ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่งบทที่ 863 ประตู

Now you are reading ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง Chapter บทที่ 863 ประตู at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 863 ประตู

……….

หลังสวมหัวกะโหลก จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจึงสงบใจลง หลับตาและขจัดความคิดฟุ้งซ่าน ทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง มุ่งสมาธิไปยังจิตวิญญาณที่เหลือในหัวกะโหลก

หลังจากนั้นไม่นาน นางก็รู้สึกได้ชัดเจนถึงเสียงสะท้อนเบาๆ ระหว่างที่หัวกะโหลกทั้งสองซ้อนทับกัน โดยผ่านทางการเหนี่ยวนำจิตวิญญาณระหว่างเผ่าพันธุ์เดียวกัน

จิตวิญญาณของจิ้งจอกชิงชิวจมลง ในขณะที่จิตวิญญาณของนางลอยขึ้น ทั้งคู่ต่างเกิดการประสานกัน

ทันทีที่จิตวิญญาณสองดวงมาพบกัน การกลืนกินจึงเริ่มต้นขึ้น

“โฮก!”

จิตวิญญาณในหัวกะโหลกจิ้งจอกชิงชิวจมลง สายธารแห่งปัญญาของจิ้งจอกเก้าหางควบแน่นออกมาเป็นเงาสีขาว ซึ่งในตอนแรกนั้นมีสภาพไม่ชัดเจน เปลี่ยนแปรได้ตลอด

จากนั้นไม่นาน ร่างกายก็แข็งทื่อและกลายเป็นจิ้งจอกขาวยาวหลายจั้งตัวหนึ่ง หางทั้งเก้าที่ด้านหลังยกขึ้น ประหนึ่งนกยูงรำแพน

เป็นความสง่างามและทรงเกียรติ ราวกับภูตที่ได้รับการฟูมฟักจากฟ้าดิน เปี่ยมด้วยความศักดิ์สิทธิ์

ช่างเย้ายวนและมีเสน่ห์ราวกับร่างอวตารของตัณหา สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าชายหญิงที่ได้เห็น ต่างยอมจำนนต่อเสน่ห์ของนาง

จิ้งจอกชิงชิว หนึ่งในเทพมารบรรพกาล

ตำนานเล่าว่าจิ้งจอกชิงชิวคือความงามในยุคบรรพกาล เสน่ห์ของนางพิชิตได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเทพมาร เผ่าพันธุ์มนุษย์ หรือทายาทเทพมาร ต่างก็หมายปองความงดงามของนาง

เป็นหนึ่งในเทพมารซึ่งทรงอิทธิพลมากที่สุด

จิ้งจอกเก้าหางพลันฉุกคิด จิตวิญญาณของตนในสายธารแห่งปัญญาปรากฏเป็นจิ้งจอกขาวเก้าหางผู้สูงส่งงามสง่า

รูปร่างของนางค่อนข้างเล็ก รูปลักษณ์ภายนอกก็แตกต่างจากจิ้งจอกชิงชิวมากนัก แต่นางก็ผุดผ่องไร้ที่ติ และมีเสน่ห์อันไร้เทียมทานเช่นกัน

จิ้งจอกขาวสองตัวเผชิญหน้ากันกลางอากาศพลางแสยะยิ้ม หางทั้งเก้าซึ่งอยู่ด้านหลังพลันสยายออก และโบกสะบัดอย่างรุนแรงราวกับธง

สายเลือดนี้ของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง สามารถปล้นชิงจิตวิญญาณระหว่างเผ่าพันธุ์เดียวกันเพื่อเติมเต็มตนเองได้ นางปีศาจผมขาวต้องการกลืนกินจิตวิญญาณที่ตกทอดของจิ้งจอกชิงชิว ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องทำตามสัญชาตญาณในการกลืนกินจิตวิญญาณซึ่งมีต้นกำเนิดเดียวกันเช่นกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากจิ้งจอกเก้าหางไม่สามารถเอาชนะพลังที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ได้ เช่นนั้นนางก็มีแนวโน้มสูงที่จะถูกกลืนกิน

นางปีศาจผมขาวรักษาสภาพจิตใจให้ปลอดโปร่ง ขจัดความคิดฟุ้งซ่าน รวมถึงความกลัว ความยินดี ความตึงเครียดต่างๆ ทำให้ตนเหลือเพียงสัญชาตญาณในการกลืนกินเท่านั้น

ภาพการแยกเขี้ยวของสัตว์ร้ายที่แท้จริง และการกลืนกินจิ้งจอกชิงชิวราวกับคลุ้มคลั่ง กัดหางของมัน ฉีกกระชาก ‘เลือดเนื้อ’ ของมัน และกลืนกินเข้าไปในคำเดียว ส่งผลให้นางไม่ได้สง่างามอีกต่อไป

ในกระบวนการนี้ ‘ร่างกาย’ ของเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจก็ถูกจิ้งจอกชิงชิวกลืนกินเช่นกัน

ในเจ้ามีข้า ในข้ามีเจ้า ผสานเข้าด้วยกัน

นอกสายธารแห่งปัญญา สวี่ชีอันถอยหลังสองสามก้าวอย่างเงียบๆ และเงยหน้ามองจิ้งจอกขาวตัวมหึมาตรงหน้า ร่างของมันสูงสองจั้ง ความยาวลำตัวมากกว่าหกจั้ง ทั้งยังใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ตัวตนของจิ้งจอกจำแลงปรากฏขึ้นแล้ว

นางในตอนนี้ ไม่เหลือความสง่างดงามแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ผิวหนังบนคางยาวๆ เป็นรอยเหี่ยวย่น เขี้ยวแหลมคมแยกออก

มันคืบคลานและตั้งท่ากระโจน ราวกับจะโจมตีได้ทุกเมื่อ

น่าเสียดายนัก จิ่วโจวไม่มีโทรศัพท์มือถือ มิเช่นนั้นข้าจะถ่ายท่าทางตอนนี้ของนางเอาไว้ เป็นประวัติศาสตร์มืดของเทพธิดาที่เผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริง ชนิดที่หากเผยแพร่ออกไปจะต้องอับอายขายหน้าทีเดียว…สวี่ชีอันตั้งข้อสังเกตพลางนึกเสียดาย

หากจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจิ้งจอกชิงชิว เขาจะยื่นมือไปขัดขวางการผสานรวมทันที

ดูจากตอนนี้ ผลลัพธ์ของการผสานรวมยังนับว่าไม่เลว

พลังอันรุนแรงและซับซ้อนพุ่งออกจากร่างของจิ้งจอกเก้าหาง เหตุที่บอกว่าซับซ้อนก็เพราะพลังนี้ผสมผสานกับพลังอันยิ่งใหญ่ของปราณโลหิต พลังแห่งมนต์เสน่ห์ล่อลวงจิต เสียงอันเย้ายวนสามารถทำลายจิตวิญญาณของมนุษย์ได้

แน่นอนว่าการทะลวงขึ้นขั้นหนึ่งไม่เพียงเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังวิเศษฟ้าประทานเท่านั้น ความแข็งแกร่งทางกายภาพของนางก็เพิ่มอย่างรวดเร็วเช่นกัน จนถึงระดับที่คู่ควรกับขั้นหนึ่ง

ทว่าในมุมมองของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งอย่างสวี่ชีอันแล้ว แม้พลังนี้จะรับมือยากและแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเป็นคู่แข่งของเขา

ในแง่ของการใช้กำลังรุนแรงนั้น แต่ไรมาจอมยุทธ์ก็ดูแคลนทุกสิ่งมาตลอดอยู่แล้ว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอพริบตาเดียวหนึ่งเดือนก็ผ่านไป

ที่นี่ไม่มีการสลับเปลี่ยนของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทว่าในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของสวี่ชีอันมีนาฬิกาน้ำพกพา ในยุคสมัยนี้ ผู้ที่สามารถพกเครื่องมือบอกเวลาติดตัวได้นั้นจะต้องรวยมาก!

แต่ละวันที่ผ่านไป สวี่ชีอันจะสลักอักษร ‘正’ ลงบนพื้น

ในสายธารแห่งปัญญา จิ้งจอกชิงชิวล้มลงอย่างแรง ร่างของมันขาดวิ่นไม่สมประกอบ และกรีดร้องโดยมีเพียงเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจเท่านั้นที่ได้ยิน ราวกับกำลังร้องขอความเมตตา

ขาหน้าของนางกดลงอย่างเหี้ยมโหด พลางก้มหน้ามองจิ้งจอกชิงชิวด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับแยกเขี้ยวยิงฟัน

สวี่ชีอันเห็นหางทั้งเก้าที่ห้อยลงมาด้านหลังของเจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจ แล้วจู่ๆ ก็ยกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง แต่ละหางมีเสียงหัวเราะของสตรีที่แตกต่างกันดังมา ทั้งอ่อนหวาน นุ่มนวล กังวานชัด เย็นชา ออดอ้อน…

ผสานเข้ากับเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของสตรีผู้หนึ่ง

สุดท้าย เสียงเหล่านี้ก็หายไป แล้วจิ้งจอกเก้าหางซึ่งมีลำตัวยาวกว่าสิบจั้งก็กลายร่างเป็นมนุษย์อีกครั้ง ท่ามกลางลำแสงสีขาววูบไหว

นางปีศาจผมขาวลืมตาอันงดงามขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือสวี่ชีอันซึ่งยืนประดับรอยยิ้มอยู่ไม่ไกล

“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าอาณาจักร ที่ได้ทะลวงสู่ขั้นหนึ่ง!”

สวี่ชีอันประสานมือแสดงความยินดี

นางปีศาจผมขาวเผยรอยยิ้มจริงใจอันบริสุทธิ์งดงามไร้ความเคลือบแคลง เป็นพริบตาที่มีความงดงามโดดเด่น งามสง่าอย่างหาที่เปรียบมิได้

แต่ทันใดนั้น นางก็พบว่าสายตาของสวี่ชีอันไม่ได้อยู่ที่ใบหน้าของตน หากค้างเติ่งอยู่บนเรือนร่างและตำแหน่งของทรวงอก

นางตระหนักได้ทันทีถึงสภาพของตนในยามนี้ ซึ่งเปลือยเปล่าอย่างสิ้นเชิง

กระโปรงและหนังสัตว์ที่ห่อหุ้มทรวงอกได้ปริแตกนานแล้วในตอนที่แสดงรูปร่างเดิม

อารมณ์โกรธและอับอายหายวับไปครู่หนึ่ง นางปีศาจผมขาวใช้หางจิ้งจอกปิดบังท้องน้อย พร้อมกับสองแขนกอดอก ทำให้ผิวหนังอ่อนนุ่มเนียนขาวราวหิมะถูกบีบจนเสียทรง แล้วเอ่ยอย่างเขินอายว่า

“เจ้าบ้า อย่ามองข้าเช่นนี้นะ”

ขณะที่ความอาย ความประหม่า และความโกรธระคนกัน วิชามนต์เสน่ห์ซึ่งเป็นพลังเหนือธรรมชาติอย่างหนึ่งของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางก็ถูกเปิดใช้งาน

หลังจากนางทะลวงขึ้นขั้นหนึ่ง วิชามนต์เสน่ห์ก็พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับแต่ก่อน เกิดเป็นความรู้สึกมั่นใจชนิดที่ว่าบุรุษเพศทุกคนบนโลกต่างต้องสยบแทบเท้าของตน

ประจวบเหมาะที่สวี่ชีอันเป็นคนเสเพล ทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง จึงเป็นคู่ทดลองที่ดีที่สุด

หากกระทั่งเขาก็มิอาจต้านทานเสน่ห์ของตนได้ เช่นนั้นต่ำกว่าระดับขั้นหนึ่งลงไปรวมถึงขั้นหนึ่งบางส่วน ก็ล้วนมิอาจมองข้ามมนต์เสน่ห์ของนางได้

สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยสีหน้าสุขุม

“อย่างไรเสียก็เห็นมาพอแล้ว”

เขาถอนสายตาอย่างเต็มไปด้วยสติ และไม่แอบมองร่างงามอันสดใสหอมหวานของจิ้งจอกเก้าหางอีกต่อไป

สีหน้าเขินอายของนางปีศาจโฉมสะคราญผมขาวพลันแข็งทื่อ ก่อนเอ่ยอย่างตกตะลึงว่า

“ข้า ข้าไม่สวยหรือ”

สวี่ชีอันเหลือบมองนาง

“พูดตามตรงแล้ว รูปร่างเดิมของท่านดึงดูดใจข้ามากกว่า และซินกู่ของข้าก็แทบอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

ร่างมนุษย์นั้นมีมนต์เสน่ห์

ส่วนร่างเดิมเป็น ‘แรงกระตุ้นระหว่างมนต์เสน่ห์และซินกู่’ อย่างไหนมีเสน่ห์ดึงดูดมากกว่ากัน มองปราดเดียวก็รู้

เจ้าอาณาจักรหมื่นปีศาจหยิบเสื้อผ้าออกมาสวมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเอ่ยด้วยสีหน้าสงบว่า

“ไปกันเถอะ เวลาไม่มากแล้ว”

ท่านกำลังอธิบายกับข้าว่า ‘ตราบใดที่ข้าไม่อาย ความเก้อกระดากก็เป็นเรื่องของคนอื่น’ เป็นอย่างไรสินะ…สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

เขาใช้ฝ่ามือกดไหล่ของจิ้งจอกเก้าหางไว้ ลูกปัดแก้วบนข้อมือซ้ายพลันสั่นไหว แล้วทั้งคู่ก็หายไปจากตรงนั้น

เขตศูนย์กลางของเกาะเทพมาร

หลังผ่านการ ‘เดินทางไกล’ สามวัน ในที่สุดลำแสงหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าของสัตว์ประหลาดหน้าเป็นคนตัวเป็นแพะและมีเขาหกเขาโค้งอยู่บนหัว

ลำแสงนั้นแสนจะเจิดจ้า บริสุทธิ์ ทว่าค่อนข้างอ่อนโยน ไม่รู้สึกแยงตาหากมองมันโดยตรง

ใบหน้าที่คล้ายกับมนุษย์ของฮวงหมองลงเล็กน้อย และจ้องมองลำแสงนั้นอย่างว่างเปล่า ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ คือ ความปีติยินดีและความฮึกเหิม!

ในม่านตาเหลืองทองสะท้อนแสง เสมือนว่าโลกนี้เหลือเพียงลำแสงนี้เท่านั้น

ลำแสงนี้กระจายตัวอย่างเงียบๆ ในดินแดนรกร้าง ศูนย์กลางของมันคือประตูบานหนึ่ง เป็นประตูแสงที่มีความสูงถึงร้อยจั้ง

ที่น่าสังเกตก็คือ ประตูแสงนี้ตั้งตระหง่านอยู่เหนือซากศพกองพะเนิน โครงกระดูกของเทพมารวางเรียงกันชั้นแล้วชั้นเล่า มีทั้งที่เก็บรักษาไว้อย่างดี และมีทั้งส่วนที่สลายไปตามกาลเวลาจนกลายเป็นเศษกระดูกและฝุ่นธุลี

ความศักดิ์สิทธิ์ของประตูแสงและซากศพที่กองดุจภูเขาสร้างความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และส่งผลต่อภาพที่ได้เห็นอย่างรุนแรง

ที่น่าแปลกก็คือ แม้โครงกระดูกของเทพมารจะกองราวภูเขา แต่กลับไม่มีจิตวิญญาณใดหลงเหลืออยู่ใกล้ประตูแสง

ศูนย์กลางของเกาะเทพมาร คือสถานที่แห่งเดียวที่ไม่มีจิตวิญญาณ

“ได้ยินหรือยัง มันกำลังเรียกข้า!”

ฮวงมองประตูแสงด้วยความทึ่มทื่อ

“หลายปีดีดักผ่านไป มันเรียกข้าอีกครั้งแล้ว”

ท่านโหราจารย์หัวเราะเยาะ

เขาชะงักฝีเท้า เห็นได้ชัดว่าทั้งตื่นเต้นดีใจจนแทบอดใจรอไม่ไหว ทว่าเขากลับชะงักฝีเท้า และเผยความไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ เกิดความกลัวซึ่งเป็นความกังวลเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่แสดงออกมา

“ที่น่าเสียดายก็คือ มันผลักเปิดออกไม่ได้อีกแล้ว”

“ในสมัยโบราณ ช่วงมหาเคราะห์ครั้งแรก เทพมารผลักมันเปิดได้ ผ่านมาเนิ่นนานจนถึงวันนี้ เทพมารได้เสียคุณสมบัติที่จะดันมันเปิดได้ไปแล้ว”

ท่านโหราจารย์ยิ้มพลางว่า

“ใช่แล้วละ พวกเจ้าไม่ได้คว้าโอกาสแรกไว้ให้มั่น ยามนี้ไม่ใช่ยุคสมัยของเทพมารอีกแล้ว”

ฮวงหาได้โกรธเคือง และใช้เสียงทุ้มต่ำสะท้อนก้อง

“แต่ข้ารู้สึกว่า ผู้พิทักษ์ประตูจะผลักประตูบานนี้เปิดออกได้นะ

เดิมทีข้าคิดจะกลืนกินเจ้า แย่งชิงจิตวิญญาณของเจ้าและชิงตัวตนของผู้พิทักษ์ประตูไป หากทำเช่นนี้ข้าก็จะกลับมายังที่แห่งนี้ได้ ผลักประตูบานนี้เปิดออก แล้วทำเรื่องที่เหล่าเทพมารยังทำไม่สำเร็จ

“แต่ข้าประเมินความดื้อรั้นของเจ้าต่ำไป หากต้าฟ่งไม่ถูกทำลาย เจ้าก็จะไม่ตาย

“ทว่าตอนนี้ก็เช่นกัน เจ้าเป็นเต่าในโกศ ข้ามิอาจแย่งชิงตัวตนของผู้พิทักษ์ประตูได้ แต่สามารถใช้ประโยชน์จากเจ้าให้ผลักประตูบานนี้เปิดได้”

เขาบนยอดศีรษะของเขาเปล่งแสงเล็กน้อย แล้วเสียงของท่านโหราจารย์ก็ดังมา

“ผู้พิทักษ์ประตูก็คือคนเฝ้าประตู ไม่ใช่คนผลักเปิดประตู ความปรารถนาของเจ้านับว่าสูญเปล่าแล้ว”

“ไม่เป็นไร!” ฮวงไม่หมดหวัง แล้วกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงยินดีปรีดาว่า

“ผู้เฝ้าประตูจะต้องมีความเชื่อมโยงกับประตูแน่ ข้าเพียงอาศัยความช่วยเหลือจากเจ้าควบคุมมันก็เท่ากับชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว อย่างมากก็รอให้ข้ากลับสู่จุดสูงสุดก่อน แล้วค่อยไปสู้กับระดับสุดยอดที่จิ่วโจวเพื่อช่วงชิงโชคชะตา

เมื่อเทียบกับผู้แข็งแกร่งระดับสุดยอดคนอื่นๆ เขาซึ่งเป็นผู้ควบคุมประตูบานนี้ มีข้อดีที่พระพุทธเจ้าและคนอื่นๆ มิอาจเทียบเคียงได้

พูดจบ เขาก็เดินหน้าเข้าไปอย่างเชื่องช้าจนสามารถเห็นแสงของประตูบานนั้น เนื่องจากร่างของเขามีขนาดมหึมา จึงมองเห็นได้ไกลยิ่ง

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ประตูแสงบานนั้นยังมีระยะห่างจากเขาอยู่มากโข

สวี่ชีอันคว้าดินมากำมือหนึ่ง แล้วออกแรงโยนไปข้างหน้า

ดินสีดำปลิวไปเป็นระยะทางหนึ่ง หลังจากเข้าสู่พื้นที่นั้นแล้ว จู่ๆ ก็ ‘หยุด’ ลง แล้วค่อยๆ ร่วงลงมา

สวี่ชีอันเพ่งสมาธิจับจ้องดินสีดำนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า

“เวลาเดินช้าลงประมาณสิบเท่า หนึ่งวันในนั้น เท่ากับข้างนอกสิบวัน”

จิ้งจอกเก้าหางส่งเสียง ‘อืม’ นางลูบหางด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันหวานนุ่มทรงเสน่ห์ว่า

“โลกภายนอกผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว เท่ากับว่าฮวงที่อยู่ด้านในผ่านไปเพียงสามวัน ยังมีเวลาอีกเจ็ดวัน หวังว่าจะตามทันนะ”

สิบวันที่ท่านโหราจารย์บอก หมายถึงเวลาที่ใช้ในการเดินผ่านมิติว่างผืนนั้น ซึ่งอ้างอิงมาจากการไหลอย่าง ‘เชื่องช้า’ ของเวลาในห้วงมิติ

ก้าวเพียงหนึ่งก้าว พวกเขาต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเค่อ

สวี่ชีอันมองจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางข้างกายแล้วเอ่ยว่า

“แปลกจริง ข้ารู้สึกว่าการไหลของเวลาเป็นปกติ แต่สัมปชัญญะของข้าบอกข้าว่า การไหลของเวลาในนี้ผิดปกติ”

ประโยคนี้ เขาใช้เวลาหนึ่งถ้วยชาเต็มๆ กว่าจะเอ่ยจบ

ดวงตาของนางปีศาจผมขาว ‘ค่อยๆ’ เชิดขึ้นมอง แล้วตอบด้วยท่าทางครุ่นคิดว่า

“อาจเป็นเพราะ ความคิดเป็นสิ่งเดียวในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเวลา ดังนั้นความคิดของเจ้าจึงเป็นปกติ”

หลังเอ่ยประโยคนี้จบ พวกเขาก็เข้าสู่ภายในพื้นที่โดยสมบูรณ์

สวี่ชีอันยกแขนซ้ายอย่างช้าๆ และเปิดใช้งานสร้อยข้อมือที่แขนซ้าย ลูกปัดแก้ว ‘ค่อยๆ’ สว่างขึ้น สิบลมหายใจต่อมา พวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในระยะไกล

ที่นี่ วรยุทธ์ในการเหาะเหินต่างๆ ล้วนถูกจำกัด มีเพียงมิติว่างเท่านั้นที่สามารถทัดเทียมกับเวลาได้

แต่กระทั่งวิชาโอนย้ายมิติก็ยังถูกระงับด้วยจิตวิญญาณของสถานที่นี้ ทุกด้านล้วนช้าลงสิบเท่า รวมถึงระยะทางและเวลาในการร่ายวิชาด้วย

ทว่าเมื่อเทียบกับฮวงซึ่งอาศัยสี่ขาของตนในการเดินแล้ว ความเร็วเช่นนี้ของพวกเขาก็ต่างชั้นกันราววัวเทียมเกวียนกับจรวด

แม้จะได้เปรียบในด้านความเร็ว แต่สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางก็ไม่ประมาท เพราะระยะเวลาสิบวันที่ท่านโหราจารย์ให้มานั้น หมายถึงภายใต้สภาวะปกติ

ภายใต้สถานการณ์ที่ฮวงไม่มีวิธีการพิเศษ

ไม่มีผู้ใดฟันธงได้ว่า เทพมารผู้หนึ่งซึ่งมีชีวิตมาเนิ่นนานไม่รู้จบจะไม่มีวิธีการพิเศษอะไรเลย

…………………………………………………………..

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด