บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] 988: ฮั่วเหยาอยู่หนใด?

Now you are reading บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] Chapter 988: ฮั่วเหยาอยู่หนใด? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 988: ฮั่วเหยาอยู่หนใด?

…………………………………………………..

ตอนที่ 988: ฮั่วเหยาอยู่หนใด?

เทือกเขาดับวิญญาณ

ในตำหนักแห่งหนึ่ง

ฮั่วเหยาผู้กำลังนั่งขัดสมาธิพลันกล่าวขึ้น “ศิษย์น้อง ไปที่หนึ่งกับข้าไหม?”

เย่ลั่วที่อยู่ตรงมุมโถงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในความคิดข้า หากเจ้าอยากรอด ทางที่ดีที่สุดคือคุกเข่ารอท่านอาจารย์ที่นี่ หากเจ้าเปลี่ยนใจกลับตัว บางทีอาจารย์อาจละเว้นชีวิตเจ้าได้”

ดวงตาของฮั่วเหยาเปี่ยมโทสะ จากนั้นเขาก็หัวเราะลั่นพลางกล่าว “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่คิดหนีโดยไม่สู้อยู่แล้ว”

เขาลุกขึ้น “ข้าคิดจะไปยังถ้ำสวรรค์หกวิถีซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเทือกเขาดับวิญญาณนัก วิหารสำริดที่นั่นน่าจะมีเคล็ดเวียนวัฏสงสารอยู่ หากเจ้าไม่ไป ข้าไปเองก็ได้”

กล่าวจบ ฮั่วเหยาก็ไพล่มือไว้เบื้องหลัง และหันเดินออกไปนอกโถงหลัก

เย่ลั่วขมวดคิ้ว ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ลุกขึ้นตามไป

เพราะหากฮั่วเหยาหนีไปได้ เขาคงไม่มีหน้าไปพบอาจารย์อีก

ทางเข้าถ้ำสวรรค์หกวิถี

เมื่อมาถึง ฮั่วเหยาพลันชะงักเท้าและกล่าวโดยมิหันกลับมา “ศิษย์น้อง ฟังศิษย์พี่ของเจ้านะ เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมด คงรับมือความบาดหมางระหว่างข้ากับอาจารย์ไม่ได้หรอก เจ้าหลับหูหลับตาเชื่อฟังอาจารย์ไป รังแต่จะทำร้ายตัวเจ้าเองเสียเปล่า ๆ นะ”

เบื้องหลังเขา เย่ลั่วกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “มันทำร้ายข้าหรือ?”

เขาเหลือบไปที่ทางเข้าถ้ำสวรรค์หกวิถี จากนั้นจึงพูดต่อ “เจ้าพาข้ามาที่นี่ไม่ใช่หรือ? แค่เพื่อทำร้ายข้าหรือไร?”

ร่างของฮั่วเหยาชะงัก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน “ศิษย์น้อย เรื่องตลกนี้ไม่ตลกเลยนะ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าข้ามิได้ให้เจ้ามากับข้าด้วย!”

กล่าวจบ เขาก็สาวเท้ายาว ๆ เข้าไปในถ้ำ

เย่ลั่วลังเลชั่วขณะ แต่ก็ยังกัดฟันตามไป

เส้นทางในถ้ำคดเคี้ยวมืดมิด ทว่าฮั่วเหยากลับเป็นราวอาชาแก่ผู้รู้หนทางและเดินต่อได้อย่างแม่นยำ

ระหว่างทาง เย่ลั่วก็ติดตามเขาตลอด แต่หัวใจของเขาตื่นตัว พร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ

เหมือนเขาจะรับรู้ถึงความระแวดระวังของเย่ลั่ว รอยยิ้มหยอกล้อปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของฮั่วเหยาผู้เดินนำหน้า

เมื่อเขามาถึงด้านในถ้ำสวรรค์หกวิถี ภาพของถ้ำใหญ่ยักษ์เกินใดเทียบพลันปรากฏขึ้นในสายตา

เส้นตรวนสีดำหนาเตอะห้อยลงจากกำแพงรอบข้าง ทับพันประสานปกปิดโถงโบราณซึ่งทำจากสำริด ณ สุดปลายถ้ำไว้

ตรงหน้าโถงหลักนั้นคือสนามเต๋าโบราณแห่งหนึ่ง

เมื่อเห็นภาพอันน่าตื่นตานี้ เย่ลั่วก็อดแปลกใจไม่ได้

ยามนี้เอง ฮั่วเหยาผู้เดินอยู่ด้านหน้าพลันหันกลับมา ดวงตาคู่นั้นฉายประกายแรงกล้า “ศิษย์น้อง ในฐานะศิษย์พี่คนหนึ่ง ข้าขอแนะนำอีกครั้ง อยู่ที่นี่เสีย อย่าตามติดข้าอีกตกลงหรือไม่?”

เย่ลั่วขมวดคิ้ว แววตาวูบไหว

ยามนี้เขาตระหนักชัดเจน ว่าบาดแผลสาหัสของฮั่วเหยาฟื้นตัวสมบูรณ์แล้ว และพลังก็ยังกลับสู่จุดสมบูรณ์พร้อม

“หากเจ้าอยากลงมือจริง ๆ เจ้าก็ไม่ใช่ศัตรูข้าหรอก”

สีหน้าของเย่ลั่วยังคงเฉยเมยเยี่ยงกาลก่อน “อย่าลืมว่าขณะที่ข้าก้าวสู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ การฝึกฝนของเจ้าก็ติดค้างในขอบเขตวงล้อวิญญาณตลอด แม้ยามนี้เจ้าจะตามมาทัน แต่เมื่อเป็นเรื่องของประสบการณ์ก็ยังเทียบชั้นข้าไม่ได้”

ทันทีที่วาจาเช่นนี้ถูกกล่าว ฮั่วเหยาก็ดูเหมือนถูกจี้ใจดำ ใบหน้าหล่อเหลาคล้ำเขียว และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “จริงหรือ แล้วพวกเขาเล่า?”

เสียงยังไม่ทันขาดหาย เงาร่างต่าง ๆ พลันปรากฏขึ้นรอบ ๆ ถ้ำยักษ์นี้

หนึ่งบุรุษร่างกำยำในอาภรณ์หนังงู เส้นผมและหนวดโค้งเยี่ยงง้าว

หนึ่งหญิงงามในอาภรณ์ชาววังสีสันงดงาม

หนึ่งชายชราในชุดดำ ถือแส้นักพรตในมือ

และชายหนุ่มผมขาวผู้มีนัยน์ตาเย็นชา

พวกเขาคือยอดฝีมือขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำสี่คนที่ดักรอโจมตีซูอี้อยู่ที่นี่ โดยแต่ละคนมาจากสำนักเทพอัสนีเขียว สำนักอสูรดั้นเมฆา บรรพตวิถีพยัคฆ์มังกร และคีรีดาบเก้าดารา!

….

เทือกเขาดับวิญญาณ

กู้จื้อหมิงรอคอยอย่างกระวนกระวาย

ก่อนหน้านี้ เรื่องที่ฮั่วเหยาบาดเจ็บกลับมา นอกจากเขาและผู้อาวุโสสองสามคน ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก

ยิ่งกว่านั้น กู้จื้อหมิงยังไม่คาดคิดเลยว่าแม้จะเป็นตัวตนแข็งแกร่งเยี่ยงอาจารย์อาฮั่วเหยา ไม่เพียงไม่สามารถเอาชนะชายหนุ่มแซ่ซู แต่ยังบาดเจ็บสาหัสอีกด้วย!

สิ่งนี้ทำให้กู้จื้อหมิงตระหนักเป็นครั้งแรกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

ก่อนหน้านี้ เมื่อฮั่วเหยาใช้เคล็ดวิชาส่งกระแสเสียงปราณ บอกเขาว่าให้อพยพจากพิภพยมราชฝังวิถี กู้จื้อหมิงก็รู้กระจ่างแจ้งว่าเรื่องนี้ร้ายแรงเพียงไร

“ศิษย์พี่ ไฉนเราจึงอพยพเล่า?”

หนีซวงอดถามไม่ได้

ซั่งกวนเจี๋ย เฉิงเทียนคุนและคนอื่น ๆ เองก็หันมองกู้จื้อหมิง

ก่อนหน้านี้ กู้จื้อหมิงเรียกพวกเขามารวมตัว และออกคำสั่งว่าเมื่อฮั่วเหยากลับมา พวกเขาจะอพยพจากพิภพยมราชฝังวิถีทันที

ทว่ากู้จื้อหมิงไม่ได้บอกเหตุผลว่าเพราะเหตุใด

สิ่งนี้ทำให้ทุกผู้งุนงง

“นี่คือคำสั่งของอาจารย์อาฮั่วเหยา”

กู้จื้อหมิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างจริงจัง “เราก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”

คำตอบนี้เห็นได้ชัดว่าฟังไม่ขึ้น

โดยเฉพาะหนีซวงผู้ดูไม่ชอบใจยิ่งขึ้นอีก “ศิษย์พี่ นับแต่ชายหนุ่มแซ่ซูปรากฏตัว เจ้าก็ทำตัวมีพิรุธมาตลอด ไม่ยอมบอกความจริงใด ๆ กับเราเลย อย่าลืมนะว่าเราเสียตัวตนจักรพรรดิไปมากมายก็เพราะคนแซ่ซูผู้นั้น!”

“ใช่ ศิษย์พี่ ในเมื่อตัดสินใจจะไปจากพิภพยมราชฝังวิถีนี้แล้ว ไฉนจึงยังไม่ยอมบอกความจริงเราอีกเล่า?”

ซั่งกวนเจี๋ย เฉิงเทียนคุนและคนอื่น ๆ ต่างพูดออกมา

คืนนี้ การกระทำของกู้จื้อหมิงแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจมาก

ยามนี้ เหล่าจักรพรรดิในพันธมิตรเสวียนจวินต่างก็หันมองกู้จื้อหมิง อยากรู้ว่าเขาจะให้ข้ออ้างอันใดกลับมา

แรงกดดันของกู้จื้อหมิงเพิ่มทวีคูณ เขาจึงอดลังเลไม่ได้

ทันใดนั้นเอง…

วูบ!

เกิดคลื่นมิติกระเพื่อมขึ้นไกล ๆ

ต่อจากนั้น ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดเขียวก็ปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ

ภาพนี้ก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นทันที

“นั่นเขา ไฉนคนผู้นั้นจึงกล้ากลับมาอีก!?”

ซั่งกวนเจี๋ยตะลึง

สีหน้าของคนอื่น ๆ ต่างก็ไม่อยากเชื่อ จู่ ๆ ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณซึ่งถูกพวกเขาล้อมโจมตี จนในที่สุดก็หนีไปได้ก็กลับมา ใครเล่าจะไม่แปลกใจ?

“ไม่สิ นั่นกระสวยพรางสวรรค์ของอาจารย์อาฮั่วเหยา!”

เฉิงเทียนคุนตะโกน

ด้วยวาจานั้น ทุกคนก็เห็นว่าในมือชายหนุ่มแซ่ซูมีกระสวยบินอันหนึ่งกำลังแผ่กระเพื่อมพลังมิติออกมา

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งหลายต่างรู้สึกผิดปกติ และตระหนักแล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

กู้จื้อหมิงโอดครวญในใจ ลอบโวยในใจว่าแย่แล้ว

เขาตะโกนลั่นเป็นครั้งแรก “เร็วเข้า! ปราบเขาเสีย!!”

วาจาแผ่สะท้อนทั่วโลกหล้า

ทุกคนมองหน้ากัน และแม้จะงุนงงอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเมินเฉย ต่างคนต่างใช้สมบัติส่วนตนโจมตีสุดตัว

ไม่มีผู้ใดกล้ายั้งมือ

พวกเขาล้วนก็เคยเห็นฝีมือของซูอี้มาแล้ว และรู้ดีว่าแม้อีกฝ่ายจะอยู่เพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่อำนาจต่อสู้กลับน่ากลัวฝืนกฎสวรรค์ยิ่งนัก

ดังนั้นเมื่อต้องโจมตี พวกเขามีหรือจะกล้าออมมือ?

ตู้ม!

โลกหล้าปั่นป่วน แสงศักดิ์สิทธิ์ระเบิดสาดส่อง

สารพัดสมบัติท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้าทะยานสู่ฟ้า และจากการร่วมมือของตัวตนจักรพรรดิสิบกว่าคน พวกเขาก็โจมตีเข้าใส่ซูอี้พร้อมกัน

แววตาลึกล้ำของซูอี้ไร้ไหวหวั่น สีหน้าของเขาสุขุมเยือกเย็น

เมื่ออยู่ต่อหน้าการโจมตีกระหน่ำเช่นนี้ เขาก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่แม้แต่จะมอง

ตู้ม!

ปราณดาบเจิดจ้าทรงพลังสายหนึ่งทะยานออกรุนแรงราวคลื่นถล่มพสุธาทลาย

ปราณดาบนั้นยิ่งใหญ่ แฝงด้วยแก่นแท้มหาวิถีลึกล้ำยากคาดเดา แฝงด้วยพลังปราณมหาวิถีลึกล้ำอย่างเจือจาง

ทั่วบริเวณสั่นโคลงรุนแรง สุญญะดูราวถูกบดขยี้

เมื่อปราณดาบสายนี้กวาดผ่าน สารพัดสมบัติหลายสิบชิ้นล้วนปลิวกระเด็นพร้อมเสียงกรีดร้องแหลม

ในหมู่สมบัติเหล่านั้น มีหลายชิ้นที่ถูกทำให้แหลกเป็นผุยผงโดยพลัน!

และปราณดาบสายนี้ยังคงทะยานต่อโดยไม่ลดละ ทลายการจัดทัพของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิสิบกว่าคนกระจายไป

บางคนอกยุบเป็นโพรง กรีดร้องเกินเข้าใจ

บางคนเลือดทะลักออกจมูกปาก ร่างแหลกสลาย

บ้างไม่รู้กระดูกป่นแตกไปกี่ชิ้น ร่างกระแทกกับพื้นจนกระทั่งสลบไสลไป

กล่าวอย่างนุ่มนวลก็คือ การโจมตีประสานของจักรพรรดิสิบกว่าคนพังไม่เป็นท่า!

การบดขยี้อย่างอหังการนี้ทำให้ทุกคนตะลึงงัน

“เป็นไปได้เช่นไร!”

บางคนกรีดร้องอย่างลนลาน

“เขา… เขาพิสูจน์เต๋าเป็นจักรพรรดิไปแล้ว…”

บางคนพูดติดขัดอย่างสยดสยอง

เป็นจักรพรรดิ!!

กู้จื้อหมิง หนีซวง ซั่งกวนเจี๋ยและคนอื่น ๆ ล้วนตะลึงเยี่ยงถูกฟ้าฟาด ใบหน้าของพวกเขาซีดอย่างหวาดผวาระคนตกใจ

เมื่อครู่ก่อน ยามที่พวกเขาล้อมขวางทางซูอี้ อีกฝ่ายมีการฝึกฝนอยู่เพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณ และแหวกวงล้อมของจักรพรรดิเหล่านี้ออกได้ในพริบตา

ทว่ายามนี้ กาลผ่านไปเพียงไม่ถึงครึ่งวัน อีกฝ่ายก็กลายเป็นจักรพรรดิไปแล้ว!

และด้วยหนึ่งการโจมตี การร่วมมือของพวกเขาก็ถูกทำลายลงง่าย ๆ ใครเล่าจะไม่กลัว ใครเล่าจะมิผวาหวาด?

“ฮั่วเหยาอยู่หนใด?”

ยามนี้ ซูอี้กล่าวขึ้นอย่างเยือกเย็น

บรรยากาศอึมครึม อากาศเย็นเยียบราวถูกแช่แข็ง ยากจะหายใจได้

คนทุกผู้มองหน้ากัน ชายชราชุดเหลืองผู้หนึ่งกล่าวอย่างจริงจัง “สหาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเป็นศัตรูกับเราจะเกิดผลเช่นไร?”

ซูอี้สะบัดนิ้วราวไล่แมลงวัน

ฉึก!

ชายชราชุดเหลืองผู้นั้นถูกปราณดาบทะลวงหว่างคิ้ว ร่างระเบิดเปรี้ยง โลหิตล่องลอยบนเวหา

ทุกคน ณ ที่นั้นตะลึงจนหน้าซีดขาว

หนึ่งสะบัดนิ้วสังหารจักรพรรดิ!

และผู้ที่ถูกฆ่าก็เป็นตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นปลายด้วย!

อำนาจนี้แข็งแกร่งเสียจนชวนให้คนเข่าอ่อน

“สามอึดใจ หากไม่มีผู้ใดตอบข้า ก็ตายกันให้หมด”

ซูอี้ยืนนิ่งบนพื้น มือสองข้างไพล่หลังสบาย ๆ ขณะกล่าวอย่างเยือกเย็น

เขาไม่ใช่คนที่ฆ่าฟันไม่เลือกหน้า แต่ต่อหน้าตัวตนเหล่านี้ที่พยายามล้อมฆ่าเขา เขาย่อมไม่แสดงเมตตาใด

และเมื่อสิ้นคำ ราวกับระฆังประหารถูกตี จักรพรรดิทั้งหลายต่างมีสีหน้าหวาดกลัว และเผลอหันมองกู้จื้อหมิงเป็นตาเดียว

จากนั้นเฉิงเทียนคุนก็โพล่งออกมา “ศิษย์พี่! ถึงจุดนี้แล้ว ไฉนท่านไม่ไปขอให้อาจารย์อาฮั่วเหยาคลายปมนี้เสียเล่า!?”

ขวับ!

ดวงตาของซูอี้กวาดมองมา

ใบหน้าของกู้จื้อหมิงซีดขาว ร่างแข็งทื่อราวถูกแช่ในน้ำแข็งทันที

เขาตระหนักแล้วว่าเรื่องทุกอย่างจบสิ้น!

“อาจารย์อา… เขาอยู่ที่ถ้ำสวรรค์หกวิถี”

กู้จื้อหมิงตอบอย่างจนใจระคนหัวใจเจ็บร้าว

“เจ้ารู้ตัวตนของข้าหรือไม่?”

ซูอี้พลันถาม

พวกหนีซวงต่างดูงุนงงและส่ายหน้า

มีเพียงกู้จื้อหมิงที่ก้มหน้าลง ดูอึดอัดใจที่สุด

“งั้นเจ้าไปกับข้า”

ซูอี้เห็นเรื่องทั้งหมดนี้ และไม่ลังเล เขาเอื้อมมือคว้ากู้จื้อหมิงแล้วก้าวสู่อากาศไปยังถ้ำสวรรค์หกวิถีไกลออกไป

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด