เซียนหมากข้ามมิติ 488 นี่ค่อนข้างยุ่งยาก
ตอนที่ 488 นี่ค่อนข้างยุ่งยาก
……………………………………………………………………..
เพราะฝีมือพอใช้ได้ ปรมาจารย์เซียนผู้นั้นและจอมยุทธ์หลายคนตกลงบนพื้นแล้วไม่ได้ล้มลง ทว่ายังคงเจ็บศีรษะอย่างควบคุมไม่อยู่ ถอยหลังไปไกลระยะหนึ่ง จนกระทั่งกระแทกต้นไม้หรือจับร่างสหายไว้ได้ถึงหยุด
ความจริงพวกเขาถูกจอมพลังเกราะทองสะบัดมือกวาดล้าง แน่นอนว่าจอมพลังเกราะทองไม่ได้ใช้พลังหรือปราณอะไร ไม่เช่นนั้นเกรงว่าจะต้องถูกตบจนตายแล้ว
จอมพลังไม่เพียงเสียงดังสะท้านภูเขา รูปลักษณ์ภายนอกยิ่งนำมาซึ่งความรู้สึกกดดันมหาศาล คนโง่ล้วนรู้ว่าคนยักษ์เกราะทองตรงหน้าไม่มีทางอ่อนด้อยอย่างแน่นอน
ตอนนี้สือโหย่วเต้ารีบเข้ามายืนตรงหน้าขุนพลเทพเกราะทองและกลุ่มคนจากสำนักปรมาจารย์ เขากลัวจริงๆ ว่าขุนพลเทพเกราะทองจะตบคนจากสำนักปรมาจารย์เหล่านี้ตาย หากคนพวกนี้ตายแล้ว สุดท้ายคนที่ลำบากก็คือภูตตัวเล็กๆ อย่างเขานี่แหละ
“ใต้เท้าขุนพลเทพ! ใต้เท้าขุนพลเทพ! ท่านอย่าเพิ่งโมโหเลย ระงับโทสะด้วย! คนพวกนี้ล้วนเป็นคนจากราชสำนักต้าซิ่ว มาที่นี่เพียงเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ไม่ได้คิดจะสร้างความคุกคามใดต่อผนึกเลย!”
จอมพลังเกราะทองเพียงยืนอยู่ตรงนั้น เหล่มองเทพภูเขา ฝ่ายหลังมีสีหน้าเครียดเกร็ง หมุนกายไปหาคนจากสำนักปรมาจารย์อย่างระมัดระวัง
“ปะ ปรมาจารย์เซียนทุกท่าน รีบอธิบายกับขุนพลเทพเถอะ เล่าถึงสิ่งที่พวกเจ้าบอกกับข้าเมื่อครู่นี้ หากอธิบายไม่ชัดเจนเกรงว่าจะไม่ได้ลงจากเขาแล้ว!”
“หะ เหตุใดเมื่อครู่นี้เข้าไม่พูดว่ามี…ขุนพลเทพเช่นนี้อยู่ที่นี่ด้วย”
ปรมาจารย์เซียนของสำนักปรมาจารย์คนหนึ่งมีน้ำโห ตะคอกใส่ภูตตรงหน้าเสียงเบา ฝ่ายสือโหย่วเต้าทำได้เพียงยิ้มขื่น
“ข้าไหนเลยจะกล้าเปิดเผยเรื่องนี้โดยง่าย ทุกท่านเป็นปรมาจารย์เซียนจากสำนักปรมาจารย์ ทว่าใต้เท้าขุนพลเทพเพียงรับคำสั่งของท่านเซียน ข้าพูดมาแล้วอาจถูกบี้ตายเหมือนมดตัวหนึ่งก็เป็นได้! ไอ้หยาตอนนี้ไม่ใช่เวลาเอาผิดกับข้า รีบอธิบายให้ใต้เท้าขุนพลเทพฟังเถอะ!”
คนจากสำนักปรมาจารย์ตอบสนองว่องไวเช่นกัน เป็นปรมาจารย์เซียนสกุลจ้าวก้าวไปข้างหน้า นำทุกคนประสานมือคารวะ
“พวกข้าเป็นผู้ฝึกปราณสำนักปรมาจารย์จังหวัดเปี้ยนหรง ขอคารวะใต้เท้าขุนพลเทพ!”
หลังจากคารวะแล้วเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง เห็นจอมพลังเกราะทองไม่ขยับเขยื้อน เพียงก้มหน้ามองพวกเขา
“ถอยไป”
เสียงครืนครามดุจสายฟ้าดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนจากสำนักปรมาจารย์ต่างก็กล่าวว่าขอรับ จากนั้นรีบร้อนจากไป สือโหย่วเต้าไม่กล้าเลินเล่อ ประสานมือให้จอมพลังเกราะทอง ก่อนจากไปตามคนจากสำนักปรมาจารย์เหล่านั้น
ปรมาจารย์เซียนฝีเท้าว่องไว ไม่กล้าหยุดพักโดยสิ้นเชิง แม้มีขวากหนามขวางทางก็ยังคงไม่กล้าหยุดฝีเท้า ทว่าออกไปครั้งนี้กลับเดินง่ายขึ้นไม่น้อยอย่างน่าประหลาด
จนกระทั่งหนึ่งเค่อกว่าผ่านไป รู้สึกว่าห่างไกลจากภูเขาใหญ่ผนึกปีศาจทางนั้นพอแล้ว ทุกคนจากสำนักปรมาจารย์ถึงค่อยหยุดพัก พากันนั่งลงตรงกองหินแห่งหนึ่ง
สือโหย่วเต้าโผล่มาจากตรงไหนก็ไม่รู้ ในมือถือแผ่นหินเอาไว้ บนนั้นวางไว้ด้วยแก้วทำจากไม้ใส่น้ำแร่
“ปรมาจารย์เซียนทุกท่าน เจ้าหน้าที่ทุกท่าน มาๆๆ ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ นี่เป็นน้ำแร่บนเขา หวานชุ่มคอนัก แก้กระหายได้ดี”
หากวันหน้ากลายเป็นเทพภูเขาลาดชัน เทพใหม่อย่างสือโหย่วเต้าต้องได้รับการต้อนรับที่สำนักปรมาจารย์แน่นอน เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกมองว่าต่ำต้อย ทว่าตอนนี้จำเป็นต้องสร้างสัมพันธ์อันดีเอาไว้ก่อน
“ขอบคุณมาก!”
“ขอบคุณมากๆ!”
“ขอบคุณ!”
ท่าทีของคนเหล่านี้ดีขึ้นไม่น้อย รับแก้วไม้ไปแล้วล้วนกล่าวขอบคุณต่อสือโหย่วเต้า มีปรมาจารย์เซียนใช้วิชาของตนเองตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหา ถึงพยักหน้าบ่งบอกให้ทุกคนดื่มอย่างวางใจ
เมื่อดื่มน้ำแร่หมดเกลี้ยง ทุกคนรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
“ขอถาม…”
“อ้อ ข้าน้อยสือโหย่วเต้า มุ่งมาดจะกลายเป็นเทพภูเขาลาดชัน แน่นอนว่าหากไม่ได้รับอนุญาตจากต้าซิ่วย่อมไม่กล้าตั้งศาลเทพ แต่รู้จักปราณพิภพอำนาจภูเขาอยู่บ้าง”
“อ๋อ สือโหย่วเต้า ช่วยเล่าเรื่องขุนพลเทพเกราะทองนั่น รวมถึงปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ใต้ภูเขาให้ฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่”
สือโหย่วเต้ายิ้มพลางส่ายหน้า
“ไม่ใช่ว่าข้าคนแซ่สือไม่ยินดีเล่าให้ฟังอย่างละเอียด แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่รู้มีไม่มาก เพียงรู้ว่าปีศาจที่ถูกผนึกไว้ร้ายกาจมาก จะให้มันหนีไปไม่ได้ ขุนพลเทพเกราะทองเป็นหนึ่งในผู้เฝ้ามัน”
‘หนึ่งในผู้เฝ้า?’
คนจากสำนักปรมาจารย์ใจกระตุกวูบ อดไม่ได้ที่จะคิดว่ายังมีสิ่งร้ายกาจอะไรเฝ้าอยู่อีก ชัดเจนว่าภูตที่ใครล้วนมองข้ามก็อยู่ในตัวเลือกที่จินตนาการไว้ด้วย
“ขอบคุณสหายยุทธ์สือที่บอกกล่าว สหายยุทธ์ไปมาหาสู่กับสำนักปรมาจารย์ของข้ามากหน่อยเถอะ ช่วยบอกข่าวภูเขาลูกนี้กับพวกข้า เขาลาดชันแห่งนี้ยังไม่เคยตั้งศาลเทพภูเขา หากวันหน้าสหายยุทธ์ประสงค์ สำนักปรมาจารย์จังหวัดเปี้ยนหรงยินดีส่งฎีกาให้สหายยุทธ์เอง!”
แม้ได้รับคำมั่นจากจี้หยวนและขอทานชราแล้ว ทว่าตอนนี้สือโหย่วเต้ายังคงเผยสีหน้าปีติ รีบคารวะกล่าวขอบคุณทุกคนจากสำนักปรมาจารย์
“ขอบคุณทุกท่าน ขอบคุณปรมาจารย์เซียนทุกท่าน หากมีสถานการณ์อะไร ข้าน้อยจะไปบอกอย่างแน่นอน! จริงสิ รบกวนทุกท่านใช้ฐานะของทางการออกประกาศ เตือนผู้บังอาจขึ้นเขาทั้งหมดว่าอย่าเข้าใหญ่ภูเขาใหญ่ผนึกปีศาจ”
“ย่อมทำตามนั้น!”
“ถูกต้อง ย่อมทำตามนั้น!”
…
หลังจากกลุ่มคนจากสำนักปรมาจารย์ไปแล้ว จอมพลังเกราะทองกลับไม่หายตัวไป เพียงหมุนกายอย่างเชื่องช้า หันหน้าเข้าหาภูเขาใหญ่ผึกจิ้งจอก ในนั้นมีเสียงเล็กๆ ดังมา
“ฮือ…ฮือ…ข้า เจ็บเหลือเกิน…”
เสียงสั่นเครือของถูซือเยียนดังมาเลือนราง ใบหน้าก้มลง ดวงตาทอประกาย
‘นี่ก็คือขุนพลเทพกระมัง!’
นี่เป็นครั้งแรกที่ถูซือเยียนเห็นจอมพลังเกราะทอง แม้มีภูเขาผนึกกั้นไว้ ทว่ายังคงสัมผัสได้ว่าขุนพลเทพไม่ธรรมอย่างแน่นอน จึงต้องการสนทนากับขุนพลเทพสักเล็กน้อย
และเป็นเช่นที่คาดไว้ เสียงของถูซือเยียนในตอนนี้ดึงดูดความสนใจจอมพลังเพราะทองแล้ว มันค่อยๆ เดินไปถึงรอยแตกมุ่งตรงเข้าสู่ภูเขาอย่างช้าๆ
“อึก…ข้างนอก ข้างนอกคือใต้เท้าขุนพลเทพหรือ”
กระนั้นสิ่งที่ถูซือเยียนเผชิญไม่ใช่สายตาเย็นชาหรือระแวดระวังปนใคร่รู้เช่นที่จินตนาการไว้ กลับเป็นสายตาไร้ระลอกคลื่นอันเต็มไปด้วยความเหยียดหยามราวกับไม่เห็นเทพองค์ใดอยู่ในสายตา
แม้เป็นเพียงรอยเล็กๆ ปีศาจจิ้งจอกก็ยังคงจินตนาการได้ว่าขุนพลเทพร่างใหญ่ข้างนอกนั่นมองนางอย่างไร้ความรู้สึก
“ขอถามว่าใต้เท้าขุนพลเทพมีนามว่าอะไร”
ถูซือเยียนรออยู่ครู่หนึ่งแล้ว ไม่มีเสียงตอบรับใด
“ใต้เท้าขุนพลเทพ…ข้ารู้ว่าตนเองทำผิดใหญ่หลวง ได้รับโทษหนักครั้งนี้นับว่าสมควร เห็นทีว่าใต้เท้าขุนพลเทพติดตามท่านจี้กระมัง…ข้า…”
ถูซือเยียนพูดถึงตรงนี้แล้วพูดต่อไปอีกไม่ไหวจริงๆ เพราะสายตาของขุนพลเทพนั้นไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ แม้แต่ระลอกคลื่นสักนิดก็ไม่มี เหมือนอย่างยิ่ง…เหมือนกับสายตาของจี้หยวนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับมองทะลุปรุโปร่งทุกอย่าง
ภายใต้การจ้องมองอย่างดูถูกของขุนพลเทพที่ตนไม่รู้จักนี้ มันเหมือนกับว่าอีกฝ่ายรู้ทันแผนการทุกอย่างและคำพูดทั้งหมดของตนเอง ไม่ต่างอะไรกับการที่อีกฝ่ายกำลังมองตัวตลกอยู่เลย มันไม่ได้หัวเราะเยาะนาง แต่กลับอึดอัดกว่ามันหัวเราะนางเสียอีก อาจพูดได้ว่านี่เป็นการหัวเราะเยาะอย่างเงียบๆ แล้ว
อย่าโง่เลย เก็บเรี่ยวแรงไว้เถอะ…ข้าไม่เหมือนกับเทพภูเขานั่น…ปีศาจร้ายก็คือปีศาจร้าย คำพูดสวยหรูจะมีประโยชน์อะไร…น่าเวทนานัก…
ในหัวนางเกิดความคิดนี้อย่างอดไม่ได้ ถูซือเยียนกัดฟัน ราวกับนึกออกว่าในใจขุนพลเทพคิดอะไรอยู่
‘นี่ค่อนข้างยุ่งยากแล้ว!’
ทุกสรรพสิ่งไม่จีรัง ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างไม่อาจเลี่ยง ดูเหมือนว่าหมายถึงสถานการณ์ในตอนนี้นี่แหละ
จี้หยวนรู้อยู่ลึกๆ ว่าปีศาจจิ้งจอกถูซือเยียนร้ายกาจมาก และรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่มีมรรคปีศาจสูงส่งเท่านั้น ยังชอบเล่นสนุกกับจิตใจผู้คนอย่างยิ่งอีกต่างหาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงทิ้งสิ่งที่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่าชีวิตคอยเฝ้านางไว้ ไม่ว่าเจ้าจะถนัดเล่นสนุกกับจิตใจผู้คนอย่างไร จอมพลังเกราะทองก็ไม่มีทางตอบสนองเจ้าอย่างแน่นอน
…
ส่วนจี้หยวนกับขอทานชราตอนนี้อยู่ที่เมืองหลวงราชวงศ์ต้าซิ่วมาสองวันแล้ว
พวกเขาสองคนไม่ได้ไปหาโหรหลวงแห่งต้าซิ่วโดยตรง ทว่าค่อยๆ ทำความเขาใจสถานการณ์ของสำนักปรมาจารย์ก่อน และทำความเข้าใจสถานการณ์ของราชวงศ์ต้าซิ่วด้วยเช่นกัน
ขอทานชราคิดว่าจี้หยวนอาจกลัวว่าคบค้าสมาคมกับราชวงศ์มนุษย์แล้วจะเกิดเรื่องอื้อฉาว ทว่าจี้หยวนกลับมีความคิดของตนเอง อีกทั้งสนใจราชวงศ์ใหญ่ที่รุ่งเรืองอย่างต้าซิ่วอยู่บ้าง
สิ่งสำคัญที่สุดคือสังเกตการณ์ปรมาจารย์เซียนแห่งสำนักปรมาจารย์ที่เคยพบเห็นมาแล้วส่วนหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเย็นย่ำ จี้หยวนวางแผนไปเยี่ยมเยียนคนคนหนึ่งร่วมกับขอทานชรา
พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้ว เฉียวหย่งยืนขึ้นที่มุมหนึ่งของตลาด ปัดก้นเล็กน้อยแล้วหยิบเก้าอี้ที่นั่งก่อนหน้านี้ไปวางไว้ในตะกร้าใบใหญ่ข้างๆ จากนั้นหยิบคานไม้ที่พิงผนังไว้มาพาดไหล่เกี่ยวตะกร้าสองใบ เมื่อเตรียมตัวแล้วค่อยออกแรงยกท่อนไม้
นี่คือร้านหาบแร่ของเฉียวหย่ง ในตะกร้านอกจากตาชั่งแล้ว ส่วนใหญ่เป็นกะหล่ำปลี หัวไชเท้า และผักอื่นๆ ยังคงเหลืออยู่ที่ก้นตะกร้าพอประมาณ
เฉียวหย่งยกคานขึ้นด้วยความมั่นคง มุ่งหน้าเดินกลับบ้านอย่างสบายๆ
ข้างหน้ามีบุรุษสวมเสื้อสีเขียวและขอทานชราเสื้อผ้าเก่าขาดเดินมา ส่วนผสมนี้แปลกตายิ่งนัก ทว่าชาวบ้านรอบข้างเหมือนกับมองไม่เห็นทั้งสองคนอย่างไรอย่างนั้น นี่ทำให้เฉียวหย่งขมวดคิ้วขึ้นมา
เฉียวหย่งไม่หยุดฝีเท้า หางตาเหลือบมองสองคนนั้นตลอดเวลา รู้สึกได้รางๆ ว่าบุรุษเสื้อเขียวผู้นั้นคุ้นตาอยู่บ้าง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายไม่พอใจ เขาจึงไม่ได้จ้องมองอีกฝ่ายตรงๆ
ตอนเฉียวหย่งคิดว่าพวกเขาสองฝ่ายจะเดินสวนกัน เห็นทั้งสองคนกลับเดินตรงมาถึงตรงหน้าตนเอง จากนั้นหยุดฝีเท้าทันที
“เอ่อ ทั้งสองท่านอยากซื้อผักหรือ ในตะกร้าข้าเหลืออยู่นิดหน่อย หากต้องการล่ะก็ ข้าขายให้พวกท่านถูกหน่อยเป็นอย่างไร”
ขอทานชราพิจารณาเฉียวหย่งตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นมองไปทางจี้หยวน ฝ่ายหลังมุ่นคิ้วเล็กน้อย
“ทูตอาวุโสเฉียว เหตุใดมาอยู่ที่นี่”
คนตรงหน้าเฉียวหย่ง คือทูตอาวุโสนำกองเรือลอยลำเหนือทะเลเป็นเวลาหลายปีเพื่อตามหาเกาะหมอกเซียนในปีนั้น
ปีนั้นเฉียวหย่งนำเรือน้อยใหญ่มากกว่าสองร้อยลำ คุมกำลังคนมากกว่าสามหมื่น ออกทะเลร่อนเร่ตามหาเกาะหมอกเซียน ถือว่ามีฐานะไม่ต่ำต้อย ทว่าวันนี้กลับขายผักอยู่ที่ตลาดเสียอย่างนั้น
ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองแบบนั้น เฉียวหย่งพลันมองเขาด้วยความประหลาดใจเล็กๆ
“ท่านเป็นใคร”
จี้หยวนยิ้ม
“ทำไม ทูตอาวุโสเฉียวจำข้าคนแซ่จี้ไม่ได้หรือ เหนือทะเลบูรพาในปีนั้น เป็นข้าคนแซ่จี้ที่โน้มน้าวให้เจ้ากลับบ้าน”
ได้ยินดังนั้นแล้วเฉียวหย่งสะท้านไปทั้งร่าง ดวงตาเบิกโพลง ริมฝีปากล่างสั่นเล็กน้อย จากนั้นเผยสีหน้ายินดี
“ท่าน ท่านคือท่านเซียน? ท่านคือท่านเซียนจี้แห่งทะเลบูรพา!”
“ทูตอาวุโสเฉียวยังจำข้าคนแซ่จี้ได้ด้วย”
เฉียวหย่งตื่นเต้นมาก ทั้งส่ายหน้าและพยักหน้า
“จะลืมได้อย่างไรกัน ลืมอย่างไรก็ไม่ได้! ท่านจี้มาได้เสียที ต้องการให้ข้าคนแซ่เฉียวพาท่านทั้งสองไปพบโหรหลวงหรือไม่ อ้อจริงสิ วันนี้ฟ้ามืดแล้ว ท่านเซียนทั้งสองไปบ้านข้าก่อนเถอะ ให้ข้าได้ต้อนรับท่านดีๆ พรุ่งนี้ค่อยไปเป็นอย่างไร”
“ได้สิ จัดการตามทูตอาวุโสเฉียวว่าเถอะ”
“เฮ้อ ท่านเซียนอย่าเย้าข้าเลย ตอนนี้ข้าเป็นเพียงชาวบ้านคนหนึ่ง อย่าเรียกด้วยตำแหน่งข้าราชการเลย! ไปๆๆ เชิญท่านเซียน แม้ว่าข้าขายผัก ทว่าที่บ้านพอมีเงินอยู่บ้าง ต้องรับรองพวกท่านอย่างดีแน่นอน!”
เฉียวหย่งดีใจจนยากจะควบคุม ยกคานเดินรวดเร็วกว่าเดิมไม่น้อย นำทางจี้หยวนกับขอทานชราไปทางบ้านของตนเอง
Comments