Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 213 : Unpaided Debt

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 213 : Unpaided Debt at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ถ้าเกิดว่าคนข้างในเกราะนั่นยังเป็นคุณอยู่ล่ะก็…!! ถ้าเกิดว่ายังมีจิตวิญญาณสักเสี้ยวหนึ่งของคุณหลงเหลืออยู่ข้างในนั้นล่ะก็ช่วยพูดตอบอะไรกลับมาสักหน่อยเถอะค่ะ ท่านพี่!!”

 

“………….”

 

คำพูดที่อัลเปียร้องตะโกนออกมาภายใต้บรรยากาศขมุกขมัวของหมอกหนาทึบแห่งเมืองใต้ดินนั้นได้ทำให้ก่อให้เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นร่างในชุดเกราะอัศวินสีขาวของอดีตหัวหน้าหน่วยอัศวินราชองครักษ์แห่งเมืองแพนเทร่าอย่าง ฟรีมอนด์ เกรกอเรียส ผู้เป็นพี่ชายของอัลเปียก็กลับยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงโดยไม่ได้พูดตอบอะไรน้องสาวของเขากลับไปจนดูราวกับว่าร่างของเขาเป็นเพียงแค่ชุดเกราะกลวงๆ ที่ถูกตั้งประดับเอาไว้ริมทางอย่างไรอย่างนั้น

 

ครืน… แกร๊ก—

 

“……..”

 

แต่ทว่าหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งจนกระทั่งมีเสียงระเบิดดังมาแว่วๆ จากทางฝั่งสนามรบของกองทหารนั้นเอง ร่างในชุดเกราะของฟรีมอนด์ก็ได้ขยับดาบอัศวินของเขาขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อมในท่วงท่าแบบเดียวกับที่อัลเปียจำได้ทุกกระเบียดนิ้วจนทำให้หญิงสาวต้องกัดฟันแน่น

 

“พวกแกกล้าเอาร่างของท่านพี่มาใช้งานแต่ไม่กล้าเอาวิญญาณกลับมาด้วยหรือไง!!”

 

ฟุ๊บ—

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงของอัลเปียนั้นเอง หญิงสาวก็ได้สะบัดปากกาหัวคริสตัลวิซเพื่อวาดแผงวงจรวิซขึ้นมากลางอากาศอีกครั้ง

 

แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำของอัลเปียก็ได้ทำให้ดาบที่ฟรีมอนด์ถือเอาไว้ในมือเริ่มที่จะเรืองแสงสีเขียวออกมาไล่ไปตามลวดลายของวงจรวิซที่ถูกสลักเอาไว้บนใบดาบก่อนที่เขาจะสะบัดดาบไปทางอัลเปียในทันทีที่ใบดาบทั้งใบถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีเขียวจนก่อให้เกิดคลื่นวิซสีเขียวอ่อนทรงเสี้ยวพระจันทร์พุ่งตรงเข้าไปหาอัลเปียด้วยความรวดเร็ว

 

“—!!”

 

อัลเปียที่เห็นว่าอีกฝ่ายสามารถใช้วิชาดาบในการโจมตีระยะไกลได้ดั่งเช่นฟรีมอนด์ตัวจริงนั้นได้รีบใช้ปากกาในมือของเธอจิ้มเข้าไปที่มุมหนึ่งของแผงวงจรวิซที่เธอยังวาดไม่เสร็จและลากมันเข้ามาขวางเอาไว้ที่เบื้องหน้าของตนเองในทันที และนั่นก็ทำให้คลื่นดาบของฟรีมอนด์ปะทะเข้ากับแผงวงจรวิซที่ยังถูกวาดไม่เสร็จสมบูรณ์จนพวกมันทั้งคู่แตกกระจายออกเป็นละอองสีเขียวอ่อนและสีแดงฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ

 

เพล้ง!

 

“นอกจากวิชาป้องกันแล้วยังใช้วิชาโจมตีเหมือนท่านพี่ได้อีกงั้นหรอ…. แบบนี้ยิ่งน่ารังเกียจเข้าไปใหญ่!”

 

“………..”

 

ตึ้ง!!

 

ถึงแม้ว่าจะมีเสียงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้นของอัลเปียดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ทว่าสิ่งที่ร่างในชุดเกราะอัศวินทำก็มีเพียงแค่การที่เกราะตรงส่วนเท้าของเขาได้เรืองแสงสีเขียวออกมาก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งตัวเข้าใส่อัลเปียพร้อมกับดาบในมือด้วยความเร็วสูงโดยทิ้งรอยเท้าที่จมลึกลงไปในพื้นดินเอาไว้เบื้องหลังราวกับว่าเกิดระเบิดเล็กๆ ช่วยผลักดันร่างของเขาก่อนที่เขาจะสะบัดดาบอัศวินที่ยังคงเรืองแสงสีเขียวออกมาเข้าใส่อัลเปียอย่างรุนแรง

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอัลเปียที่เก็บปากกาหัวคริสตัลวิซไปตั้งแต่ในตอนที่เธอเห็นอีกฝ่ายสามารถใช้วิซในการโจมตีระยะไกลได้แล้วนั้นก็ได้สะบัดหลังมือซ้ายของเธอที่สวมใส่ถุงมือสีขาวที่กำลังเรืองแสงสีแดงออกมาเป็นลวดลายวงจรวิซขึ้นมาตั้งรับเอาไว้จนทำให้ใบดาบที่กำลังถูกฟาดฟันเข้ามาใกล้หยุดนิ่งค้างไปกลางอากาศบริเวณใกล้ๆ กับหลังฝ่ามือของอัลเปียราวกับว่าอีกฝ่ายฟันติดอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นที่กำลังห่อหุ้มหลังมือของอัลเปียเอาไว้เหมือนกับเกราะป้องกันอย่างไรอย่างนั้น

 

กึก—

 

“ถ้าเป็นเรื่องวิซล่ะก็ฉันไม่แพ้หรอก!!”

 

ปุ้ง!!

 

ทันทีที่สิ้นเสียงของอัลเปียนั้นเองถุงมือของเธอก็ได้เรืองแสงสีแดงสว่างออกมาก่อนที่จะเกิดระเบิดลูกเล็กๆ ขึ้นมาที่ตรงบริเวณด้านหลังฝ่ามือที่อัลเปียใช้มันในการตั้งรับใบดาบของคู่ต่อสู้จนทำให้ดาบที่ถูกอัลเปียใช้วิซรั้งเอาไว้เมื่อสักครู่สะบัดขึ้นไปทางด้านบน และนั่นก็ทำให้อัลเปียไม่รอช้าที่จะทาบมือของเธอที่กำลังเรืองแสงสีแดงสว่างจ้าเข้าไปที่กลางอกของคู่ต่อสู้ในทันที

 

“อีรัปชั่น!!”

 

ฟู้มมมม—

 

การโจมตีด้วยวิซของอัลเปียในคราวนี้ได้ก่อให้เกิดเปลวไฟขนาดใหญ่พวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของอัลเปียและผลักดันร่างของฟรีมอนด์จนลอยขึ้นไปกลางอากาศนับสิบเมตร

 

“…………”

 

แต่ถึงแม้ว่าร่างในชุดเกราะอัศวินสีขาวของฟรีมอนด์จะถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยเปลวไฟ ทว่าเขาก็กลับยังไม่ส่งเสียงอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นเพียงแค่หุ่นเชิด จะมีก็เพียงแค่แสงสว่างสีเขียวลวดลายวงจรวิซที่เรืองแสงออกมาตามบริเวณที่ชุดเกราะสีขาวของเขาสัมผัสกับเปลวไฟที่ช่วยบ่งบอกว่าร่างเบื้องหน้ากำลังใช้วิชาประจำตัวในการปกป้องตัวเองจากเปลวไฟที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิซของอัลเปียอยู่

 

ซึ่งก็ดูเหมือนว่าวิชาป้องกันตัวจากการโจมตีด้วยวิซของฟรีมอนด์ผู้ที่เป็นถึงอดีตหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์แห่งเมืองแพนเทร่าจะสามารถช่วยปกป้องร่างของเขาเอาไว้จากเปลวเพลิงของอัลเปียได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อร่างในชุดเกราะสีขาวสามารถพลิกตัวกลับลงมายืนกับพื้นได้โดยที่ชุดเกราะของเขาไร้ซึ่งร่องรอยของความเสียหายหรือแม้แต่คราบเขม่าควันไฟราวกับว่าการโจมตีเมื่อสักครู่ไม่ส่งผลอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านอัลเปียก็กลับดูเหมือนจะคาดเดาเอาไว้แล้วว่าการโจมตีด้วยเปลวไฟของเธอจะไม่สามารถทำอะไรฟรีมอนด์ได้ เธอจึงได้ยื่นมือที่สวมใส่ถุงมือสีขาวเอาไว้ตรงไปทางร่างของฟรีมอนด์ที่เพิ่งจะพลิกตัวกลับลงมายืนกับพื้นและประสานลวดลายวงจรวิซที่ถูกแกะสลักเอาไว้ตรงบริเวณนิ้วโป้งและนิ้วชี้ของถุงมือเข้าหากันจนกลายเป็นรูปร่างเป็นวงจรวิซแบบโบราณที่สมบูรณ์จนมันเรืองแสงสีแดงออกมา

 

“อิกนิส!!!”

 

เป๊าะ—

 

ทันทีที่สิ้นเสียงร้องตะโกนและเสียงดีดนิ้วของอัลเปียนั้นเองก็ได้ปรากฏลูกไฟดวงเล็กๆ ขึ้นมาที่ด้านหน้าของฟรีมอนด์ก่อนที่มันจดหดตัวเล็กลงจนเหลือเพียงแค่จุดแสงเล็กๆ อยู่ชั่วขณะแล้วจึงปลดปล่อยแรงระเบิดออกมาอย่างรุนแรงจนกลืนกินร่างของฟรีมอนด์ให้หายเข้าไปในเปลวเพลิงลูกใหญ่ที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองใต้ดินแห่งนี้

 

 ตู้ม!!! ครืนนนนนน—–

 

 ชู่ววววว…

 

“อ่ะ—แย่แล้วๆ”

 

แต่ทว่าทางด้านอัลเปียที่เพิ่งใช้วิซไปกับการโจมตีครั้งใหญ่ก็กลับต้องรีบสะบัดมือของเธอไปมาด้วยท่าทางลนลาน เมื่อแสงสว่างสีแดงที่บริเวณนิ้วมือทั้งสองนิ้วของเธอไม่ได้ค่อยๆ จางหายไปอย่างที่ควรจะเป็นและเริ่มที่แผ่ความร้อนที่ทำให้ถุงมือสีขาวค่อยๆ ไหม้ดำออกมา และนั่นก็ทำให้อัลเปียอดไม่ได้ที่จะต้องพูดบ่นออกมาด้วยความเสียดาย

 

“นี่ขนาดทำมาจากเนื้อผ้าที่ดีที่สุดที่หาได้แล้วนะ—”

 

ฟู้มมมม!!

 

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของอัลเปียดี อยู่ๆ เปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่กลืนกินร่างของฟรีมอนด์เข้าไปก็ได้หมุนควงราวกับพายุเผยให้เห็นเงาตะคุ่มๆ ของร่างในชุดเกราะที่ยืนอยู่ตรงกลางราวกับว่าเปลวเพลิงที่เผาผลาญพื้นดินจนไหม้เกรียมนั้นไม่ส่งผลอะไรต่อเขาเลยแม้แต่น้อยจนทำให้อัลเปียที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องกำหมัดแน่น

 

“สตรอมเวล์… พายุที่สร้างขึ้นมาจากวิซที่สามารถใช้เพื่อป้องกันตัวเองได้ทั้งจากการโจมตีด้วยวัตถุธรรมดาๆ และการโจมตีด้วยวิซ… แม้แต่วิชาส่วนตัวของท่านพี่ที่ไม่มีใครในกลุ่มอัศวินราชองครักษ์ฝึกได้สำเร็จก็ยังเอามาใช้ได้อีกงั้นหรอ…”

 

“………”

 

ฟุ๊บ—

 

แต่แล้วทันใดนั้นเอง อยู่ๆ พายุไฟที่ห้อมล้อมร่างในชุดเกราะอัศวินของฟรีมอนด์อยู่ก็ได้หดตัวลงไปหมุนวนอยู่ที่บริเวณใบดาบของเขาจนทำให้อัลเปียต้องหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจและรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมาป้องกันเอาไว้ทางด้านหน้าเมื่อเธอรู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนั้นคืออะไร

 

“สตรอมพาร์ต—!?”

 

ฉัวะ—

 

สายลมประสานเปลวเพลิงที่พุ่งตรงเข้าไปหาอัลเปียนั้นได้ทำให้หน้าดินเกิดรอยเฉือนเหมือนกับถูกดาบฟันฝังลึกไปตามเส้นทางที่มันเคลื่อนตัวก่อนที่มันจะพุ่งผ่านร่างของอัลเปียไปจนทำให้เสื้อกาวน์และเสื้อเชิ้ตของอัลเปียฉีกขาดออกบางส่วน

 

ฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะฉัวะ—

 

“กรอด….”

 

แต่ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าของอัลเปียจะฉีกขาดออกจนขาดรุ่งริ่งราวกับว่าถูกฟันด้วยคมดาบจำนวนนับไม่ถ้วนและเริ่มที่จะไหม้ดำเป็นบางส่วนจากคลื่นความร้อนที่ถูกประสานไปกับใบมีดสายลมก็ตาม ที่ร่างกายของอัลเปียกลับไม่เกิดรอยแผลปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยเมื่อในบัดนี้ตามท่อนแขนที่เธอยกขึ้นมาป้องกันตัวเองอยู่เบื้องหน้าได้มีแสงสว่างสีแดงลวดลายวงจรวิซปรากฏไล่ขึ้นมาตามเนื้อหนังของหญิงสาว

 

ฟุ๊บ—

 

แม้ว่าอัลเปียจะสามารถใช้ร่างกายของเธอเป็นสื่อกลางในการขีดเขียนวงจรวิซสำหรับป้องกันตัวเองขึ้นมาได้ก็ตาม แต่ทว่าร่างกายของเธอก็กลับไม่สามารถต้านทานแรงลมกรรโชกราวกับพายุได้และปลิวกระเด็นออกไปจนกระแทกเข้ากับผนังของเมืองใต้ดินอย่างรุนแรง

 

พลั๊ก!!

 

“ฟู่ว… เกือบไป—อุ๊—”

 

ฉ่า….

 

อัลเปียที่กำลังจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เธอสามารถป้องกันตัวจากการโจมตีของฟรีมอนด์ได้นั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาเบาๆ เมื่อค่าตอบแทนของการใช้ร่างกายของตัวเองเป็นสื่อกลางในการขีดเขียนวงจรวิซขึ้นมานั้นเริ่มส่งผลออกมา

 

และในบัดนี้ท่อนแขนของเธอที่เคยส่องแสงสีแดงเป็นลวดลายวงจรวิซนั้นก็ได้เริ่มที่จะบวมแดงพุพองเป็นลวดลายเดียวกับวงจรวิซที่เธอเพิ่งจะใช้งานไปเมื่อสักครู่ราวกับว่าผิวหนังของเธอกำลังถูกตีตราด้วยเหล็กร้อนเพื่อเป็นการลงทัณฑ์อย่างไรอย่างนั้น

 

แต่ถึงอย่างนั้นอัลเปียก็กลับไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บที่ท่อนแขนของตัวเธอเองมากนักเมื่อเธอเงยหน้ากลับขึ้นไปและได้พบเข้ากับร่างของฟรีมอนด์ในชุดเกราะสีขาวที่ในบัดนี้เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนราวกับว่าถูกระดมฟันด้วยคมดาบเหล็กกล้านับร้อย

 

“อย่างน้อยแกก็ไม่ได้เหนือกว่าท่านพี่จนสามารถหาวิธีป้องกันผลกระทบจากสตรอมพาร์ตได้ล่ะนะ…”

 

อัลเปียที่เห็นว่าชุดเกราะสีขาวของร่างเบื้องหน้ามีร่องรอยความเสียหายจากวิชาของตัวเองนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่ถุงมือสีขาวที่ไหม้ดำไปเป็นบางส่วนของเธอจะเรืองแสงขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับที่อัลเปียจะยกมันขึ้นมาประสานกันเอาไว้ที่เบื้องหน้าและเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“ในเมื่อเห็นแบบนี้แล้วก็คงจะมามัวแต่เสียดายอุปกรณ์ไม่ได้แล้วล่ะค่ะ!!”

 

—ฟู่วววว

 

ในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของอัลเปียนั้นเองเธอก็ได้แยกฝ่ามือทั้งสองข้างออกจากกัน ก่อให้เกิดลูกไฟสีแดงฉานที่ลอยอยู่ตรงกลางก่อนที่พวกมันจะแยกออกจากกันเป็นสองลูกมาลอยอยู่เหนือฝ่ามือทั้งสองข้างของอัลเปียพร้อมๆ กับที่ขนาดของมันจะค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ โดยที่รอยไหม้บนถุงมือสีขาวของอัลเปียเองก็ค่อยๆ ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นตรงบริเวณแผนวงจรวิซบนถุงมือของอัลเปียที่ค่อยๆ ถูกเผาไหม้จนขาดแหว่งไปนั้นก็กลับถูกทดแทนด้วยเส้นแสงสีแดงที่ก่อตัวขึ้นมาบนผิวหนังของอัลเปียเป็นลวดลายวงจรวิซเพื่อทดแทนตรงส่วนที่ค่อยๆ ขาดหายไปเสียแทนบ่งบอกว่าหญิงสาวพร้อมที่จะทุ่มสุดตัวในการต่อสู้ครั้งนี้โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นเมื่อเธอใช้ร่างกายของตนเองเป็นสื่อกลางในการขีดเขียนวงจรวิซขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

 

“ถ้างั้นที่เหลือก็แค่มารอดูกันว่าระหว่างร่างกายของฉันกับชุดเกราะของคุณอะไรมันจะพังก่อนกันแล้วล่ะ!!”

 

 

ปั้ง!ปั้ง!ปั้ง!

 

ในขณะที่ทางด้านอัลเปียกำลังรับมือกับฟรีมอนด์ผู้เป็นอดีตหัวหน้าอัศวินราชองครักษ์และพี่ชายของเธอที่เสียชีวิตไปเมื่อห้าปีก่อนและถูกศัตรูนำร่างไปใช้อยู่นั้นเอง ที่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองเองก็ได้มีเสียงปืนดังขึ้นมาเช่นเดียวกันเมื่อทางด้านยุยและพวกนากาต่างมีความเห็นตรงกันว่าพวกเขาคงจะไม่สามารถใช้วิธีการเจรจาเพื่อหาทางออกให้กับทั้งสองฝ่ายได้อย่างแน่นอน

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้ยุยที่ถือปืนพกเอาไว้ในมือตัดสินใจที่จะลั่นกระสุนเข้าใส่นากาที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจนทำให้เด็กหนุ่มต้องรีบกระโดดหลบออกจากจุดเดิมในทันที

 

ฉึบ—

 

“—!?”

 

แต่ถึงแม้ว่านากาจะสามารถหลบกระสุนวิซของยุยได้ก็ตามที แต่ทว่าหนึ่งในกระสุนเหล่านั้นก็ได้พุ่งเฉียดร่างของเขาไปจนทำให้เกิดรอยไหม้เล็กๆ เป็นทางยาวปรากฏขึ้นมาที่ขาของนากา อีกทั้งร่องรอยความเสียดายที่ดูรุนแรงกว่าการฝึกซ้อมกับเพื่อนๆ ในรั้วโรงเรียนที่ผ่านมาของนากามากนั้นก็เป็นตัวบ่งบอกว่าปืนพกในมือของยุยไม่ได้ใช้ก้อนคริสตัลวิซสำหรับฝึกซ้อมเป็นแหล่งพลังงานแน่ๆ

 

“เดี๋ยวฉันสู้กับผู้หญิงคนนี้เองนากา!”

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นได้ทำให้โมโกะตัดสินใจที่จะพุ่งตัวเข้าไปรับหน้ายุยที่ใช้ปืนวิซในการโจมตีระยะไกลให้แทนนากาก่อน เนื่องจากเธอรู้ดีว่าการที่นากาไม่สามารถใช้วิซได้นั้นมันทำให้ร่างกายเขาไม่มีออร่าวิซที่ปกติแล้วจะถูกแผ่ออกมาจากร่างกายอยู่ตลอดเวลาเพื่อแทรกแซงวิซจากภายนอกจนสามารถช่วยลดทอนความรุนแรงจากการถูกโจมตีด้วยวิซอีกด้วย

 

และนั่นก็หมายความว่าการโจมตีด้วยลูกกระสุนวิซที่ไม่ใช่กระสุนสำหรับฝึกซ้อมที่ปกติแล้วคนที่ถูกยิงจะรู้สึกเหมือนถูกต่อยหนักๆ นั้นเผลอๆ อาจจะเจาะทะลุร่างของนากาไปทั้งร่างจนอันตรายถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้

 

ปังปังปัง!!

 

ฟุ๊บ—

 

แต่ถึงแม้ว่าโมโกะจะใช้ยูนิตเชสเชียร์พุ่งออกไปทางด้านข้างและยิงกระสุนวิซสีเขียวและสีเหลืองจำนวนหนึ่งเข้าใส่ยุยแล้วก็ตาม แต่ทว่าหญิงสาวก็กลับทำเพียงแค่กลิ้งตัวหลบเพียงครั้งเดียวก่อนที่เธอจะเล็งปืนเข้าใส่นากาที่กำลังพุ่งตัวไปทางด็อคอีกครั้งราวกับว่าไม่สนใจโมโกะเลยแม้แต่น้อยและนั่นก็ทำให้โมโกะที่เห็นแบบนั้นจำเป็นต้องร้องตะโกนออกมาพร้อมกับส่งกระสุนวิซอีกจำนวนหนึ่งเข้าใส่ยุยอีกครั้ง

 

“ผู้ชายเขาไม่สนใจแล้วยังจะไปตื๊อเขาอีกนะเธอน่ะ!!”

 

ปังปังปังปังปังปัง!!

 

“ยัยเด็กนี่—!”

 

ฟุ๊บ–

 

เสียงร้องของโมโกะและกระสุนวิซที่พุ่งตรงไปทางยุยนั้นได้ทำให้หญิงสาวต้องกลิ้งหลบอีกครั้งหนึ่งและตัดสินใจที่จะหันไปรับมือกับเด็กสาวหูแมวแทนเมื่อเธอไม่สามารถหันไปยิงสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมอย่างด็อคได้

 

 เคร๊ง—

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านด็อคที่ต้องรับมือนากาและคอนแนลพร้อมกันสองคนนั้นก็กลับดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเลยแม้แต่น้อย เมื่อนายแพทย์ประจำกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงสามารถใช้ดาบในมือข้างขวาของเขาในการกระแทกเข้าใส่โล่ของคอนแนลจนเด็กหนุ่มที่สวมใส่ยูนิตเอาไว้ปลิวกระเด็นออกไปและหันไปเหวี่ยงดาบในมือข้างซ้ายเข้าปะทะกับดาบเปื้อนเลือดของนากานากาที่พุ่งเข้ามาจากทางด้านข้างได้อย่างสบายๆ

 

เป๊ง—!!

 

“เฮ้ย—!?”

 

นากาที่พุ่งเข้าไปฟันใส่ด็อคจากมุมอับนั้นได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อดาบของเขาที่ฟันออกไปนั้นถูกกระแทกกลับมาด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่าจนร่างของเขาปลิวกระเด็นกลับออกมา ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้คอนแนลที่เพิ่งจะถูกด็อคเหวี่ยงดาบเข้าใส่จนปลิวออกมาเช่นเดียวกันอดไม่ได้ที่จะต้องร้องถามนากาขึ้นมา

 

“นี่พวกเขาเคยพลาดท่าจนต้องให้นากาเข้าไปช่วยเอาไว้จริงๆ หรอครับนั่น!? แรงเยอะขนาดนี้เผลอๆ จะซัดหน่วยพิเศษของเมืองซายูกิอะไรนั่นปลิวกลับเมืองได้สบายๆ เลยนะครับ!”

 

“แล้วฉันจะไปรู้เรอะ!? ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้มีแรงเยอะกันขนาดนี้สักหน่อยนี่!”

 

“……….”

 

เสียงพูดเถียงกันของเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นได้ทำให้ด็อคต้องนิ่งเงียบไปก่อนที่เขาจะลดดาบลงเล็กน้อยและเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“พวกฉันเองก็ไม่ได้อยากจะได้พลังอะไรที่มันพิเศษผิดมนุษย์อะไรแบบนี้สักเท่าไหร่หรอกนะ… แต่ว่าในเมื่อคุณซิสเตอร์เขาให้มันมาพร้อมกับโอกาสครั้งที่สองแบบนี้พวกฉันก็ต้องใช้มันนั่นล่ะ”

 

“ซิสเตอร์ที่ว่านั่นหมายถึงซิสเตอร์โจน่าคนนั้นน่ะหรอครับ!? ตกลงว่าคุณโจน่าเขาเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดในแพนเทร่านี่จริงๆ งั้นหรอครับ!?”

 

คำพูดของด็อคที่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับซิสเตอร์โจน่าได้ทำให้คอนแนลที่ได้ยินแบบนั้นต้องพูดถามเขาขึ้นมาในทันที แต่ถึงอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงของเขาที่ดูราวกับกำลังร้องขอให้ด็อคพูดปฏิเสธกลับมาว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองแพนเทร่าไม่ใช่ฝีมือของซิสเตอร์โจน่าที่ใช้ร่างของเจนอยู่ก็กลับทำให้นากาต้องหันไปมองเพื่อนของเขาด้วยความเป็นห่วง 

 

เพราะว่าถ้าเกิดเป็นตัวนากาเอง เขาก็ไม่อยากที่จะต้องหันดาบเข้าใส่ชาวบ้านของหมู่บ้านโมริโกะที่เขารู้จักมาตลอดเช่นเดียวกัน ต่อให้มันจะเป็นร่างเปล่าๆ ที่มีเพียงแค่วิญญาณของคนอื่นสิงอยู่แบบนั้นก็ตาม

 

แต่ถึงอย่างนั้นคำถามของคอนแนลก็ได้ทำให้ด็อคต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่เขาจะลดดาบลงและพูดถามคอนแนลกลับมา

 

“พวกเธอรู้จักเขาด้วยงั้นหรอ ซิสเตอร์โจน่าคนนั้นน่ะ? แต่ก็นะ ฉันคงจะปฏิเสธอะไรแทนเขาไม่ได้เหมือนกันนั่นล่ะ… ว่าแต่แบบนี้พวกเธอน่าจะรู้จักเด็กคนที่ชื่อว่าทีเอร่าคนนั้นด้วยสินะ ยุยเขาสงสารเด็กคนนั้นน่าดูเลยนะที่สุดท้ายแล้วคนต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนั่นคือพี่เลี้ยงของเขาแถมยังเกือบจะโดนโจมตีใส่ด้วยแบบนั้นน่ะ”

 

“เมื่อกี้นี้ยังว่าฉันอยู่เลย แล้วไหงตอนนี้พวกนายถึงหยุดสู้แล้วยืนคุยกันแทนแบบนั้นกันล่ะหะด็อค!!?”

 

การกระทำของด็อคที่ลดดาบลงและพูดคุยกับพวกนากาด้วยท่าทางเป็นกันเองนั้นได้ทำให้ยุยที่กำลังส่งกระสุนแลกกับโมโกะอยู่ต้องหันไปพูดว่าเขาขึ้นมา และนั่นก็ทำให้โมโกะไม่รอช้าที่จะอาศัยจังหวะนี้ในการปลดปืนกลเบาออกมาจากแขนกลของยูนิตเชสเชียร์มาถือเอาไว้ด้วยมือของตัวเองและพุ่งเข้าไปหวังจะใช้แขนกลที่มีลักษณะคล้ายกับคีบหนีบของยูนิตเชสเชียร์จับตัวยุยเอาไว้ในทันที

 

“เสร็จฉันล่ะ—”

 

“นี่ก็หัดรอให้คนอื่นพูดเสร็จก่อนซะบ้างสิ!”

 

หมับ—

 

ถึงแม้ว่าความเร็วในการเคลื่อนที่อันคล่องตัวของยูนิตเชสเชียร์จะมีความเร็วสูงมากก็ตามที แต่ทว่าทางด้านยุยก็กลับยังสามารถสะบัดแขนของเธอคว้าจับเอาแขนกลของยูนิตที่ยื่นตรงออกมาเบื้องหน้าเอาไว้ได้ทันและออกแรงเหวี่ยงจนโมโกะลอยกระเด็นไปทางอื่นด้วยความเร็วสูงก่อนที่เธอจะหันไปพูดต่อว่าด็อคขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่สนใจเสียงร้องของโมโกะเลยแม้แต่น้อย

 

“หวา—”

 

“ถ้าเกิดว่านายมัวแต่พูดมากอยู่ได้เดี๋ยวซิสเตอร์เขาก็ได้ยกเลิกข้อตกลงของพวกเราไปซะก่อนหรอก!! เขาบอกว่าจะจับตาดูพวกเราเอาไว้ด้วยไม่ใช่หรอไง!?”

 

“แหม่ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ยังชอบขัดคำสั่งของหัวหน้าไม่ต่างจากรัซเซลเลยไม่ใช่หรือไง พอเป็นทีนี้มาทำเป็นเคร่งเชียวนะ”

 

“พูดมากน่า—”

 

ปังปังปัง!!

 

“หยุดยิงขัดทุกครั้งที่ฉันพูดได้แล้วนะยัยแมวนี่!!”

 

เสียงปืนกลเบาและกระสุนวิซสองสีที่พุ่งเข้าไปใส่ยุยอีกครั้งหนึ่งนั้นได้ทำให้หญิงสาวต้องตวาดออกมาด้วยความอารมณ์เสียและรีบกระโดดหลบพวกมันอีกครั้ง ส่วนทางด้านด็อคที่โดยปกติแล้วมักจะเป็นคนคอยพูดห้ามพูดเตือนเวลาคนอื่นๆ ในกลุ่มทำตัวไม่เหมาะสมก็กลับทำเพียงแค่ยักไหล่ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาให้พวกเด็กๆ ได้ฟัง

 

“ก็อย่างที่พวกเธอได้ยินนั่นแหล่ะว่าพวกฉันมีเหตุผลที่จะต้องหยุดพวกเธอเอาไว้ที่นี่น่ะ เพราะงั้นถึงพวกฉันจะเคยติดหนี้บุญคุณที่ได้พวกเธอช่วยเอาไว้ที่เมืองรีมินัสก็เถอะแต่ว่าคราวนี้คงจะยังชดใช้ให้ไม่ได้หรอกนะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกน่า แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะมีแต่ต้องสู้กันเท่านั้นแล้วล่ะ”

 

“นั่นสินะครับ…”

 

นากาและคอนแนลที่ได้ยินคำพูดของด็อคได้พยักหน้ากลับไปให้เขาด้วยความเข้าใจและนั่นก็ทำให้ด็อคนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่เขาจะยกดาบกลับขึ้นมาอีกครั้งและเอ่ยปากพูดขึ้นมาลอยๆ

 

“แต่ก็น่าเสียดายนะที่พวกฉันมีกันแค่สองคนแบบนี้น่ะ เพราะงั้นต่อให้อยากจะยื้อพวกเธอเอาไว้ทุกคนพร้อมกันก็คงจะทำไม่ไหวหรอกจริงมั้ยล่ะ ก็พวกเธอมีกันตั้งสามคนนี่นะ”

 

“เอ๋ะ—?”

 

คำพูดของด็อคในคราวนี้ได้ทำให้นากากับคอนแนลต้องจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ และนั่นก็ทำให้ด็อคเผยรอยยิ้มภายใต้ผ้าคลุมหัวของเขาเล็กน้อยและผงกหน้าไปทางปราสาทที่ตั้งอยู่เบื้องหลังห่างออกไปไม่ไกลแล้วจึงเอ่ยปากพูดออกมาอีกครั้งนึง

 

“อื้ม… แถมดูๆ ไปแล้วพวกเธอเองก็ฝีมือไม่ใช่ย่อยซะด้วยสิ แบบนี้จะเผลอๆ อาจจะพลาดทำพวกเธอหลุดไปได้คนนึงในระหว่างที่กำลังตึงมืออยู่ก็ได้เลยนะเนี่ย ยิ่งเป็นตอนที่ยุยกำลังยุ่งกับเด็กผู้หญิงอีกอยู่ด้วยจนไม่ว่างมาช่วยยิงสนับสนุนฉันแบบนี้น่ะ”

 

“……….”

 

คำพูดที่ด็อคพูดเป็นนัยๆ นั้นได้ทำให้นากาและคอนแนลเหลือบหันไปมองกันเองเล็กน้อยก่อนที่เด็กหนุ่มตาสองสีจะก้าวออกไปเบื้องหน้าพร้อมกับพูดสั่งเพื่อนอัศวินของเขาขึ้นมา

 

“เดี๋ยวที่นี่ฉันจัดการเอง นายรีบไปก่อนเลยคอนแนล”

 

“ต–แต่ถ้าเป็นแบบนั้นให้นากาเป็นคนไปจะไม่ดีกว่าหรอครับ!?”

 

“นายมีเรื่องค้างคากับเจนเขาอยู่ไม่ใช่หรอไง ในฐานะที่เป็นคนที่เคยอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์นั่นด้วยกันมาก่อนน่ะ… ฉันขอแค่ว่าถ้าเกิดในร่างของซิสเตอร์โจน่าเขาไม่มีจิตใจของเจนเหลืออยู่อีกต่อไปแล้วนายต้องลงมือกับเขาให้ได้ก็พอ”

 

“ข—เข้าใจแล้วครับ!”

 

คอนแนลที่ได้ยินคำพูดของนากาได้พยักหน้ากลับไปให้เพื่อนของเขาก่อนที่เขาจะใช้ไอพ่นของยูนิตฮ็อปล่อนของตนพุ่งออกจากสนามเด็กเล่นแห่งนี้ไป ในขณะที่ทางด้านด็อคนั้นก็ได้หันดาบไปทางด้านคอนแนลและรีบพุ่งตัวตามไปเช่นเดียวกัน

 

“เฮ้ยเดี๋ยว นั่นจะหนีไปนั่นน่ะ!”

 

เคร๊ง—

 

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงของด็อคดีนั้นเอง นายแพทย์ประจำกลุ่มทหารรับจ้างผ้าคลุมแดงก็ได้หยุดฝีเท้าของเขาลงเพื่อใช้ดาบของเขาเข้าปัดป้องใบมีดติดโซ่ที่นากายิงเขาใส่และหันกลับมาเผชิญหน้ากับนากาโดยไม่มีวี่แววว่าจะวิ่งตามคอนแนลไปเลยแม้แต่น้อยอีกทั้งเขายังพูดถามเด็กหนุ่มขึ้นมาเบาๆ อีกด้วย

 

“ให้อัศวินเด็กคนนั้นเป็นคนไปมันจะดีหรอ? ฉันว่าถ้าเป็นนายน่าจะมีโอกาสชนะคุณซิสเตอร์เขามากกว่าเยอะนะ…”

 

“แต่ถ้าเป็นแบบนั้นคอนแนลเขาก็พลาดโอกาสที่จะได้บอกลาคนรู้จักกันพอดีสิ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเขากับเจนสนิทกันมากขนาดไหนก็เถอะ… แต่ว่าไม่มีใครอยากที่จะต้องจากลากันโดยไม่มีโอกาสได้บอกลาใช่หรือเปล่าล่ะ”

 

“ฮะฮะ… ก็นั่นสินะ… ถ้างั้นก็เอาเป็นว่าพวกฉันได้ตอบแทนหนี้บุญคุณเรื่องที่เมืองรีมินัสแล้วก็แล้วกัน ทีนี้ก็ได้เวลาทำหน้าที่แล้วล่ะ”

 

ในทันทีที่ด็อคเอ่ยปากพูดขึ้นมาจนจบนั้นเอง เขาก็ได้ยกดาบทั้งสองเล่มในมือทั้งสองข้างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในขณะที่ทางด้านนากาเองก็ได้เล็งใบมีดบนถุงมือของเขาเข้าใส่อีกฝ่ายและเอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“อ่า… ถ้างั้นก็เข้ามาเลย!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด