Blue Moon The Last Hope 3 The Lamb [ลูกแกะ]
แม้แต่เด็กอย่างเรเชลก็สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวจากสิ่งที่ยืนอยู่เบื้องหลังเธอ ความรู้สึกเย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็งกัดกินเธออย่างช้าๆ หัวใจเธอเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกจากอก
ทันใดนั้น ความเป็นจริงรอบตัวเธอเปลี่ยนไป
หมู่บ้านที่เธอยืนอยู่เมื่อครู่หายวับไป กลายเป็นทุ่งร้างที่มีเพียงหมอกหนาปกคลุม ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็พบแต่ความว่างเปล่า
“ที่นี่… ที่ไหนกัน?” เรเชลพึมพำเสียงเบา ร่างกายของเธอสั่นจากความกลัว ดวงตากวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาสิ่งใดที่คุ้นเคย แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า
เสียงหัวเราะแหลมต่ำดังขึ้นจากทุกทิศทาง เสียงนั้นราวกับมีหลายคนหัวเราะพร้อมกัน แต่กลับกลมกลืนเป็นเสียงเดียว
“ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนของข้า…” เสียงปริศนาดังขึ้นช้าๆ ทว่าเต็มไปด้วยความเย็นเยือก
เรเชลก้าวถอยหลังอย่างระแวดระวัง เสียงในหัวของเธอ—Void—ดังขึ้นพร้อมกับความเยือกเย็นที่เป็นเอกลักษณ์
“[แค่ความกลัวเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เธอสั่นขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่ผ่านความตายมาแล้วแท้ๆ]”
“มันไม่เหมือนกัน…” เรเชลตอบกลับด้วยเสียงที่ยังสั่นไหว
“ที่นี่มัน… แปลกเกินไป เหมือนจะโดนกลืนกินไปทั้งตัว”
Void หัวเราะเบาๆในหัว “[สาวน้อย เธอบอกว่าจะปกป้องน้องสาวไม่ใช่หรือไง? แล้วแบบนี้จะไหวรึเปล่า?]”
คำพูดของ Void แทงเข้าไปที่หัวใจของเรเชล ทำให้เรเชลกัดฟันแน่น เธอสูดลมหายใจลึก พยายามบังคับตัวเองให้สงบ
—
หมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ ปกคลุมทุกสิ่งจนเรเชลแทบมองไม่เห็นแม้แต่เท้าของตัวเอง เสียงปริศนายังคงดังต่อ
“นักเดินทางผู้น่ารัก หายากเสียจริง…” เสียงนั้นแฝงไปด้วยความสนุกสนานแต่กลับฟังดูน่าขนลุก
“นายเป็นใครกันแน่?” เรเชลถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ฉันเป็นใครงั้นหรือ?” เสียงนั้นหัวเราะ “ถ้าฉันบอก เธอก็อาจจะหนีไปเสียก่อนสิ… แต่ว่าฉันมีของขวัญให้เธอนะ ก่อนที่เธอจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ ฉันจะเล่านิทานให้ฟัง”
เรเชลขมวดคิ้ว “นิทาน? ทำไมต้องเป็นนิทาน?”
Void กล่าวขึ้นในหัวของเธอทันที “[ฟังไปก่อนสาวน้อย นิทานนั่นอาจจะบอกอะไรบางอย่างที่เราต้องการก็ได้]”
————————-
นิทาน: ลูกแกะแห่งการสังเวย
เสียงปริศนาเริ่มเล่านิทานด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุก
“<กาลครั้งหนึ่ง เคยมีหมู่บ้านของแกะอยู่ที่นึง แม้ทั้งหมู่บ้านจะเป็นแกะก็ตาม แต่แกะทั้งหมู่บ้านนั้นเชื่อฟังรูปปั้นพูดได้ที่ใจกลางหมู่บ้านอย่างไร้ข้อกังขา>”
“<โดยที่หมู่บ้านนั้นมีประเพณีที่จะจัดทำขึ้นทุกคืนจันทร์เต็มดวง มันคือการสังเวยแกะ1ตัวเพื่อแลกกับความสุขชั่วคืน ของแกะทั้งหมู่บ้าน>”
“<โดยที่แกะทุกตัวนั้นมองว่ามันคือของขวัญจากรูปปั้น โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีแกะหายไป1ตัวทุกๆจันทร์เต็มดวง>”
“<แต่วันหนึ่ง ก็ได้มีลูกแกะตัวหนึ่ง ได้สังเกตว่ามีแกะบางตัวหายไปในวันที่พระจันทร์เต็มดวง>”
“<มันจึงได้ออกตามหาแกะตัวนั้น แต่ก็ไม่พบแม้แต่ร่องรอย>”
“<แล้วเวลาก็ผ่านไปจนลูกแกะใกล้ที่จะโตเต็มวัยแล้ว>”
“<แต่ตอนนี้ไม่มีแกะเหลืออยู่ในหมู่บ้านเลย เจ้าลูกแกะรู้ดีว่ามันต้องเป็นเพราะรูปปั้นแน่ๆ แล้วในที่สุดเจ้าลูกแกะก็ต้องหายไปเหมือนแกะตัวอื่นๆ>”
“<แต่กระนั้นเจ้าลูกแกะก็พยายามฝืนโชคชะตา เจ้าลูกแกะอยากจะทำลายรูปปั้นนั้น แต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากมันเป็นแค่ลูกแกะธรรมดาตัวหนึ่ง>”
“<เมื่อวันที่พระจันทร์เต็มดวงใกล้เข้ามาถึง เจ้าลูกแกะดันเจอกับแกะที่เคยหายไปตัวนั้น>”
“<มันได้แต่สงสัยว่าทำไมแกะตัวนั้นถึงยังอยู่ทำไมถึงไม่หายไป>”
“<แต่ในที่สุดเจ้าลูกแกะก็ได้รู้ความจริงว่าแกะตัวนั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนตัวของมันเอง เป็นภาพสะท้อนของทั้ง อดีต และ อนาคต>”
“<ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงมาถึงนั้นเอง ก่อนที่เจ้าลูกแกะจะถูกทำให้หายไป>”
“<มันเลือกสังเวยแกะที่เป็นภาพสะท้อนของมันเองและอายุขัยของตัวมันเอง ให้กับจันทร์เต็มดวง เพื่อแลกกับพลังที่จะทำลายรูปปั้นนั่นได้>”
“<เจ้าลูกแกะได้กลายเป็นปีศาจแกะขนาดใหญ่แล้วจึงทำลายรูปปั้นลงได้สำเร็จ>”
“<แต่แกะที่หายไปก็ไม่อาจหวนคืน เจ้าลูกแกะได้เฝ้ารอคืนที่จันทร์เต็มดวงจะมาถึง>”
“<ในคืนที่จันทร์เต็มดวงมาถึงเจ้าลูกแกะได้สังเวยทุกสิ่งในหมู่บ้านเพื่อที่จะฟื้นคืนให้กับแกะที่เป็นภาพสะท้อนของมันเอง>”
“<แม้แกะตัวนั้นจะกลับมาได้สำเร็จ แต่เจ้าลูกแกะก็ได้สิ้นอายุขัยลง>”
“<และเมื่อเจ้าลูกแกะได้ตายลงภาพสะท้อนตัวมันเองก็ได้หายไปเช่นกัน>”
“<เศษเสี้ยวความรู้สึกมากมายของลูกแกะที่มีต่อโชคชะตา มันได้ก่อตัวขึ้นมาแล้วดูดกลืนจิตวิญญาณรอบข้างทั้งหมดมาไว้ที่มัน>”
“<ในตอนนี้เจ้าลูกแกะ ได้กลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์ และมันยังสามารถควบคุมจิตวิญญาณโดยรอบได้อย่างอิสระ>”
“<มันจึงสร้างหมู่บ้านจอมปลอมขึ้นมาแล้วชักใยทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านเรื่อยมา แล้วรอคอยวันที่ผู้มาเยือนได้มายันหมู่บ้านของมันเรื่อยมา..>”
———————-
เมื่อเสียงเล่านิทานจบลง ทุกอย่างกลับเงียบงัน เรเชลมองไปรอบๆ แต่ไม่พบอะไรที่เปลี่ยนแปลง
“นิทานนั้น…” เรเชลพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“มันบอกอะไรฉันกันแน่?”
Void ตอบเสียงเรียบ “[หมู่บ้าน…รูปปั้น…การสังเวย และภาพสะท้อน มันคือกุญแจในการไขปริศนานี้]”
“ภาพสะท้อน?” เรเชลถามอย่างสงสัย
ทันใดนั้น เธอเห็นเงาของตัวเองปรากฏขึ้นในหมอก เงานั้นดูเหมือนเธอทุกอย่าง แต่กลับยืนอยู่ด้วยท่าทางเย็นชาและดวงตาที่ว่างเปล่า
“นั่น…” เรเชลมองมันด้วยความตกตะลึง
Void อธิบาย “[นั่นแหละคือภาพสะท้อนของเธอ มันคือตัวตนอีกด้านหนึ่งของเธอ ทั้งความกลัว ความลังเล และความสิ้นหวัง ถ้าเธอไม่สามารถเผชิญหน้ากับมัน เธอจะไม่มีวันออกไปจากที่นี่ได้]”
เงาของเรเชลเริ่มขยับ มันไม่ได้พูดอะไร แต่เพียงแค่จ้องมองเธอด้วยสายตาที่ไร้อารมณ์ ทว่ากลับแฝงไปด้วยบางสิ่งที่กดดันจนเรเชลแทบยืนไม่อยู่
“ฉันต้องทำอะไรกับมัน?” เรเชลถามเสียงสั่น
“[เธอต้องเผชิญหน้ากับมัน สาวน้อย เธอจะต้องเข้าใจมัน เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือสิ่งที่เธอต้องสังเวยเพื่อก้าวต่อไป]”
“…จะให้สังเวยตัวเองเหรอ?”
“ไม่ไหวๆสังเวยตัวเองเนี่ยก็ไม่ได้ต่างจากตายเลยสิ”
Void ตอบเสียงนิ่ง “[บางครั้ง การก้าวข้ามอดีตหรือความกลัวก็เหมือนการทำลายตัวตนเก่าเพื่อสร้างตัวตนใหม่ขึ้นมา]”
“[แต่ก็ไม่ทั้งหมดเธอไม่จำเป็นต้องสังเวยตัวเองหรอก แต่เป็นสังเวยภาพสะท้อนของเธอต่างหาก]”
เรเชลสูดลมหายใจลึก มองภาพสะท้อนตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความลังเล
เรเชลนั้นไม่ยอมสังเวยตัวเองหรืออดีตและอนาคตอย่างแน่นอน
ถ้าสังเวยตัวเองไปก็ตาย ถ้าสังเวยอดีตตลอดเวลาที่อยู่กับซิลเวียมาก็จะหายไป ถ้าสังเวยอนาคตก็ไม่สามารถไปต่อได้
เธอนั้นไม่ได้มีทางเลือก สิ่งเดียวที่เธอสังเวยได้คือ ภาพสะท้อนตัวของตัวเธอที่อ่อนแอ ก้าวข้ามตัวเองแล้วเดินหน้าต่อไป จะไม่ทิ้งสิ่งใด
—
ภาพสะท้อนของเรเชลยังคงยืนเงียบ มันเหมือนกับกำลังรอให้เธอเป็นฝ่ายเริ่ม เรเชลรู้ว่าเวลาของเธอมีจำกัด ก่อนที่ตัวเธอจะสลายกลายเป็นกลุ่มก่อนจิตวิญญาณ
“เอาล่ะ…” เรเชลพูดออกมา “เกมของเธอฉันจะรับคำท้าไว้หละนะ..เรเชล”
เสียงหัวเราะของปีศาจดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เสียงมาจากภาพสะท้อนของเรเชลเหมือนกับว่ามันควบคุมร่างนั้นอยู่
“ฉันจะรออยู่ที่หมู่บ้านแล้วกันนะ” หลังจบประโยคนั้นร่างภาพสะท้อนของเรเชลก็ได้หายไป
ในตอนนี้เรเชลพยายามที่จะออกตามหาหมู่บ้านท่ามกลางหมอกหนาแม้จะยากลำบากแต่ก็ต้องทำ
เนื่องจากสภาพพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยรวมเข้ากับสภาพแวดล้อมที่มองไม่เห็นอะไรนอกจากหมอก ทำให้เรเชลก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหมู่บ้าน
“นี่voidในนิทานมันไม่มีอะไรเกี่ยวกับหมอกหนาเลยหนิ เราทำอะไรกับมันได้บ้างมั้ย”
ในเมื่อในนิทานไม่มีอะไรเกี่ยวกับหมอก ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีหมอก เรเชลคิดแบบนั้น
voidพูดขึ้นมาเหมือนกับว่ากำลังรอให้เรเชลถามอยู่
“[แน่นอนว่าเรากำจัดหมอกพวกนี้ได้ ก็ควบคุมจิตวิญญาณไง]”
เรเชลรู้สึกราวกับว่าvoidรอคอยคำถามอย่างใจจดใจจ่อเธอเลยตัดสินใจถามออกไป
“แต่ว่านะถึงควบคุมจิตวิญญาณได้แต่ก็ไม่สามารถลบจิตวิญญาณได้หนิ”
และก็เหมือนดั่งที่เรเชลคาดเอาไว้voidรอคอยคำถามจากเรเชลอยู่จริงจริง และvoidจึงได้ตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
“[ถึงลบไม่ได้แต่เราทำให้มันเบาบางลงได้ยังไงหละ]”
“[ลองจินตนาการแบบว่าจับอะไรสักอย่างอยู่แล้วบีบให้มันเล็กลงหนะ]”
“[แต่ไม่ใช่แค่จินตนาการหรอกนะเธอต้องมองลึกเข้าไปในจิตใจตัวเองแล้วลองดึงสิ่งที่เหมือนเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ข้างใน สิ่งนั้นแหละคือจิตวิญญาณ]”
เมื่อได้ยินดังนั้นเรเชลก็ได้ลองทำดูถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็พอจับจุดได้
“จะลองดูแล้วกันนะถ้าทำไม่ได้ก็อย่ามาทำหน้าผิดหวังให้เห็นหละ..ถึงจะไม่เห็นหน้าเธอก็ตามเถอะ”
เรเชลพูดออกมาเหมือนจะเหน็บแนมแต่นํ้าเสียงของเธอก็เปลี่ยนไปเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไงก็มองไม่เห็นหน้าของvoidอยู่ดี
เรเชลได้ลองทำตามที่voidบอก เธอได้หลับตาลงและมองลึกเข้าไปในจิตใจของตัวเองดึงเอาเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่
และเมื่อเธอดึงเปลวไฟนั้นเรเชลก็สัมพัสได้ถึงจิตวิญญาณที่มีอยู่รอบๆตัว จิตวิญญาณพวกนั้นคือหมอก เธอได้บีบอัดจิตวิญญาณพวกนั้นให้เล็กลง
“ทำได้แล้วหละ! มันได้ผล!”
เรเชลรู้สึกดีใจที่ทำได้ในครั้งแรก และเธอรู้สึกได้ว่าvoidนั้นกำลังภูมิใจอยู่
แต่ก็ไม่ได้มีเวลามาดีใจตอนนี้หมอกเบาบางลงแล้ว แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ตอนนี้ก็มองเห็นภูมิประเทศรอบๆตัวได้แล้ว
เรเชลยังคงตามหาหมู่บ้านต่อไปแต่ว่าช้าไม่ได้เวลานั้นมีจำกัด ก่อนที่ตัวเธอสลายกลายเป็นกลุ่มก้อนจิตวิญญาณ
เรเชลนั้นเดินเท้ามาได้พักนึงแล้วและในตอนนี้เธอก็ได้เจอเงาบางสิ่ง
“นั้นมัน!..เจอแล้ว!”
#########
Writer Note :
อันตัวข้านั้นบิดมาแล้ว1สัปดาห์เต็มๆ
แต่ยังไงก็ขอตัดตรงนี้เลยแล้วกันนะ Ahahahaha
Writer Note 2.0 :
นิทานลูกแกะ อันตัวข้านั้นได้แรงบรรดาลใจมาจากนิทานที่อันตัวข้าได้เคยรับฟังมา และนำมาดัดแปลงซึ่งจะเกี่ยวข้องกับ Writer Note 3.0
Writer Note 3.0 :
[ เรเชล ° Rachel ° Raḥel ° רָחֵל ] มีความหมายว่า แกะ[แกะตัวเมีย] และ บริสุทธิ์[ผู้บริสุทธิ์]
และยังมีความหมายว่า ความกล้าหาญ อีกด้วย
Comments