ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 965 แดนต้องห้าม (1)
บนเรือมีผู้โดยสารทั้งหมดสิบสี่คน ในนี้มีคนอ้วนวัยกลางคนโอบสาวสวย มีผู้ชายร่างสูงใหญ่กำยำสวมแว่นดำ มีคนเดินทางคนเดียวเหมือนเขา จากนั้นจึงเป็นผู้โดยสารธรรมดาที่อยู่เซ็งๆ แล้วออกมาเสี่ยงอันตรายสี่คนด้านหลังเขา
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา หยิบเยลลี่รสส้มห่อหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แล้วดูดกินช้าๆ
จากที่นี่ถึงส่วนลึกของเทือกเขาอันเมียร์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยมากกว่าสี่ชั่วโมง ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อน
หลังจากหลับตาพักผ่อนสักพัก ลู่เซิ่งก็ลุกไปห้องน้ำ
ข้างประตูห้องน้ำมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำสองคนยืนสูบบุหรี่และพูดคุยกันด้วยภาษาท้องถิ่นที่ฟังไม่เข้าใจ
ตอนลู่เซิ่งผ่านไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างพิกล ปากพูดอะไรสักอย่าง
ลู่เซิ่งไม่สนใจเขา เปิดประตูห้องน้ำ หลังเข้าไปจัดการปัญหาทางชีววิทยาเสร็จแล้ว ก็ล้างมือออกมา
พอดีเห็นเจย์ลาสาวสวยที่มีดวงตาเหมือนอัญมณีลุกขึ้นเดินมาทางนี้
ตอนผู้หญิงคนนี้นั่งอยู่ยังไม่มีความรู้สึกอะไร แต่พอลุกมาเท่านั้น พลันทำให้คนเห็นส่วนสะโพกที่งามงอนกับขายาวกลมกลึงตึงแน่นในยีนส์สีน้ำเงิน
เสื้อยืดสีดำที่รัดติ้วที่เธอสวม ขับส่วนหน้าอกอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีไขมันแม้แต่น้อย
สองขาเรียวยาวสมส่วน กางเกงยีนส์ยามแนบบนขาเหมือนผิวชั้นสอง รัดแน่นแม้กระทั่งขาท่อนปลาย ขับส่วนขาและส่วนสะโพกอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้คนอดคิดอยากยื่นมือไปบีบไม่ได้
แม้ว่าในเรือจะมีสาวสวยอีกหลายคน แต่ไม่มีใครสูงโปร่งและรูปร่างดีเท่าเธอ
ลู่เซิ่งเบี่ยงตัว สวนกับเธอ
ตอนที่เดินผ่านประตู ชายฉกรรจ์สองคนยังยืนโม้กันอยู่ที่เดิม พอเห็นเขาอีกครั้ง ชาญฉกรรจ์คนหนึ่งก็อดพูดบางอย่างไม่ได้ ทั้งสองแสดงสีหน้าแปลกพิกล
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไร ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่ากลางพวกเขา
“เขาบอกก้นคุณแน่นดี คงเล่นได้สักปี” เสียงผู้หญิงที่เย็นชาดังมาจากด้านหลังเขาอย่างแจ่มชัด
ลู่เซิ่งชะงักร่าง หันไปมองเห็นเจย์ลา คนพูดก็คือเธอนั่นเอง
หญิงสาวคนนี้ขยิบตาให้เขาอย่างหยอกเย้า
ชายฉกรรจ์สองคนนั้นทำท่าฟังไม่ออก คุยกันต่อไปโดยไม่สนใจ
“คุณจะทำยังไงล่ะ” เจย์ลาไม่เหลือความเย็นชาเหมือนเมื่อก่อนหน้าอีก มีแต่ความเจ้าเล่ห์กับความใคร่รู่ที่วาววับในดวงตา
เธอสวย เซ็กซี่ อกนูนก้นงอน มีผิวอย่างชาวตะวันออก และมีใบหน้าอย่างคนตะวันตก ตอนมหาวิทยาลัยเพิ่งเปิดเทอม มีหลายคนที่ส่งจดหมายรักและดอกไม้ให้เธอ
แต่ว่า…
จนกระทั่งถึงตอนนี้ เธอยังไม่เคยมีแฟนมาก่อน
ไม่ใช่เพราะเหตุใดอื่น นอกจากไม่มีใครรับเธอได้สักคน
เนื่องจากเจย์ลาที่ได้รับการเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก ฝึกฝนเครื่องดนตรีตั้งแต่เล็กๆ ภายนอกจึงดูสง่างดงาม
แต่ภายในกลับเป็นมารร้ายของแท้
สิ่งที่เธอชอบดูที่สุด คือพวกผู้ชายต่อยตีกันเพื่อหาผู้ชนะต่อหน้าเธอ และพวกผู้หญิงที่ทำตัวต่ำต้อยคอยประจบเอาใจเธอ
อย่างเช่นตอนนี้ พอนั่งบนเรือมาสักพัก เธอที่เบื่อหน่ายอยู่บ้างก็เริ่มหาเรื่องแล้ว
ครั้งนี้ที่มาเที่ยว เดิมทีเธอคิดจะตามจีบหนุ่มหล่อผมทองเบน แต่เบนที่ได้ยินกิตติศัพท์มารร้ายของเธอมาก่อน จงใจนั่งห่างๆ กับเธอ
แม้แจ๊คกับเฌอมานน์ที่อยู่ตรงกลางจะไม่กล้าหาเรื่องเธอ แต่เบนเป็นเพื่อนสนิทของพวกเขา ย่อมต้องปกป้องอีกฝ่าย
นี่ทำให้เจย์ลาไม่พอใจ
มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าขัดใจเธอซึ่งมีชาติตระกูลโดดเด่นตั้งแต่เด็ก แต่แจ๊คกับเฌอมานน์ไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้ต่อต้านเธอตรงๆ หากแต่มักทำเนียนไม่ให้เธออยู่กับเบนตามลำพัง
นี่มันน่าขยะแขยงจริงๆ
แต่เจย์ลาไม่มีที่ให้ระบาย
ดีที่ตรงหน้ามีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเหมือนกันมาพอดี ความหล่อระดับนั้น ต่อให้เป็นเธอก็เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก
หน้าตาดีกว่าหนุ่มหล่อในมหาวิทยาลัยเยอะ
เผอิญที่ไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์ เธอจึงเกิดความคิดแกล้งคน
“พวกเขาอยากทำมิดีมิร้ายคุณนะ” เจย์ลามองลู่เซิ่งที่ทำท่าเฉยๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มต่อไป
ลู่เซิ่งพิจารณาเธอ จากนั้นก็มองชายฉกรรจ์ทั้งสองคน ก่อนจะหมุนตัวกลับที่นั่งตัวเองโดยไม่ได้พูดอะไร
อนุมานจากมุมมองด้านจิตวิทยา ชายฉกรรจ์สองคนนั้นน่าจะตกใจเพราะรูปลักษณ์ของเขา คล้ายจะเอาไปเปรียบเทียบกับใครสักคน
ไม่ได้หยามเขาอย่างที่เจย์ลาพูด
พอกลับถึงที่นั่ง เขาก็หันไปมองน้ำในแม่น้ำด้านนอก รอแล่นไปถึงที่หมายต่อ
“สถานที่ที่เรากำลังจะไป เป็นต้นแม่น้ำรกร้างตอนหนึ่งในเทือกเขาอันเมียร์ ที่นั่นมีจระเข้กินคนที่ดุร้ายที่สุด ยุงดูดเลือดขนาดเท่านิ้ว ยังมีแมลงมีพิษกับพืชที่มีพิษร้ายแรงและอันตรายนับไม่ถ้วน”
เจ้าของเรือสีดำถือลำโพงประกาศให้ทุกคนฟัง
“ที่แห่งนั้นมีชื่อที่ไพเราะว่าไซโม อีกเดี๋ยวตอนลงจากเรือ ผมหวังว่าทุกคนจะใช้เวลาสามวันอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัยและสุขสบาย บ่ายสองของสามวันต่อจากนี้ ผมจะมารับทุกคนขึ้นเรือที่นั่น”
จากนั้นเจ้าของเรือสีดำก็เริ่มบรรยายมาตรการด้านความปลอดภัยกับเรื่องที่ต้องระมัดระวังในป่า
ลู่เซิ่งฟังไปด้วย ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่างไปด้วย
คนที่ไม่สนใจเรื่องความปลอดภัยเหมือนเขายังมีอีกหลายคน ในนี้รวมถึงเจย์ลา
พวกเบนกับเฌอมานน์ข้างตัวเจย์ลาต่างก็จดข้อมูลอย่างจริงจัง มีแต่เธอเท่านั้นที่ผุดสีหน้าราบเรียบ ไม่ขยับเขยื้อน
พอเจ้าของเรือบอกทุกอย่างเสร็จ ก็แจกน้ำหอมไล่แมลงให้แต่ละคน ก่อนจะออกจากห้องโดยสารไป
เวลาเที่ยง หลังกินอาหารเที่ยงที่เจ้าของเรือมอบให้ บวกกับผลไม้และของว่าง ในที่สุดทุกคนก็มาถึงสถานที่ที่ชื่อซีโมซึ่งอยู่กลางเทือกเขาอันเมียร์ที่เอ่ยถึงก่อนหน้า
ที่ท่าเทียบเรือมีพ่อค้าแม่ค้าไม่น้อยผลักรถเข็นมารอ นอกจากนี้ยังมีเรืออีกสองลำจอดเทียบท่า คล้ายจะขนผู้โดยสารลงเรือไปก่อนแล้ว
เจ้าของเรือสีดำตะโกนพร้อมกับบังคับเรือหาที่จอดเทียบ จากนั้นก็คล้องเชือก ถอนสมอ แล้วพาดกระดานข้ามเรืออย่างคุ้นเคย
ผู้โดยสารในห้องโดยสารเริ่มลุกขึ้นลงจากเรือ
คนสวนใหญ่ที่อยู่ที่นี่เตรียมตัวไว้แล้ว แบกเป้ขนาดต่างๆ หยิบน้ำหอมไล่แมลงออกมาฉีดพรมลงบนตัว
จากนั้นก็ข้ามกระดานไม้ขึ้นไปบนท่าเรือ
ลู่เซิ่งลงจากเรือพร้อมกับสองมือว่างเปล่า อยู่บนท่าเรือเหลียวมองรอบๆ
ที่นี่มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ คนส่วนหนึ่งจับกลุ่มออกมาจากป่าที่อยู่ไกลออกมา เร่งรุดมาทางด้านนี้
ในนี้ยังเห็นขบวนที่เหมือนกับกลุ่มสำรวจ ซึ่งสวมปลอกแขนแบบเดียวกันไว้ด้วย
พอพวกเขาขึ้นฝั่ง ก็พากันยืดเหยียดแขนขา
ลู่เซิ่งหยิบแผนที่ออกมาดู เดินไปถึงหน้าป้ายประกาศที่ทำจากไม้อยู่ด้านข้าง ตรวจสอบกับแผนที่ที่ติดอยู่ด้านบน
พวกเบนกับแจ๊คใช้โทรศัพท์ถ่ายแผนที่บนป้ายเช่นกัน จากนั้นก็ยืนศึกษาเส้นทาง
“ที่นี่…ซับซ้อนไปหน่อยนะ…” แจ๊คซึ่งไหว้หนวดจิ๋มหวาดๆ อยู่บ้าง
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเราหาไกด์พื้นเมืองได้ จ่ายหนักๆ หน่อยก็ใช้ได้แล้ว” เฌอมานน์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาสี่คนไม่ใช่คนขาดเงิน
ลู่เซิ่งดูแผนที่ที่ ก่อนจะเดินไปยังป่ารกสีดำที่อยู่สุดชายหาด
ที่นั่นมีเส้นทางที่ถูกคนเหยียบย่ำให้ใช้เดินได้
พอเข้าไปในป่ารก เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นเยียบที่กระจายไปทั่วร่าง
สามารถเห็นหมอกสีดำจางๆ แผ่พุ่งในอากาศได้อย่างเลือนราง บดบังแสงที่นี่ไปไม่น้อย
เขามุ่งหน้าต่อไปโดยไม่หยุดฝีเท้า ตรงไหนมีกลิ่นอายมารมายาเข้มข้น เขาจะไปยังทิศทางนั้น
หลังเดินไปราวๆ สิบกว่านาที ปลายถนนด้านหน้าก็มีรั้วลวดหนามโผล่มา
บนรั้วมีเถาวัลย์สีเขียวเข้มงอกอยู่อย่างแน่นขนัด เถาวัลย์พวกนี้มีหนามแหลมอยู่เต็มไปหมด รอบๆ เป็นแมลงมีพิษกลุ่มใหญ่ที่บินหึ่งๆ บินวนเวียนอยู่รอบดอกไม้ที่มีกลิ่นเหม็นฉุน
ทุกระยะของตาข่ายลวดหนามจะมีป้ายปักอยู่ บนป้ายใช้สีแดงวาดเป็นรูปหัวกะโหลกขนาดใหญ่ บนหัวกะโหลกยังวาดกากบาทสีขาวอันใหญ่เติมลงไปด้วย
ลู่เซิ่งค้นหาตามทางอยู่สักพัก ไม่นานก็เจอทางเข้าที่ใช้เข้าไปได้ใกล้ๆ ทางเข้าคือประตูเหล็กขึ้นสนิมจนพัง ชายหนุ่มเปิดประตู แล้วสาวเท้าเข้าไป ไม่นานเงาก็หายลับไปกลางป่ามืดครึ้มรกทึบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง บนเส้นทางเล็กๆ ด้านหลังลู่เซิ่งก็ปรากฏเงาร่างของพวกเบนกับเจย์ลา
“ที่นี่ไม่น่าจะเข้าไปได้นะ” เฌอมานน์กล่าวอย่างไม่แน่ใจ
“เมื่อครู่ฉันใช้กล่องส่องทางไกลเห็นผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านหน้าเราเข้าไปแล้ว ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก” เจย์ลาเอ่ย “พวกเธอมาหาความตื่นเต้นไม่ใช่เหรอ พอเจอจริงๆ ดันกล้าๆ กลัวๆ ไม่ยอมเข้าไป”
เธอเดินเข้าไปดึงประตูเหล็ก ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
อีกสามคนจนใจ ได้แต่ติดตามไปด้วย
“คนที่อยู่ด้านหน้าเคลื่อนที่เร็วมาก น่าจะเคยมาที่นี่ พวกเราพยายามเดินตามเขา อาจจะเจอสถานที่ที่น่าสนุกก็ได้ ไม่ใช่ที่เก่าๆ อย่างที่เราเคยไป” เจย์ลาเดินไปด้วยพูดไปด้วย
“ถ้าเราใช้เส้นทางก่อนหน้า ก็ได้แต่ไปเดินเล่นเท่านั้น มีแต่สถานที่ที่ไม่มีใครเคยไปมาก่อนแบบนี้ ถึงจะได้เจอของน่าสนุก” เจย์ลาอธิบาย
สามคนที่เหลือมาหาความตื่นเต้นอยู่แล้ว ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ต่างกระชับเป้ตามติดไปอย่างตื่นเต้น
บนภูเขาที่ห่างจากลู่เซิ่งมากกว่าร้อยเมตร
คนที่เหมือนกับหมอกดำสิบกว่าคนมองทิศทางที่ลู่เซิ่งมุ่งหน้าไป
“ที่นี่เป็นอาณาเขตขุมกำลังของราชันเทพอีกองค์ พวกเราจะไปต่อไหม” หมอกดำกลุ่มหนึ่งถามเสียงเบา
“คำสั่งของนายท่าน คือปณิธานของพวกเรา”
หมอกดำที่เป็นผู้นำเอ่ยเสียงทุ้ม
“ไปเถอะ”
มันบินนำหน้า พริบตาเดียวก็หายไปกลางอากาศ
หมอกดำรูปร่างคนอีกสิบกว่ากลุ่มพากันลอยไปด้านหน้า แล้วหายไปจากหน้าผาทันที
…
แซ่ก...แซ่ก...
ลู่เซิ่งเดินกลางพุ่มหญ้าเขตร้อนอย่างระมัดระวัง
บนพื้นเต็มไปด้วยรากไม้หยาบใหญ่ที่โผล่มาด้านนอก เฟิร์น พุ่มไม้ ตะใคร่น้ำกระจายเต็มก้อนหิน รากไม้ และลำต้น
พื้นที่สูงต่ำไม่เท่ากัน มีแมลงมีพิษหลายชนิดปรากฏเป็นระยะ บ้างก็แอบหมอบอยู่บนเปลือกไม้จนมองไม่เห็น
ลู่เซิ่งคำนวณระยะทาง หมอกดำที่เห็นในดวงตาหนาขึ้นเรื่อยๆ
บนคาคบบางจุดจะเห็นใบหน้าคนซีดขาวแวบผ่านความมืดได้อย่างรางๆ
และจะเห็นแมงมุมขนาดยักษ์ที่มีหน้าดั่งภูตผีงอกอยู่บนแผ่นหลัง สานใยพิษอย่างเงียบๆ อยู่บนต้นไม้ได้เป็นบางครั้ง
……………………………………….
Comments