แม่ปากร้ายยุค 80 1142 อาผู่มาหาถึงบ้าน
ตอนที่ 1142 อาผู่มาหาถึงบ้าน
……….
ตอนที่ 1142 อาผู่มาหาถึงบ้าน
เมื่อเผชิญกับการลอบสังหารที่คาดเดาไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่อ่อนแอเลย แม้แต่ผู้ชายที่ตัวใหญ่ก็ยังหวาดกลัวและหดหู่
ไม่มีใครไม่มีเหตุผลใดที่จะกำหนดให้จางเสวี่ยฉุนรับผิดชอบในการพูดเรื่องเหตุการณ์สังหารหมู่ที่หนานจิงในโลกตะวันตก
แต่ผลลัพธ์ก็คือ จางเสวี่ยฉุนรู้สึกหวาดกลัวกับหูเซี่ยงหงตัวปลอมมาก จนสงสัยถึงความสามารถในการเชื่อใจผู้คน
นับตั้งแต่หูเซี่ยงหงมาหาหล่อนในฐานะผู้ช่วยส่วนตัว หล่อนก็ป่วยเป็นหวัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระนั้นกลับไม่เคยสงสัยหูเซี่ยงหงเลย
แต่หลินม่ายกลับสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพียงเพราะว่าหล่อนเป็นหวัดบ่อยครั้งหลังมาถึงหนานจิง
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จางเสวี่ยฉุนจึงสงสัยว่าเหตุใดหล่อนถึงโง่เขลาขนาดนี้
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากหลินม่าย หล่อนก็บ่นเรื่องไอคิวตัวเองอยู่นาน
แม้ว่าหลินม่ายจะปลอบใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้เรื่องดีขึ้น
จางเสวี่ยฉุนถึงกับพูดว่า “มีน้ำใจมากเกินไปก็กลายเป็นคนโง่~”
หลินม่ายไม่สามารถปลอบใจอีกฝ่ายได้ เธอจึงหยุดพูด
อีกด้านหนึ่งของสาย จางเสวี่ยฉุนรู้สึกสะเทือนใจมาก “ม่ายจื่อ เรารู้จักกันได้ไม่นาน แต่คุณกลับให้ความสนับสนุนฉันมาก ขอบคุณนะ! ฉันต้องเขียนหนังสือต่อไป ส่วนเรื่องกลัว แน่นอนว่าฉันทั้งกลัวและตื่นตระหนก ฉันมีพ่อแม่ที่ดี มีสามีที่รักฉันมาก และมีลูกชายที่น่ารัก ฉันอยากมีชีวิตอยู่บนโลกนี้นาน ๆ ยังไม่อยากตาย ถึงฉันจะกลัว แต่ก็ไม่อยากถอยกลับ ฉันไปเยี่ยมผู้รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ที่หนานจิงจำนวนมาก รับฟังเรื่องราวความจริงอันน่าสลดหดหู่ทีละเรื่อง แล้วเสียงในใจก็บอกกับฉันว่า ฉันไม่ควรพลาดโอกาสพูดแทนผู้ที่เสียชีวิตในการสังหารหมู่ที่หนานจิง และปล่อยให้พวกเขาตายอย่างเปล่าประโยชน์ได้ ฉันอยากให้ชาวตะวันตกและคนทั้งโลกรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานที่หนานจิงต้องเผชิญ!”
หล่อนหยุดเพื่อหายใจเข้าและพูดต่อ “ถ้าทุกคนกลัวความตาย คุณถอยกลับ และฉันก็ถอยกลับ แล้วใครจะเป็นคนบอกเรื่องราวให้ชาวตะวันตกเข้าใจประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าของจีน? เพื่อนร่วมชาติเหล่านั้นจะตายเปล่าได้อย่างไร!อย่างน้อย ผู้บุกรุกเหล่านั้นควรขอโทษผู้ตาย! อย่างน้อยก็ได้ขอโทษ และปล่อยให้เพื่อนร่วมชาติที่เสียชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ได้ตายอย่างสงบ”
เมื่อเห็นว่าหล่อนควบคุมอารมณ์ไม่ได้ หลินม่ายก็กังวลว่าหล่อนจะเป็นโรคซึมเศร้า เธอจึงรายงานเรื่องนี้ให้ผู้บังคับบัญชาทราบโดยการอ้างชื่อคุณปู่ฟาง
ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญอย่างยิ่ง และจัดให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบจางเสวี่ยฉุน
จางเสวี่ยฉุนไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า เพียงแต่หดหู่ใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้รับมอบหมายให้ควบคุมดูแลร่างกายและอารมณ์ของหล่อน
หลินม่ายจึงรู้สึกโล่งใจ
ไม่นานหลังจากที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกวาดล้างสมาชิกทั้งหมดขององค์กรเหยี่ยวดำในประเทศจีน ทานากะ เรียวโกะซึ่งเข้าใจผิดคิดว่าตนเองคือหูเซี่ยงหงก็ฆ่าตัวตาย
หล่อนตายอย่างน่าอนาถ ด้วยการโขกศีรษะกับกำแพงจนตาย
เมื่อพิจารณาจากอาการบาดเจ็บ หล่อนไม่ได้ตายด้วยการกระแทกครั้งเดียว แต่เป็นการกระแทกหลาย ๆ ครั้งจนตาย
ในครั้งสุดท้าย หล่อนใช้พละกำลังทั้งหมดกระแทกศีรษะกับกำแพงจนสมองไหลออกมา
เมื่อคุณย่าฟางได้รับข่าว นางก็ถอนหายใจและพูดว่า ระบอบทหารอันตรายเกินไป
แม้ว่าทานากะ เรียวโกะจะมาจากประเทศเกาะ แต่หล่อนยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง หากได้รับการศึกษาที่ดีหล่อนสามารถกลายเป็นบุคคลที่ไม่เป็นอันตรายต่อสังคมได้
แต่หล่อนได้รับการศึกษาจากองค์กรเหยี่ยวดำและกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร
คุณย่าฟางทำได้เพียงถอนหายใจกับเรื่องของทานากะ เรียวโกะ ก่อนจะเดินไปที่สวนหลังบ้านกับคุณปู่ฟางเพื่อปลูกผัก
…
ตั้งแต่รับการปลูกถ่ายผิวหนังและออกจากโรงพยาบาล หลินม่ายก็พักฟื้นอยู่ที่บ้าน ซึ่งกินเวลานานกว่าสองเดือน และในที่สุดเธอก็สามารถลุกจากเตียงลงมาเดินได้
ผิวหนังที่หัวเข่าตึงมาก จนทำให้เธอเดินเหมือนผีดิบ
แพทย์บอกว่าบริเวณปลูกถ่ายผิวหนังมีขนาดใหญ่เกินไป และตอนนี้เธอสามารถลุกจากเตียงได้เพียงวันละหนึ่งถึงสองชั่วโมงเท่านั้น
หลังจากสองเดือนจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่ยังคงเป็นการเดินเท่านั้น
หากต้องการออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น วิ่งหรือกระโดด ต้องรออย่างน้อยหนึ่งปี
เดิมทีหลินม่ายวางแผนที่จะถ่ายทำรายการอาหารอีกครั้งในอีกสองเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่การเดินของเธอไม่แข็งทื่ออีกต่อไป
รายการอาหารของเธอถูกระงับเนื่องจากเธอเข้ารับการปลูกถ่ายผิวหนัง ทำให้ทั้งเจ้านายใหญ่ของสถานีโทรทัศน์ไปจนถึงหัวหน้างานอย่างอาผู่ต่างก็กังวลอย่างมาก
ในที่สุดสถานีโทรทัศน์ขนาดเล็กแห่งนี้ก็โด่งดังขึ้นจากรายการอาหารของหลินม่าย แต่จู่ ๆ รายการก็ต้องถูกระงับ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับสถานีโทรทัศน์อย่างมาก
เจ้าหน้าที่ในสถานีโทรทัศน์ตั้งแต่บนลงล่างต่างให้ความสนใจกับอาการบาดเจ็บของหลินม่าย และหวังว่าเธอจะฟื้นตัวดีขึ้นโดยเร็ว
หลังจากได้รู้จากแพทย์ว่า หลินม่ายสามารถลุกจากเตียงแล้วเดินไปรอบ ๆ ได้สักหนึ่งหรือสองชั่วโมง อาผู่ก็มาเยี่ยมเธอพร้อมกับดอกไม้และผลไม้
เขาไม่ได้เจอหลินม่ายมาหลายเดือนแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะได้เจอเธอเร็ว ๆ นี้
เมื่อเขาเดินตามคนรับใช้ไปที่ห้องนั่งเล่นของบ้านหลินม่าย เขาเห็นเธอยืนอยู่ในชุดสีม่วงสง่างามและเอ่ยทักทายเขา
เขารู้สึกว่าเธอเป็นคนเดียวในโลกที่มีสีสันและมีเสน่ห์ดึงดูดใจ ส่วนคนอื่น ๆ ล้วนดูจืดชืด
หลินม่ายกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม เธอรับมันมาและมอบให้กับคนรับใช้ด้านข้าง
ขณะที่หลินม่ายเอื้อมมือออกมารับดอกไม้และผลไม้ อาผู่ก็สังเกตเห็นแหวนเพชรสีชมพูวงใหญ่บนมือของเธอ ทันใดนั้นอารมณ์ของเขาพลันหดหู่ในทันที
แทบไม่ต้องคาดเดา แหวนเพชรสีชมพูเม็ดใหญ่บนนิ้วเรียวของหลินม่ายคงมาจากสามีของเธอ
กลับกัน อย่างมากที่สุดเขามีปัญญาซื้อแหวนเพชรสีขาวหนึ่งกะรัตให้เธอเท่านั้น
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองแล้ว เขาจะแข่งขันกับสามีของหลินม่ายได้อย่างไร?
หลินม่ายรู้ว่าอาผู่มาที่นี่ด้วยเรื่องของงาน
ก่อนที่เขาจะมา อาผู่ได้โทรหาเธอหลายครั้งและถามเธอว่าจะเริ่มทำงานได้เมื่อใด
หลินม่ายตอบว่า อีกสองเดือนจะเริ่มทำงานได้อีกครั้ง แต่อาผู่ก็ยังมาหาเธอถึงหน้าประตู
หลินม่ายจึงพูดออกไปอย่างเถรตรงว่าถึงเขาจะมาหาถึงที่ก็ไร้ประโยชน์ เธอยังอยากพักผ่อนอีกสองเดือน
อาผู่กล่าวด้วยความกังวล “เราพักนานกว่านี้ไม่ได้แล้วครับ ขณะนี้มีสถานีโทรทัศน์อีก 2 แห่งที่ออกรายการอาหารที่คล้ายกับของเรา หากคุณไม่กลับมาทำงาน ความนิยมของคุณจะถูกแทนที่ด้วยสถานีโทรทัศน์ทั้งสองแห่งนั้น”
หลินม่ายไม่ชอบดูทีวีมากนัก และหากดู เธอจะดูรายการที่มีความรู้หรือได้ข้อมูล เธอไม่เคยดูรายการอาหารเลย
หลังจากได้ยินสิ่งที่อาผู่รายงาน เธอก็ลังเลว่าควรกลับมาทำงานต่อทันทีเลยดีหรือไม่
เธอไม่อยากถูกคนอื่นมาแทนที่ เช่นนั้นต่อไปเธอจะเผยแพร่หลูไช่รสเข้มข้นเหล่านั้นในรายการอาหารของเธอได้อย่างไร?
อาผู่เห็นว่าหลินม่ายถูกล่อลวงเล็กน้อย เขาจึงตีเหล็กในขณะที่ยังร้อนอยู่ โดยการเล่นวิดีโอสองรายการที่เลียนแบบรายการอาหารที่บ้านของเธอ
ไม่เพียงพิธีกรสาวชาวตะวันออกทั้งสองคนเท่านั้น ทรงผม เสื้อผ้า และเครื่องประดับของพวกหล่อนยังคล้ายคลึงกับหลินม่ายอีกด้วย
แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าอาหารที่พิธีกรทั้งสองทำนั้นอร่อยหรือไม่ แต่อาหารเหล่านั้นล้วนดูน่าอร่อย
หลินม่ายลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนตัดสินใจที่จะกลับไปทำงานต่อในสัปดาห์หน้า
อาผู่ดีใจมาก เดิมทีเขาอยากจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยเพื่อชื่นชมความงามของหลินม่ายอีกครั้ง
เวลานั้นทารกทั้งสี่ก็กลับมาพร้อมกับพี่เลี้ยงเด็ก
ทันทีที่พวกเขาเห็นหลินม่าย เด็กน้อยเหล่านั้นเหมือนเพนกวินตัวน้อย พวกเขาวิ่งเตาะแตะมาหาหลินม่ายและเรียกหาหลินม่ายด้วยเสียงอ้อแอ้
หลินม่ายหันไปสนใจเด็กฝาแฝดทั้งสี่ อาผู่เห็นแบบนั้นจึงขอตัวกลับ
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เหมยซือเห็นว่าอาผู่อารมณ์ดี หล่อนจึงชงกาแฟให้พวกเขาคนละแก้ว
เหมยซือถามด้วยรอยยิ้ม “ที่รัก ทำไมวันนี้คุณถึงดูมีความสุขจัง?”
คำถามนี้ทำให้อาผู่หยุดชะงัก
ทำไมเขาถึงมีความสุขขนาดนี้?
เป็นเพราะหลินม่ายกำลังจะกลับมาเริ่มงาน หรือเพราะการเจอหลินม่ายได้คลายความเจ็บปวดจากความรักในช่วงนี้กันแน่
เขาตอบ “เพราะรายการอาหารของผมจะกลับมาออกอากาศได้อีกครั้งในสัปดาห์หน้าน่ะ”
เหมยซือกล่าวแสดงความยินดีหลายครั้งติดต่อกัน ก่อนถามอย่างระมัดระวัง “เราจะจัดงานแต่งงานได้เมื่อไหร่คะ?”
เมื่อเห็นอาผู่นิ่งเงียบ หล่อนก็พูดเสริมว่า “คุณให้สัญญากับฉันไว้สามเดือนก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ก็ผ่านมาสี่เดือนแล้ว ฤดูร้อนกำลังจะกลายเป็นฤดูหนาวอีกครั้งแล้วนะคะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตัดใจเถอะหนุ่ม ม่ายจื่อมีสามีมีลูกห้าคนแล้วนะ นายก็แค่โดนความงามของเธอล่อลวง
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments