สลับชะตา ชายามือสังหาร 344 จะกินนอนยืนเดินพร้อมกับเจ้า!
ดินแดนไร้กลิ่นอายหรือ เมื่อเห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจในตนเองเช่นนั้นของพวกเขาแล้ว หรือว่าดินแดนไร้กลิ่นอายจะมีชื่อเสียงมากเล่า
“พวกเรามาจากดินแดนอี้หลิน” เว่ยจือฉีเอ่ยตอบ
“ดินแดนอี้หลินหรือ” กัวเพ่ยเพ่ยและคนอื่นๆ มองพวกเว่ยจือฉีอย่างตกใจ “พวกเจ้ามาจากดินแดนอี้หลินจริงหรือ”
“ใช่แล้ว ทำไมหรือ” พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงตกอกตกใจเช่นนี้
“ก่อนหน้านี้ตอนที่โลกย่อส่วนปรากฏขึ้นนั้น ไม่เคยมีคนของดินแดนอี้หลินเข้ามาที่นี่เลย” กัวเพ่ยเพ่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเจ้าน่าจะเป็นคนกลุ่มแรกที่มายังโลกย่อส่วนในรอบหลายหมื่นปีเลยละ ดังนั้นพวกเราจึงประหลาดใจกันอยู่บ้าง พวกเจ้าอย่าได้เห็นผิดไปเลยนะ”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า ก่อนหน้านี้คงไม่เคยมีคนมาที่โลกย่อส่วนเลยจริงๆ
“พวกเจ้าชื่ออะไรกันหรือ” กัวเพ่ยเพ่ยถาม
“ข้าชื่อเว่ยจือฉี” เว่ยจือฉีแนะนำตัวเองก่อน จากนั้นจึงแนะนำพวกซือหม่าโยวเย่ว์ให้พวกเขารู้จักด้วย
กัวเพ่ยเพ่ยก็แนะนำคนทางฝั่งนางเช่นเดียวกัน เด็กร่างอ้วนที่เห็นอาหารอันโอชะแล้วน้ำลายไหลผู้นั้นชื่อกัวเลี่ยง เป็นน้องชายแท้ๆ ของกัวเพ่ยเพ่ย
กัวเพ่ยเพ่ยเห็นท่าทางเช่นนี้ของกัวเลี่ยง จึงฟาดศีรษะเขาฉาดใหญ่
“พี่หญิง ท่านตีข้าทำไมกัน” กัวเลี่ยงลูบศีรษะตนเองพลางจ้องมองกัวเพ่ยเพ่ยเขม็ง
กัวเพ่ยเพ่ยใช้สองมือเท้าเอวพลางตวาดว่า “เก็บน้ำลายของเจ้าเสีย อย่าทำให้ข้าขายขี้หน้าผู้อื่นเขาสิ!”
ถึงแม้ว่ากัวเลี่ยงจะไม่พอใจนัก แต่ก็ยังเก็บงำท่าทีตะกละตะกลามนั้นไป ก่อนจะหันไปยิ้มตาหยีมองสองคนที่กำลังปรุงอาหารอยู่แล้วเอ่ยว่า “โยวเย่ว์เอ๋ย สิ่งนี้… สิ่งนี้…”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูท่าทางของเขาแล้วยิ้มถามว่า “เจ้าอยากกินหรือ”
กัวเลี่ยงพยักหน้าอย่างแรง เขามองเนื้อย่างด้วยสองตาเป็นประกาย
กัวเพ่ยเพ่ยดึงตัวกัวเลี่ยงแล้วเอ่ยว่า “ปกติน้องชายผู้นี้ของข้าชมชอบการกินเป็นอย่างยิ่ง พวกเจ้าอย่าได้ใส่ใจเลยนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราก็ชอบกินกันหมดทุกคนเช่นกัน” เว่ยจือฉีพูด
“ถึงอย่างไรพวกเราก็เตรียมอาหารเอาไว้มากพอดูทีเดียว พวกเจ้าจะมากินด้วยกันก็ได้นะ แต่พอกินของพวกนี้หมด ก็ต้องจัดการตัวเองแล้วนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
นักกินตัวยงมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งจริงๆ!
ก่อนหน้านี้เธอรู้สึกว่าการที่ตัวเองชอบกินนั้นออกจะแปลกอยู่บ้าง แต่เมื่อได้สัมผัสผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงพบว่ายังมีผู้คนอีกมากมายที่ชอบกินเช่นเดียวกัน
“ดีจริงๆ วิธีการย่างเนื้อของเจ้าช่างพิเศษยิ่งนัก เจ้าสอนข้าได้หรือไม่” กัวเลี่ยงได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์พูดเช่นนี้จึงตรงเข้ามาถาม
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า หลังจากนั้นจึงวางเนื้อที่ตนย่างเสร็จแล้วลงในจาน ก่อนจะให้กัวเลี่ยงมายังตำแหน่งของตน แล้วให้เขาย่างด้วยท่าทางเช่นเดียวกันกับเป่ยกงถัง ส่วนตัวเองคอยชี้แนะเขาอยู่ข้างๆ ให้เขาใส่เครื่องปรุง หรือถึงเวลาที่ควรพลิกเนื้อได้แล้ว
กัวเลี่ยงผู้นี้ไม่เสียทีที่เป็นนักกิน ความสามารถในการลงมือทำอาหารสูงส่งกว่าคนทั่วไป ดูการเคลื่อนไหวในการย่างเนื้อของเขา แม้จะติดขัดอยู่บ้างในตอนแรก แต่หลังจากนั้นก็คล่องแคล่วเปี่ยมทักษะ พรสวรรค์ของพวกเจ้าอ้วนชวีมิอาจเทียบเคียงกับเขาได้เลย
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเขาพอจะทำเป็นแล้ว จึงมาข้างๆ แล้วหยิบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน พร้อมกันนั้นก็ยกจานเนื้อย่างไปให้กับทุกคน
ในตอนแรกกัวเพ่ยเพ่ยก็ยังรู้สึกเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง แต่หลังจากกินเนื้อย่างไปคำหนึ่งแล้วนางก็เอร็ดอร่อยไปด้วยอย่างไม่สงวนท่าทีอีกต่อไป
คนตระกูลกัวคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้จึงพากันเข้ามากินเนื้อย่างอย่างไม่รักษาท่าทีอีก
“ในเวลาเช่นนี้จะขาดสุราชั้นยอดไปได้อย่างไรกันเล่า!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางหยิบสุราออกมาสิบกว่าไห แล้วโยนให้พวกเขาคนละไป ทุกคนรับไหสุรามาแล้วดื่มก่อนสองอึก
เป่ยกงถังมองดูซือหม่าโยวเย่ว์ที่ยืนกินเนื้อย่างอยู่ข้างๆ เจ้าคนผู้นี้สบโอกาสขี้เกียจเลยทีเดียว
กัวเลี่ยงเห็นคนอื่นๆ กินกันอย่างเปรมปรีดิ์จึงตะโกนว่า “พวกเจ้าเหลือเอาไว้ให้ข้าสักหน่อยล่ะ ข้ายังไม่ได้กินเลยนะ!”
เว่ยจือฉียิ้มแล้ววางไหสุราลง ก่อนจะมายังข้างกายกัวเลี่ยงแล้วเอ่ยว่า “ข้าทำเอง”
“เยี่ยมเลย” กัวเลี่ยงยกเนื้อย่างในมือให้เว่ยจือฉีแล้วมายังตำแหน่งที่เขาอยู่เมื่อครู่ ก่อนจะยกสุราที่เขาดื่มไปแล้วขึ้นมาเริ่มดื่มโดยไม่สนใจเลยว่าเป็นสุราที่เว่ยจือฉีดื่มไปแล้ว
โอวหยางเฟยก็ลุกขึ้นมาแล้วมาตรงหน้าเตาที่เป่ยกงย่างเนื้อพลางเอ่ยว่า “เจ้าไปพักสักหน่อยเถิด ข้าทำเอง”
“ได้เลย” เป่ยกงถังเองก็ไม่อยากย่างแล้ว จึงยกหน้าที่ให้กับโอวหยางเฟยแทน หลังจากนั้นก็มาตรงกลุ่มคน
“โยวเย่ว์ ข้าอยากกินโจ๊กเนื้อน่ะ” เป่ยกงถังไม่พอใจที่ซือหม่าโยวเย่ว์จากมาก่อนจึงเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์วางเนื้อย่างในมือลงก่อนจะหยิบจานชามหม้อไหออกมาเริ่มต้มโจ๊ก
ระยะหลังมานี้กินเนื้อย่างกันค่อนข้างบ่อย เธอจึงไม่อยากกินสักเท่าไหร่แล้วเช่นกัน ที่ทำในคืนนี้ก็เพราะสามหนุ่มนั่นอยากกินเท่านั้นเอง
กัวเลี่ยงมองอุปกรณ์เหล่านั้นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเอ่ยว่า “ของเหล่านี้เป็นอาวุธวิญญาณหมดเลยสินะ นำมาใช้ปรุงอาหาร จะต้องทำให้อาหารอร่อยขึ้นมากอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย!”
กัวเพ่ยเพ่ยส่งสายตาว่าเจ้าช่างโง่นักมาทางเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเคยเห็นว่ามีนักหลอมวัตถุหลอมอาวุธวิญญาณเหล่านี้ออกมาตั้งแต่เมื่อใดกันหรือ”
“ก็ถูกอยู่นะ!” กัวเลี่ยงลูบศีรษะแล้วเอ่ยว่า “นักหลอมวัตถุเหล่านั้นเย่อหยิ่งจองหองจะตาย ถ้าหากจะให้พวกเขาหลอมสิ่งของพรรค์นี้ คาดว่าคงถูกใส่ชื่อลงบัญชีดำไปตลอดกาล หรือนักหลอมวัตถุของดินแดนอี้หลินหลอมของเหล่านี้ออกมาขายด้วยเล่า โยวเย่ว์ พวกเจ้าไปซื้ออาวุธวิญญาณเหล่านี้มาจากที่ใดกันหรือ”
“นักหลอมวัตถุของพวกเราที่นั่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน แล้วจะหลอมสิ่งของพรรค์นี้ออกมาได้อย่างไรกันเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เช่นนั้นพวกเจ้าไปได้ของเหล่านี้มาจากที่ใดหรือ” กัวเลี่ยงถาม
“เจ้าอ้วนหลอมเองน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ใครใช้ให้เขาเป็นนักกินตัวยงเล่า จึงให้เขาหลอมของพวกนี้ขึ้นมาน่ะ”
เมื่อคนอื่นๆ ได้ฟังคำพูดของเธอแล้วก็พากันหัวเราะก่อนจะพูดว่า “คาดว่าเจ้าอ้วนคงจะเป็นนักหลอมวัตถุที่ไม่มีความทะเยอทะยานมากที่สุดแล้ว”
เจ้าอ้วนชวีไม่โกรธ เขายกไหสุราขึ้นดื่มแล้วเอ่ยว่า “อย่างข้านี่เรียกว่าเรียนแล้วรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ต่างหากเล่า นี่เป็นสิ่งที่โยวเย่ว์สอนข้า”
“เจ้าอ้วน เช่นนั้นเจ้าก็หลอมให้ข้าบ้างสิ” กัวเลี่ยงพูด “เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะต้องตอบแทนอย่างงามแน่นอน!”
“พอข้าว่างเมื่อใดจะหลอมให้เจ้าแล้วกันนะ” เจ้าอ้วนชวีไม่ปฏิเสธ
แต่พวกเขาเข้ามาเพื่อเสาะแสวงหาโอกาส แล้วจะมีเวลาว่างมากมายเสียที่ไหนกัน
“เจ้าอ้วน ก่อนหน้านี้เจ้าหลอมสิ่งใดไปบ้างหรือ” เว่ยจือฉีถาม
“ก่อนหน้านี้หรือ หยิบออกมาไม่ได้หรอก!” เจ้าอ้วนชวีพูด
เขามีหลักการเป็นอย่างยิ่ง ของที่หลอมไม่ดี จะหยิบออกมาให้ผู้อื่นดูได้อย่างไรกันเล่า
“เจ้ายังมีอีกหรือ เจ้าอ้วน!” กัวเลี่ยงมองเจ้าอ้วนพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ามีของที่หลอมเสร็จแล้ว เช่นนั้นก็นำมาขายให้พวกเราสิ ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาแล้วเจ้าไม่มีเวลาหลอมให้ข้า ข้าก็คงพลาดจากนักหลอมวัตถุอย่างเจ้าไปเสียแล้ว!”
เจ้าอ้วนชวีถูกกัวเลี่ยงรบเร้าอยู่นาน จึงหยิบอาวุธวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมา ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นถ้วยชามรามไห ยังมีพวกเตาย่างอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลอมขึ้นมาตอนที่หลอมให้กับซือหม่าโยวเย่ว์ เพราะรู้สึกว่าไม่ดีสักเท่าไรนัก ดังนั้นหลังจากที่ทักษะการหลอมวัตถุพัฒนาขึ้นในเวลาต่อมาแล้ว เขาจึงเริ่มต้นหลอมขึ้นมาใหม่
ด้วยเหตุนี้พวกซือหม่าโยวเย่ว์ยังเคยพูดเล่นกันว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ที่สักวันหนึ่งพวกเขาจะนำเอาอาวุธเทพมาทำอาหารกินกัน
กัวเลี่ยงเห็นอุปกรณ์เหล่านั้นแล้วก็ตื่นเต้นจนห้ามไม่อยู่ จับชิ้นนี้ ดูชิ้นนั้น พลางยิ้มจนปากแทบฉีกถึงใบหู
“เจ้าอ้วน ข้าต้องการอาวุธวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมดเลย เจ้าขายอย่างไรหรือ”
เจ้าอ้วนชวีส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ของเหล่านี้ ข้าไม่ขายหรอก”
เมื่อได้ยินว่าไม่ขาย กัวเลี่ยงจึงร้อนรนขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอ้วน เจ้าจะไม่ขายได้อย่างไรกัน! ไม่ได้สิ ถ้าหากเจ้าไม่ขายให้ข้า ข้าจะติดตามเจ้าไปตลอด กินนอนยืนเดินพร้อมกับเจ้าเลย!”
………………………………..
Comments