก็จะทำสิ่งเลวร้ายกับสตรีที่น่าสงสารเหล่านี้
อย่าคิดว่าหุบเขาแห่งนี้มีหลุมศพเพียงแห่งเดียว ความจริงแล้วยังมีถ้ำงูอีกด้วย ในนั้นนอกจากงูแล้วยังมีแมลงเบญจพิษ หากคนถูกโยนเข้าไป ไม่เพียงแต่ไร้ทางรอด ซ้ำยังต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสก่อนตาย
ฉินหลิวซีสอบถามเรื่องนี้ พบว่าพวกเขาไม่รู้ว่าเด็กทารกเหล่านี้ถูกส่งไปที่ไหนและใครเป็นคนรับช่วงต่อ จึงไม่ได้ถามมาก แต่กลับเดินออกไปข้างนอก คว้าชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่ถูกทุบตีจนตายแล้วแต่ยังไม่ได้ไปสู่ยมโลกมาถามถึงที่อยู่ของเด็กทารก
แต่พวกเขาไม่มีใครรู้ ตราบใดที่สตรีเหล่านี้คลอดบุตรออกมา ก็ส่งไปให้จื้อเฉิงตัวปลอมที่อยู่ข้างนอกโดยผ่านเส้นทางลับนี้ นอกนั้นก็ไม่รู้แล้ว
ดูเหมือนว่าเพียงแค่จับจื้อเฉิงตัวปลอมได้ทุกอย่างก็จะชัดเจน
ฉินหลิวซีอัญเชิญยมทูตมาให้พาวิญญาณเหล่านี้ไป ก่อนที่จะได้ไปเกิดใหม่ ให้พวกเขารับโทษจากบาปกรรมของตัวเอง
เมื่อเรื่องนี้จบลง นางพาพระภิกษุรูปหนึ่งไปที่ถ้ำงูแห่งนั้นแล้วจุดไฟเผา จากนั้นก็ไปที่วิหารบนภูเขา ที่นั่นประดิษฐานพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใหญ่ ซ้ำยังมีพระพุทธรูปองค์เล็กจำนวนนับไม่ถ้วน นางตัดเศียรทิ้งทั้งหมด จากนั้นก็จุดไฟเผา
สำหรับหุบเขาแห่งนี้ นางก็ไม่ได้จุดไฟเผาไปเสียทุกที่ ยังต้องเหลือหลักฐานไว้บ้าง
หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว นางจึงให้จื้อเฉิงและคนอื่นๆ รอก่อน นางจะให้คนมารับพวกเขา
“แล้วเด็กคนนี้ล่ะ” จื้อเฉิงมองดูเด็กทารกตัวแดงก่ำในอ้อมแขนของเขา
ฉินหลิวซีมองดูไฝแดงที่ติ่งหูข้างขวาของเด็ก เอ่ยว่า “พระพุทธเจ้าเมตตาทุกสรรพสิ่ง เขามีวาสนากับท่าน ให้ติดตามท่านเป็นสามเณรเถิด”
จื้อเฉิงตกตะลึง ถอนหายใจ
ฉินหลิวซีให้พวกเขารออยู่ที่นี่ จากนั้นก็เดินผ่านอุโมงค์กลับไปที่วัด จนกระทั่งคลำทางไปจนถึงห้องเซนของจื้อเฉิงตัวปลอม
หลังจากที่จื้อเฉิงกินอิ่มแล้ว เปลือกตาของเขาก็กระตุกทั้งคืน ในใจวิตกกังวลไม่สงบนิ่ง สัญชาตญาณบอกว่าปัญหากำลังจะมาถึง
เขาอดไม่ได้ที่จะจุดธูปบูชาพระพุทธเจ้า แต่ทันทีที่เขาพึ่งจุดธูป ธูปก็หักพร้อมกันทั้งหมด
จื้อเฉิงตัวปลอมสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที รีบไปหยิบเหรียญมหาเทพมาสามเหรียญแล้วเริ่มทำนายในทันที
ใช่แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าก่อนที่เขาจะโกนศีรษะ ความจริงแล้วก็เคยมีศีรษะที่เส้นผมดกดำ จากนั้นก็เป็นนักต้มตุ๋นอยู่กับนักพรตเฒ่าหาเลี้ยงชีพมาเป็นเวลาหลายปี และยังได้เรียนรู้วิชาของนักต้มตุ๋นหลายอย่าง อย่างเช่นการทำนายด้วยเหรียญทองแดง
ต่อมาศีรษะค่อยๆ ล้านไปด้านหลัง หลังจากที่นักพรตเฒ่าเสียชีวิต เขาก็ได้ติดตามพระภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อได้เรียนรู้ก็พบว่าเขามีความเข้าใจในพระพุทธศาสนาได้ดียิ่งกว่า และเห็นว่าเส้นผนบนศีรษะน้อยลง ซ้ำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาพุทธศาสนาได้อยู่เหนือลัทธิเต๋า โกนศีรษะจะมีอนาคตมากกว่า จึงได้ตัดสินใจโกนศีรษะกลายเป็นพระภิกษุ
ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้วิชาอัญเชิญดวงวิญญาณของลัทธเต๋าเพื่อเรียกวิญญาณได้ และสามารถเอาเหรียญทองแดงมาทำนายได้อย่างเช่นในตอนนี้
หลังจากโยนไปหกครั้ง จื้อเฉิงตัวปลอมก็เริ่มตีความคำทำนาย จากนั้นเหงื่อบนหน้าผากก็มากขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าก็เริ่มซีดลง และในที่สุดคำทำนายครั้งสุดท้ายก็ออกมา
เมื่อเขาเห็น จบเห่ ลางร้ายครั้งใหญ่!
เหตุใดจึงได้มีคำทำนายเช่นนี้ปรากฏ เป็นเพราะตัวซวยเมื่อตอนกลางวันผู้นั้นหรือ
จื้อเฉิงตัวปลอมหลับตาลงเล็กน้อย นึกถึงทุกคำที่ฉินหลิวซีเอ่ย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความหมายแอบแฝง อดรู้สึกหวั่นใจไม่ได้
ไม่ได้การ สัญชาตญาณเช่นนี้ เช่นนั้นควรเอาตัวรอด นี่คือความสามารถพื้นฐานที่เขาได้เรียนรู้จากการเอาชีวิตรอดมาหลายปี
เขาลุกขึ้นยืน ไม่ได้ถืออะไรไปด้วย จากนั้นก็เดินไปที่ประตู
พึ่งจะเดินมาถึงประตู ประตูก็ถูกคนออกแรงถีบเข้ามาจากด้านนอก บานประตูกระแทกกับจมูกของเขา เจ็บปวดเป็นอย่างมาก
จมูกเย็นวาบ เขาเอื้อมมือไปแตะ รูจมูกทั้งสองข้างมีเลือดกำเดาไหลออกมา
แต่เขาไม่มีเวลามาสนใจสิ่งนี้ มองไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าตกใจ รูม่านตาหดลง
คำทำนายไม่ได้หลอกเขา
ฉินหลิวซีเดินเข้ามา ฉีกยิ้ม “ดึกขนาดนี้แล้ว ท่านเจ้าอาวาสจะไปไหนหรือ”
จื้อเฉิงตัวปลอมเกือบจะผิดศีลด่าแม่ ประนมมือทั้งสองข้าง “อมิตาภพุทธ โยมมาโดยไม่ได้รับเชิญ บุกห้องเซนในยามวิกาลด้วยเหตุใดหรือ”
ฉินหลิวซีถือโอกาสหยิบบานประตูที่พังมาปิด เอ่ยว่า “แน่นอนว่ามีข้อข้องใจที่ไม่ได้รับการแก้ไข อยากจะขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างแก่ข้า คาดว่าท่านคงจะยินดีที่จะช่วยไขข้อข้องใจกระมัง ท่านอาจารย์ฮุ่ยเฉวียน?”
จื้อเฉิงตัวปลอม ไม่สิ ควรเรียกว่าฮุ่ยเฉวียนแล้ว สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “อาตมาไม่เข้าใจความหมายคำพูดของโยม”
“ไม่เป็นไร ข้าจะให้ท่านได้เข้าใจ” ฉินหลิวซีบุกเข้าไปหา
กดที่จุดใบ้ก่อน จากนั้นก็อ้อมไปด้านหลังของเขา คว้ามือทั้งสองข้างของเขามาด้านหลังแล้วหัก ขาเตะไปที่หัวเข่าของเขาให้คุกเข่าลงกับพื้น
มือทั้งสองข้างเจ็บปวดรุนแรงจากการถูกหัก ทำเอาฮุ่ยเฉวียนร้องด้วยความเจ็บปวด แต่เสียงกลับถูกสกัดไว้อยู่ในลำคอ เหงื่อเม็ดใหญ่เท่าถั่วเหลืองไหลลงมาจากหน้าผาก
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ฉินหลิวซีคว้าขาของเขาแล้วจับบิด เจ็บปวดจนเขาตาลอย
“เข้าใจแล้วหรือยัง” ฉินหลิวซีโน้มตัวแล้วเอ่ยอย่างเย็นชาที่ข้างหูของเขาจากด้านหลัง “ตอนนี้ช่วยให้คำชี้แนะแก่ข้าได้แล้วหรือยัง”
“อ้าๆ”
“ไม่ได้หรือ เช่นนั้นก็ต่อ” ฉินหลิวซีหยิบเข็มเงินสองเล่มแทงลงไปที่จุดสำคัญของเขา ทำเอาเขาชักด้วยความเจ็บปวด
และมือของนางก็วางอยู่บนกระดูกสันหลังส่วนเอวของเขา ทำเอาเขาตัวสั่นไปทั้งตัว แต่สิ่งที่ทำให้เขาหมดหวังที่สุดคือคำพูดต่อไปนี้
“หากข้าหักกระดูกนี้ เจ้าก็จะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ เจ้าว่า พวกเรามาไขข้อข้องใจนี้ดีๆ ได้หรือไม่”
ฮุ่ยเฉวียนตกใจพลางส่ายหน้าสุดชีวิต ให้ตายเถอะ เจ้าก็ปลดจุดใบ้ให้ข้าก่อนข้าถึงจะพูดได้ ตอนนี้จะให้ข้าใช้อากาศพูดหรือ
คนบ้าบิ่น ตัวซวย นี่มันเจ็บปากนะ!
“ดูข้าสิ ลืมไปเสียได้ แต่เจ้าห้ามร้องนะ หากเจ้าร้อง ข้าจะทำให้เสียงร้องของเจ้ากลายเป็นบทกวีชิ้นเอก” ฉินหลิวซีปลดจุดใบ้ให้เขา
ฮู่ยเฉวียนอยากจะตะโกน แต่มือของนางกำบนลำคอที่เต็มไปด้วยเนื้อของเขา จึงกลืนคำพูดลงไปในทันที เอ่ยอย่างสั่นเครือว่า “เจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่”
“เจ้ารู้เรื่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากน้อยแค่ไหน ซ้ำยังมีเรื่องสุสานในหุบเขาอีก เกี่ยวข้องกับวังหลิงซวีหรือไม่ มันอยู่ที่ไหน” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
ฮุ่ยเฉวียนสั่นไปทั้งตัว สวรรค์กำลังจะสังหารเขา บอกไปก็ตาย ไม่บอกก็ตาย!
[1] อู่เซิง พระภิกษุผู้ชำนาญศิลปะการต่อสู้
Comments