เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้ายบทที่ 613 ความจริง
บทที่ 613 ความจริง
“เจ้าเมืองถั่น! เจ้าเมืองถั่นเกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ!” เจ้าหน้าที่วิ่งวุ่นอยู่ในศาลาว่าการ
ถั่นรุ่นเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จและกำลังจะเข้านอน เมื่อได้ยินดังนั้นก็โมโหขึ้นมาทันที
“เรื่องใหญ่อะไรกัน ปากเสียจริง ๆ!” ถั่นรุ่นเลิกผ้าห่มออก ก่อนจะเปิดประตูแล้วเตะไปที่หน้าท้องของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น “พูดมาให้ชัดเจน เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”
“องค์หญิงใหญ่! องค์หญิงใหญ่มาปินโจวขอรับ!” เจ้าหน้าที่รีบลุกขึ้นมารายงาน
“อะไรนะ?” ถั่นรุ่นตกตะลึง “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นองค์หญิงใหญ่?!”
“อายุตรงกันขอรับ รูปร่างหน้าตาก็งดงาม ในมือยังมีป้ายคำสั่งขององค์หญิงใหญ่และตราหยกด้วยขอรับ นี่ไม่ผิดอย่างแน่นอน!”
ถั่นรุ่นสูดลมหายใจเข้า กลอกตาไปมา “คนเล่า ตอนนี้คนอยู่ที่ใด?!”
“อยู่ที่ประตูเมืองขอรับ!”
…
เสียงลมหวีดหวิวอยู่ที่ข้างหู พร้อมพัดทรายสีเหลืองบนพื้นขึ้นมา
เซี่ยวั่งซูได้รับการเลี้ยงดูในวังหลวง นางได้เห็นทั้งด้านที่ยิ่งใหญ่และสวยงามของวังหลวง รวมถึงค่ำคืนที่คึกคักของเมืองหลวง
แต่ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกของการที่เห็นทหารของต้าจิ้นในเมืองชายแดนเล็งอาวุธมาที่นางเช่นนี้
ถึงกระนั้นปลายกระบี่ของเซี่ยวั่งซูก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“องค์หญิงใหญ่ กระหม่อมไม่ทราบว่าเหตุใดพระองค์ถึงทรงทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูปรายตามองเขา กระบี่ได้กรีดลงที่ลำคอของเขาแล้ว เลือดสด ๆ เริ่มซึมออกมา
เมื่อรู้ว่าเซี่ยวั่งซูกำลังจะโมโห ถั่นรุ่นและแม่ทัพทหารอารักขาเมือง กัวเซี่ยว ต่างก็รีบมา
“คารวะองค์หญิงใหญ่ เจ้าเมืองปินโจวถั่นรุ่นขอถวายการต้อนรับองค์หญิงใหญ่ ไม่ทราบว่าพวกเราไปล่วงเกินอันใดองค์หญิงเข้า ถึงได้ทรงกริ้วเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ?”
ใบหน้าของถั่นรุ่นยังประดับด้วยรอยยิ้ม เซี่ยวั่งซูกวาดตามองเขาเล็กน้อย “ผู้ตรวจการซ่งของพวกเจ้าเล่า?”
“ท่านผู้ตรวจการไม่อยู่ในเมือง ขอองค์หญิงใหญ่โปรดประทานอภัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูยกมุมปากขึ้น “เช่นนั้นตอนนี้เมืองปินโจวคนที่สามารถตัดสินใจได้ ก็คือเจ้า ถั่นรุ่นใช่หรือไม่?”
ถั่นรุ่นตอนแรกยังสงสัยอยู่ว่าเด็กสาวตรงหน้าใช่เซี่ยวั่งซูหรือไม่ แต่เมื่อเห็นป้ายคำสั่งที่นางห้อยเอาไว้ ก็สลัดความคิดนั้นทิ้งไปทันที
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก” ทันทีที่สิ้นเสียงของเซี่ยวั่งซู กระบี่เล่มหนึ่งก็ตวัดหมวกขุนนางของถั่นรุ่นจนหลุดออกจากหัวทันที จากนั้นก็ฟันมวยผมของเขาจนขาด
ถั่นรุ่นตื่นตระหนก!
“องค์หญิงใหญ่! เหตุใดพระองค์ต้องเหยียดหยามกระหม่อมเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”
จื่อฮุ่ยพูดด้วยความโมโห “บังอาจ! องค์หญิงใหญ่เสด็จมาปินโจวด้วยพระองค์เอง พวกเจ้านอกจากจะไม่ต้อนรับอย่างนอบน้อมแล้ว ยังกล้าให้องค์หญิงใหญ่รออยู่ที่ประตูเมืองเป็นเวลาถึงหนึ่งเค่อจึงจะเปิดประตู! ตอนนี้องค์หญิงใหญ่จะทำอะไร ยังกล้าตั้งคำถามอีกอย่างนั้นหรือ เจ้าจะกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!”
“ถอดหมวกขุนนางของเจ้า เพื่อเป็นการบอกว่าเจ้าไม่คู่ควรกับตำแหน่ง และการตัดมวยผมของเจ้า ก็เพื่อตักเตือนว่า ครั้งนี้ข้าจะตัดหัวของเจ้าอย่างไรเล่า!”
ถั่นรุ่นโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร “กระหม่อมไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าองค์หญิงใหญ่ทรงกริ้วมาจากที่ใด องค์หญิงเสด็จกลับต้าจิ้นกระหม่อมย่อมยินดีปรีดา แต่องค์หญิงกลับทรงพาชาวถู่เจียมากมายเพียงนี้เข้าเมือง เรื่องนี้จะให้กระหม่อมปล่อยไปได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูมองไปทางกัวเซี่ยว “แม่ทัพกัว”
กัวเซี่ยวก้าวมาข้างหน้า “คารวะองค์หญิง”
“ข้าจำได้ว่าเมื่อสามปีก่อน เคยพบกับแม่ทัพกัวในงานเลี้ยงฉลองที่เมืองหลวงครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าแม่ทัพกัวยังจำได้หรือไม่?”
แม่ทัพที่ดูแลเมืองชายแดน ทั้งชีวิตสามารถกลับไปเมืองหลวงได้เพียงครั้งเดียว เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองของราชวงศ์ นั่นถือเป็นเรื่องดีและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว
กัวเซี่ยวไหนเลยจะลืมได้ลง
“กระหม่อมไม่อาจลืมได้พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดนี้ของกัวเซี่ยวก็ถือเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า คนที่มานี้คือองค์หญิงใหญ่ตัวจริงเสียงจริง
ถั่นรุ่นจึงรู้สึกว่า เรื่องนี้ชักจะบานปลายเสียแล้ว
แต่ถึงแม้จะอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ถั่นรุ่นก็คิดว่าหากจนตรอกจริง ๆ เขาก็แค่ปล่อยตัวคนไปก็เท่านั้น องค์หญิงน้อยที่บอบบางนั่นก็แค่ต้องการระบายอารมณ์ และไม่สามารถทำอะไรเขาได้อย่างแน่นอน
เพราะการที่เจ้าหน้าที่ของราชสำนักทำผิดก็ต้องให้ราชสำนักเป็นผู้ตัดสิน และเขาก็ไม่เคยได้ยิน ว่ามีองค์หญิงพระองค์ใดมีสิทธิ์สั่งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ขุนนางได้
“ดีมาก เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าอีกหนึ่งคำถาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องแต่งงานไปอยู่ที่ถู่เจีย?”
กัวเซี่ยวจึงพูดขึ้นมา “เพื่อความสงบสุขของสองแคว้น องค์หญิงจึงได้ทรงอภิเษกสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธ์พ่ะย่ะค่ะ”
“พูดได้ดี” ทว่าพริบตาต่อมาเซี่ยวั่งซูก็เอ่ยด้วยความโมโห “ในเมื่อรู้ว่าข้ามาที่นี่เพื่อความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองแคว้น ผู้ใดให้ความกล้ากับพวกเจ้าในการจับกุมกองคาราวานถู่เจียผู้บริสุทธิ์กัน! วันนี้หากไม่อธิบายให้ข้าฟัง เจ้าและถั่นรุ่นเตรียมหัวหลุดจากบ่าได้เลย!”
ถั่นรุ่นตกใจขึ้นมา
กัวเซี่ยวเองก็ขมวดคิ้ว “ขอองค์หญิงใหญ่ทรงตรวจสอบด้วยพ่ะย่ะค่ะ เป็นพวกถู่เจียที่เป็นฝ่ายยั่วยุก่อน หมู่บ้านหลายแห่งทางตะวันออกของเมืองเราถูกปล้นสะดม ปล้นชิงทรัพย์สิน ยังมีเสบียงของกองทัพที่สูญหายไปด้วย พวกเราควบคุมตัวคนในกองคาราวานไว้ก็จริง แต่ไม่ได้ทำร้ายพวกเขาถึงแก่ชีวิต และพวกเราก็กำลังจะส่งคนไปที่ถู่เจียพรุ่งนี้ เพื่อขอคำอธิบายเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ
แม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะทรงอภิเษกสมรสไปประทับที่ถู่เจียแล้ว แต่ก็ไม่สามารถมากล่าวหาพวกกระหม่อมว่าจับกุมคนตามอำเภอใจโดยไม่แยกแยะผิดถูกได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูได้ยินประโยคนี้ก็ไม่ได้โมโหต่อ จากนั้นนางก็ลงจากหลังม้าพร้อมโยนแส้ม้าไปตรงหน้าของถั่นรุ่น “คำพูดนี้ของแม่ทัพกัวนับว่าตรงประเด็นยิ่งนัก”
กัวเซี่ยวถอนหายใจด้วยความโล่งอก “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองแคว้น จึงต้องชี้แจงให้ชัดเจน หากฝ่ายเราจับตัวคนผิดย่อมต้องชี้แจงให้ชัดเจน ขอเชิญองค์หญิงใหญ่เสด็จไปคุยรายละเอียดด้านในดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยวั่งซูพยักหน้าให้เขา ก่อนจะพาพวกอาเอ่อร์ไท่เข้าเมืองไปด้วย
ถั่นรุ่นเมื่อเห็นพวกถู่เจียเข้าเมืองมามากมายเพียงนี้ ก็ก้าวไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ชาวถู่เจียมากมายเพียงนี้ พระองค์…”
เซี่ยวั่งซูหันหน้าไปพลางมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าเมืองถั่น แค่นักรบถู่เจียห้าร้อยคนก็ทำให้เจ้าตกใจเพียงนี้เชียวหรือ ข้าพาพวกเขามาย่อมกล้ารับประกันว่าพวกเขาไม่มีทางทำอะไรราษฎรที่นี่แน่ หยุดทำท่าทางตัวสั่นงันงกเช่นนั้นซะ”
นางหันหน้ากลับไป ก่อนจะตามกัวเซี่ยวเข้าไปในศาลาว่าการ ซึ่งขังคาราวานเอาไว้
พวกอาเอ่อร์ไท่ก็ตามองค์หญิงใหญ่เข้าไปด้วย
กัวเซี่ยวด้านหนึ่งก็อธิบายให้กับเซี่ยวั่งซู ด้านหนึ่งก็ชี้แจงสถานการณ์ที่น่าเศร้าในหมู่บ้านให้นางฟังด้วย
เซี่ยวั่งซูจึงพูดขึ้นมา “เรื่องอื่นข้าไม่กล้ารับปาก แต่ราชสำนักถู่เจียไม่มีทางส่งคนมาปล้นชาวบ้านในหมู่บ้าน และทำร้ายราษฎรต้าจิ้นของเราเช่นนี้แน่ และเราก็ไม่สามารถใส่ร้ายคนอื่นได้”
กัวเซี่ยวไม่ได้โต้เถียง แต่เลือกสั่งให้คนไปนำอาวุธที่ตอนนั้นพบในหมู่บ้านมา
เซี่ยวั่งซูมองดูอาวุธนั่นเล็กน้อย เป็นดาบวงพระจันทร์ที่เสียบอยู่ที่เอวของเหล่านักรบถู่เจียจริง ๆ
แม้แต่พวกอาเอ่อร์ไท่ก็หันไปมองหน้ากัน
เซี่ยวั่งซูจึงให้คนนำอาวุธเหล่านั้นไปให้พวกเขาดู
อาเอ่อร์ไท่พิจารณาอย่างละเอียด จากนั้นก็ให้คนที่รู้ภาษาต้าจิ้นรีบแปลให้องค์หญิงใหญ่ฟัง
“เค่อตุน อาวุธนี้เป็นของชาวถู่เจียของเราก็จริง ทว่าแต่ละเผ่าก็จะมีสัญลักษณ์ของตัวเอง และสัญลักษณ์นี้ไม่ได้เป็นของราชสำนักของเรา แต่เป็นของเผ่าปี้ลี่เก๋อขอรับ”
อาเอ่อร์ไท่พูดขึ้นมาอีก “และนี่ ถึงจะเป็นดาบวงพระจันทร์ของราชสำนักเราขอรับ”
กัวเซี่ยวจึงลุกขึ้น เพราะเมื่อเทียบกับเซี่ยวั่งซูแล้ว เขาแยกแยะความแตกต่างระหว่างอาวุธได้ดีกว่านาง
เขาหยิบดาบวงพระจันทร์ทั้งสองเล่มขึ้นมาดู ก็พบว่ามีความแตกต่างกันจริง ๆ
“แม่ทัพกัว เรื่องนี้ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในของถู่เจีย” เซี่ยวั่งซูลุกขึ้นยืน “ข้าไม่มีทางปล่อยคนที่ทำร้ายชาวต้าจิ้นของเรา และจะไม่มีทางปล่อยให้ผู้กระทำผิดตัวจริงรอดไปได้อย่างแน่นอน แต่คนของกองคาราวานอยู่กับข้าทั้งวัน แม้แต่ตอนที่เกิดเรื่องขึ้น พวกเขาก็ยังทำรายการข้าวของกับข้าอยู่ที่ราชสำนักอยู่เลย ดังนั้นข้ารับรองว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา”
กัวเซี่ยวยังไม่ทันพูด ถั่นรุ่นที่อยู่ด้านข้างก็ราวกับหาข้อแก้ตัวได้อย่างไรอย่างนั้น จึงรีบเอ่ยขึ้นมา “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ พวกถู่เจียแต่ไหนแต่ไรมาเป็นพวกสับปลับ พระองค์อาจถูกหลอกก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่าง ต่อให้ไม่ใช่คนในราชสำนักถู่เจีย เผ่าอะไรนั่นก็เป็นพวกถู่เจียอยู่ดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่สามารถแต่งไปที่ถู่เจียแล้วจะลำเอียงเช่นนี้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
.
.
.
Comments