แม่ปากร้ายยุค 80 1150 ชาวผิวดำคนหนึ่ง
ตอนที่ 1150 ชาวผิวดำคนหนึ่ง
……….
ตอนที่ 1150 ชาวผิวดำคนหนึ่ง
“อย่าแม้แต่จะคิด” ฟางจั๋วหรานปฏิเสธทันที
หลินม่ายถามด้วยความงุนงง “ทำไมล่ะคะ?”
“จางเสวี่ยฉุนเป็นพลเมืองอเมริกัน หากหน่วยงานระดับสูงของจีนส่งบุคลากรที่เกี่ยวข้องมาปกป้องหล่อน ซีไอเอไม่รู้คงไม่เป็นไร แต่ถ้าพวกเขารู้มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ หากจางเสวี่ยฉุนถูกตั้งข้อหาจารกรรม พวกเขาไม่เพียงไม่ช่วยเหลือ แต่จะทำร้ายหล่อนด้วย”
หลินม่ายถามด้วยความกังวล “แล้วเราควรทำอย่างไรดี?”
ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ผมจะขอให้ลุงฝูจัดบอดี้การ์ดให้กับคุณจางแล้วกัน”
หลินม่ายเห็นด้วย เพราะนี่เป็นวิธีเดียวในขณะนี้
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา จางเสวี่ยฉุนโทรหาหลินม่ายด้วยความตื่นเต้น
หล่อนได้ติดต่อกับสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งแล้ว ประธานสำนักพิมพ์นั้นได้อ่านหนังสือ “หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง” และตกลงที่จะตีพิมพ์
หล่อนพูดอย่างมีความสุขทางโทรศัพท์ “ตอนคุณมารับฉันที่สนามบิน คุณบอกจะเลี้ยงฉลองเนื้อปักเป้าเพื่อเฉลิมฉลองให้หนังสือ ‘หายนะที่ถูกลืมของสงครามโลกครั้งที่สอง’ ที่เสร็จสมบูรณ์แล้วไม่ใช่เหรอ? ไปวันนี้แทนที่จะกินวันอื่นเถอะ เราไปกินด้วยกันนะ”
หลินม่ายยิ้มและตอบตกลง แต่เธอไม่อยากไปร้านปักเป้าเพื่อกินเนื้อปลาปักเป้า
จางเสวี่ยฉุนถามด้วยความสับสน “ทำไมล่ะ?”
หลินม่ายพูดว่า “ฉันเกรงว่าจะมีคนจงใจแล่ปลาปักเป้าพลาดไปถูกเส้นพิษและทำให้เราโดนพิษ แบบนั้นเราจะทำอย่างไร?”
เธอจำเป็นต้องพูดคำเหล่านี้ออกไป เพื่อให้จางเสวี่ยฉุนระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น
จางเสวี่ยฉุนพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นหรอก เชฟที่ปรุงปลาปักเป้าพลาดจนทำให้ลูกค้าโดนพิษจะต้องติดคุก ไม่งั้นเราก็ขอให้เชฟชิมอาหารก่อนเสิร์ฟได้นี่ เชฟจะได้ไม่กล้ามีเจตนาไม่ดี”
หลินม่ายพูดว่า “คุณมองโลกในแง่ดีเกินไป หากเชฟแล่ปลาปักเป้าสองตัว ตัวหนึ่งแล่อย่างดีและไม่มีพิษเลย ส่วนอีกตัวไม่ได้ตั้งใจแล่และทิ้งพิษไว้มากมาย ตอนที่จัดจานก็แค่แยกชิ้นที่มีพิษไว้ส่วนหนึ่ง และไม่มีพิษไว้อีกส่วน พอเชฟกินให้ดู เขาก็จะคีบส่วนที่ไม่มีพิษ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะไม่เป็นอันตรายใด ๆ แต่เราจะไม่รู้เลยว่าส่วนไหนมีพิษ ส่วนไหนไม่มีพิษ ถ้าเรากินส่วนที่มีพิษเข้าไป เราจะไม่ถูกพิษถึงตายหรอกหรือ”
จางเสวี่ยฉุนเหงื่อแตกพลั่กเมื่อได้ยินเรื่องนี้ “มันคงเสี่ยงเกินไปที่จะไปทานอาหารข้างนอก ถ้าอย่างนั้นเราไปกินอาหารที่โรงแรมหยวนไหลของคุณดีกว่า”
กว่าครึ่งชั่วโมงต่อมา หลินม่ายมาถึงโรงแรมหยวนไหลพร้อมกับบอดี้การ์ดที่เตรียมไว้สำหรับจางเสวี่ยฉุน
จางเสวี่ยฉุนมาถึงที่โรงแรมก่อนแล้ว
หลินม่ายตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่าย “ทำไมหน้าคุณถึงซีดเซียวขนาดนี้ล่ะ?”
จางเสวี่ยฉุนอธิบายว่า “วันนั้นที่ลานจอดรถของสนามบินฉันขวัญเสียมาก พอกลับมาฉันก็มีไข้สูง และใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย ฉันก็เลยดูซีดเซียวอย่างที่เห็น”
หลินม่ายยื่นเมนูที่พนักงานเสิร์ฟนำมาให้จางเสวี่ยฉุน “ทำไมคุณไม่บอกฉันล่ะว่าคุณป่วย?”
“มันไม่ได้ร้ายแรงอะไร จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอก”
จางเสวี่ยฉุนเคยมาโรงแรมหยวนไหลของหลินม่ายครั้งหนึ่งพร้อมกับครอบครัว หล่อนชอบทอดมันปลา ลูกชิ้นไข่มุก และอาหารอื่น ๆ ของโรงแรมมาก
หล่อนไม่กินอาหารเผ็ด อาหารที่มาเสิร์ฟเหล่านั้นจึงไม่เผ็ด นอกจากนี้ยังชอบเบคอนจีนอีกด้วย
จางเสวี่ยฉุนสั่งอาหารสามจานและซุปหนึ่งชาม แต่ก็หยุดไป
มีคนกินกันแค่สองคน อาหารสามจานและซุปหนึ่งอย่างอาจจะมากเกินไป
หลังจากสั่งอาหารแล้ว จางเสวี่ยฉุนสังเกตเห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหลินม่าย
หล่อนถามหลินม่ายว่า “ทำไมคุณไม่ขอให้เพื่อนนั่งลงล่ะ?”
เธอขอให้บอดี้การ์ดนั่งลงแล้วแนะนำเขากับจางเสวี่ยฉุนให้รู้จักกัน
หลินม่ายยังบอกจางเสวี่ยฉุนด้วยว่า ชายคนนี้เป็นบอดี้การ์ดฝีมือดีที่จ้างมาให้เธอ
เขาสามารถขับรถ ยิงปืน และต่อสู้ได้
จางเสวี่ยฉุนยิ้มแห้ง “ฉันอยู่ในอันตรายขนาดนั้นที่ต้องมีบอดี้การ์ดเลยเหรอ?”
“ระวังไว้ก่อนก็ดีนะ”
จางเสวี่ยฉุนยอมรับน้ำใจของหลินม่าย แต่ขอจ่ายเงินเดือนบอดี้การ์ดด้วยตัวเอง
หลินม่ายและจางเสวี่ยฉุนกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และหลินม่ายก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินของอีกฝ่ายบ้างแล้ว
ก่อนหน้านี้จางเสวี่ยฉุนเคยตีพิมพ์หนังสือหลายเล่ม ซึ่งขายดีทุกเล่ม
นอกจากนี้หล่อนยังเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์หลายฉบับและมีรายได้ต่อเดือนค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้หล่อนสามารถจ่ายเงินค่าจ้างบอดี้การ์ดเองได้
หลินม่ายเพียงต้องการสนับสนุนและทำบางอย่างเพื่อหล่อนจริง ๆ กระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่ทำได้ นอกจากจ้างบอดี้การ์ดให้
หลินม่ายโบกมือปฏิเสธ “ไม่จำเป็นหรอก ยังไงฉันก็ยังเป็นเศรษฐินี มันไม่ทำได้ให้ขนหน้าแข้งของฉันร่วงหรอก”
คำพูดของเธอไม่ใช่การคุยโม้โอ้อวด ไม่ต้องพูดถึงการทำเงินมากกว่า 300 ล้านเหรียญสหรัฐจากการซื้อขายหุ้น เธอยังทำเงินได้จำนวนมหาศาลจากธุรกิจจัดเลี้ยงแบบเรียบง่าย
แม้ว่าเธอจะไม่ร่ำรวยเท่าเศรษฐีที่ไม่แสดงตัวอย่างฟางจั๋วหราน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดผิดแปลกหากจะเรียกตัวเธอว่าเศรษฐินี
เมื่อจางเสวี่ยฉุนรับฟังสิ่งที่หลินม่ายพูด หล่อนก็ไม่ปฏิเสธความมีน้ำใจของอีกฝ่าย
ทั้งสองคุยกันอย่างมีความสุขขณะรับประทานอาหารเย็น
หลินม่ายกระซิบถาม “ว่าแต่ได้รับค่าตีพิมพ์เท่าไหร่เหรอ?”
“ห้าหมื่นดอลลาร์สหรัฐ” จางเสวี่ยฉุนตอบกลับด้วยความตื่นเต้น
รอยยิ้มแข็งค้างปรากฏบนใบหน้าหลินม่าย
ยุคนี้ต้นทุนการตีพิมพ์ค่อนข้างสูง นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากจางเสวี่ยฉุนที่เคยตีพิมพ์หนังสือหลายเล่มที่มียอดขายดีอยู่แล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะขายได้ไม่ดีนัก
ลิขสิทธิ์ของผู้เขียนใหม่สามารถขายได้ในราคาอย่างน้อยหลายแสนดอลลาร์ ยิ่งไปกว่านั้นจางเสวี่ยฉุนยังเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียง แต่หล่อนกลับได้รับเงิน 50,000 ดอลลาร์สำหรับหนังสือเล่มนี้ ซึ่งไม่รวมการทำงานหนักของหล่อน
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะพึมพำ “มันเป็นเพียงเงินจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น”
จางเสวี่ยฉุนอธิบายว่า “ยังมีค่าคอมมิชชันการขายสำหรับหนังสือทุกเล่มที่ขายได้ ฉันจะได้รับค่าคอมมิชชัน 1%”
เธอพูดต่อ “ฉันยินดีทำแม้จะได้รับเพียงเพนนีเดียวจากหนังสือเล่มนี้ ตราบใดที่มันช่วยให้ชาติตะวันตกเข้าใจประวัติศาสตร์อันขมขื่นและเปิดโปงการกระทำชั่วร้ายของผู้รุกรานได้ เช่นนั้นก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว”
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ จางเสวี่ยฉุนบรรจุลูกชิ้นไข่มุกและลูกชิ้นปลาส่วนหนึ่ง โดยบอกว่าพ่อแม่ของเธอชอบพวกมันมาก จึงขอซื้อกลับไปฝากพวกเขา
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่จางเสวี่ยฉุนถูกชายผิวขาวยิงปืนเปล่าใส่ หลินม่ายก็ค่อนข้างระวังตัวมากขึ้น
เมื่อเธอและจางเสวี่ยฉุนเดินไปที่รถของตัวเอง หลินม่ายสังเกตเห็นชายผิวดำคนหนึ่งเดินตรงไปหาจางเสวี่ยฉุน
ในระยะห่างเพียงสิบเมตร ชายผิวดำก็ยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อ
นี่มันท่าชักปืนชัด ๆ!
หลินม่ายกระโจนใส่จางเสวี่ยฉุนให้หมอบลงพื้นไปพร้อมกัน
ในเวลาเดียว บอดี้การ์ดที่ติดตามพวกเขาและแจ็คบอดี้การ์ดของหลินม่ายก็ชักปืนออกมาอย่างรวดเร็วและหันกระบอกปืนไปทางชายผิวดำ
ชายผิวดำเห็นว่าตนเองแค่หยิบขวดวิสกี้ออกมาจากอ้อมแขน แต่กลับมีปืนหลายกระบอกเล็งมาที่ตัวเอง เขาตกใจมากจนปล่อยขวดวิสกี้ตกลงพื้นแตกกระจายเสียงดัง
ทันใดนั้น อากาศพลันอบอวลไปด้วยกลิ่นของวิสกี้
ชายผิวดำยกมือขึ้นในอากาศและตะโกนด้วยความหวาดกลัว “อย่ายิง! อย่ายิงผมเลย! ผมจะไม่ดื่มอีกแล้ว!”
บอดี้การ์ดทั้งสองคนมองดูหลินม่ายที่เพิ่งลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกัน
หลินม่ายพยักหน้าเล็กน้อย
จากนั้นบอดี้การ์ดทั้งสองจึงลดปืนลง
แจ็คตะคอกใส่ชายผิวดำ “ไปให้พ้น!” ก่อนที่ชายคนนั้นจะวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วเหมือนกระต่ายตื่นตูม
หลินม่ายบอกกับแจ็ค “ขับรถตามเขาไป และคอยสอดแนมดู!”
แจ็คขึ้นไปบนรถทันที และเหยียบคันเร่งติดตามชายผิวดำเงียบงัน
จากนั้นหลินม่ายหันกลับมามองจางเสวี่ยฉุนที่ล้มไปพื้นด้วยกันเมื่อครู่ เธอเห็นว่าอีกฝ่ายมีรอยขีดข่วนมากมายบนหน้าผากและแก้ม จึงต้องการพาจางเสวี่ยฉุนไปตรวจสุขภาพที่คลินิกเล็ก ๆ กระนั้นจางเสวี่ยฉุนกลับปฏิเสธ
จางเสวี่ยฉุนพูดด้วยรอยยิ้ม “ก็แค่รอยขีดข่วนเล็กน้อย ฉันกลับไปทายาที่บ้านก็ได้”
จางเสวี่ยฉุนตบแขนของอีกฝ่าย “ม่ายจื่อ ผ่อนคลายลงเถอะ อย่ากังวลนักเลย”
แต่หลินม่ายไม่คิดว่าตนเองระแวงเกินกว่าเหตุ
เธอเพียงยิ้มและตอบตกลง
ทันทีที่หลินม่ายกลับถึงบ้าน ฟางจั๋วหรานก็เห็นว่าบนใบหน้าของเธอมีรอยขีดข่วน
ทว่ามันเล็กมากและมีเพียงไม่กี่ขีด หากไม่สังเกตให้ดีก็แทบมองไม่เห็นเลย
กระนั้นฟางจั๋วหรานยังคงยืนกรานที่จะให้เธอทายาด้วยสีหน้าจริงจัง และถามว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ ต่างก็หันมองหลินม่ายเช่นกัน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เรื่องใหญ่แล้วสิเนี่ย ชีวิตมีแต่เรื่องตื่นเต้นตลอดเวลาเลย เผลอแปบเดียวก็คือมีสิทธิ์โดนเก็บง่ายๆ
ไหหม่า(海馬)
……….
เ
Comments