เซียนหมากข้ามมิติ 517 บุญคุณเท่ามอบชีวิตใหม่
ตอนที่ 517 บุญคุณเท่ามอบชีวิตใหม่
……….
บนหินผาเหลืองเกิดรอยแยก ภายในปราณวิญญาณแข็งแกร่งขึ้นต่อเนื่อง ลมภูเขาเปี่ยมปราณวิญญาณมากมายพัดเข้าอารามเทพภูเขา หมุนวนรอบหินผาเหลือง บนพื้นดินยิ่งมีวิญญาณปฐพีรวมตัวเข้าหินผาเหลืองไม่หยุด สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือกลิ่นอายปราณพิภพที่ตามวิญญาณปฐพีมา
ตอนนี้สือโหย่วเต้ายังไม่มีความรู้สึกอะไร แต่เมื่อปราณวิญญาณภายในหินผาเหลืองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ การรับรู้เริ่มฟื้นคืนกลับมาทีละน้อย
ท่ามกลางความมืดมิดสือโหย่วเต้าได้ยินเสียงเพลงขับขานรางๆ คล้ายธรรมชาติสรรสร้างสะท้อนก้องเนิบช้า
ความมืดภายในจิตรับรู้กำลังถดถอยทีละน้อย ความมีสีสันเพิ่มขึ้นมาช้าๆ
“ตื่นเถิด ตื่นเถิด สหายยุทธ์สือ ควรตื่นแล้ว!”
เสียงจี้หยวนดังมา ท่ามกลางความพร่าเลือนโดยรอบมีแสงสว่าง สีสันเปลี่ยนแปลงโดยพร้อมเพรียงกลายเป็นทิวเขาสดชื่น นี่คือภาพเขตแดนของผู้ฝึกปราณแจ้งมรรคซึ่งวิวัฒน์ใหม่อีกครั้ง
แคร่ก… แคร่ก…
เศษหินฝุ่นผงร่วงกราวไม่หยุด บนหินผาเหลืองเปล่งแสงอร่ามเลือนราง จากนั้นเส้นแสงค่อยเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนขึ้นมา หรือกล่าวว่าคุณสมบัติของหินผาเหลืองเปลี่ยนเป็นพร่ามัว ดูคล้ายคนมากขึ้นเรื่อยๆ
สุดท้ายแสงสว่างถดถอย หินผาเหลืองบนพื้นกลายเป็นภูตซึ่งเศษหินมากมายติดเต็มตัว เป็นสือโหย่วเต้านั่นเอง
ภูตขยับเล็กน้อย เหยียดกายปรับท่าจากการขดตัว ลืมตารับเส้นแสงของโลกภายนอกใหม่อีกครั้ง
“สหายยุทธ์สือ ควรตื่นแล้ว”
เสียงจี้หยวนดังขึ้นอีกครั้ง ความทรงจำก่อนหน้านี้ของสือโหย่วเต้าแล่นผ่านสมองไม่หยุด ตั้งแต่มีจิตวิญญาณกลายเป็นภูต กระทั่งฝึกปราณกลางป่าเขา ภายหลังเจอผู้สูงส่งมอบหมายหน้าที่เฝ้าปีศาจ สุดท้ายค่อยมาถึงช่วงเสี่ยงอันตราย
เหตุการณ์ชวนประหวั่นตอนท้ายทำให้สือโหย่วเต้าตกใจจนตัวสั่น ความมึนงงและความเลือนรางในใจหายไปชั่วพริบตา ฟื้นคืนสติกลับมาทันที
“ขะ ข้าไม่เป็นไรหรือ”
สือโหย่วเต้าลุกขึ้นมา เขามองสองมือก่อนมองหน้าหลัง ทั้งยังลูบศีรษะกับข้อต่อแขนขาของตนเอง ไม่มีอะไรขาดหายไป จากนั้นค่อยตบตัวเองสองทีเต็มแรง
“ฮ่าๆๆๆ… ข้าไม่เป็นไร! ข้าไม่เป็นไรจริงด้วย! ฮ่าๆๆๆ!”
สือโหย่วเต้าดีใจจนร่ายระบำ เผ่ามนุษย์ถือว่ามีจิตวิญญาณแต่เกิด แต่สำหรับสือโหย่วเต้า การกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเปี่ยมความรู้สึกคือศุภโชคครั้งใหญ่ ถือเป็นโอกาสหายากยิ่ง
จี้หยวนมองพลางแย้มยิ้มอยู่ด้านข้าง พวกมังกรเฒ่าที่เห็นสือโหย่วเต้าเกิดใหม่อย่างอึ้งงันถูกความรู้สึกตอนนี้ดึงดูดไม่น้อย ทยอยลูบเคราหัวเราะขึ้นมา
“หึๆๆ…”
“ยินดีด้วยสหายยุทธ์สือ!”
“ไม่เลว”
ครานี้สือโหย่วเต้าค่อยดึงสติกลับมา เห็นจี้หยวนกับขอทานชรา รวมถึงผู้สูงส่งแปลกหน้าอีกสามคน เขาดีใจจนร้องไห้ทันที คุกเข่าตรงหน้าจี้หยวนพลางโขกหัวคารวะ
ตึง… ตึง… ตึง… ตึง…
“ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยข้าๆ มอบหนทางฝึกปราณใหม่ บุญคุณเทียบเท่าบิดามารดา ข้าน้อยยอมเป็นบริวารท่านเซียน เชื่อฟังคำสั่งท่านเซียนชั่วกาล!”
ตึง… ตึง… ตึง… ตึง…
สือโหย่วเต้ายังจำเสียงจี้หยวนได้ ตอนนี้ในใจรวมถึงป่าเขาบนโลกภายนอกยังมีลำนำมรรคสะท้อนก้องรางๆ แม้ว่ากำลังแผ่วเบาช้าๆ แต่ย่อมเป็นท่านเซียนจี้อย่างไม่ต้องสงสัย ตอนนี้เขาตื่นเต้นจนโขกหัวไม่หยุด ซาบซึ้งด้วยใจจริง ทั้งนับถือความสามารถของเซียนจนหมอบกราบกับพื้น
แม้ว่าตอนนี้กลางอารามเทพภูเขามีผู้สูงส่งห้าคน แต่สือโหย่วเต้ามั่นใจว่าเป็นจี้หยวน
พวกมังกรเฒ่ามองหน้ากัน เทพภูเขาคนนี้หาทางเก่งนัก หากทำเรื่องนี้สำเร็จ ย่อมตอบแทนบุญคุณพร้อมทะยานขึ้นที่สูง ไม่ ควรพูดว่าทะยานขึ้นเหนือเมฆ
จี้หยวนยื่นมือประคองสือโหย่วเต้า ทำให้เขาไม่อาจโขกศีรษะต่อ จากนั้นค่อยออกแรงเบาๆ ประคองเขาขึ้นมา
“สหายยุทธ์สือโปรดลุกขึ้น”
เมื่อสือโหย่วเต้าลุกขึ้นมา ความรู้สึกซึ่งเดิมตื่นเต้นฮึกเหิมผ่อนคลายลง เขามองสภาพแวดล้อมโดยรอบ ที่แท้ก็เป็นอารามเทพภูเขาของตน เขามองรูปปั้นเทพภูเขาตามจิตใต้สำนึก สภาพผุพังชวนประหวั่นนั่นสอดคล้องกับจุดจบของตนก่อนหน้านี้ เขาทอดถอนใจเหลือคณาทันที
“ฝึกปราณยาก ฝึกการแจ้งมรรคยากยิ่งกว่า ทำไมบนโลกถึงมีมารร้ายมากเช่นนี้ สิ่งล่อลวงมากนัก หนทางการฝึกปราณไหนเลยจะมีทางลัด มุ่งตรงโดยไม่แจ้งมรรค หนทางข้างหน้าสุดท้ายคือทางตัน!”
จี้หยวนมองรูปปั้นเทพภูเขาพังทลาย สายตาหันกลับมามองสือโหย่วเต้าตัวเตี้ยค่อมอีกครั้ง
“อ้อมบ้างย่อมอยู่รอด โดนกำราบควรหยัดตรง หลุมบ่อต้องเติมเต็ม ทรุดโทรมก่อเกิดใหม่ ครั้งนี้ผ่านพ้นจากเคราะห์ตาย สหายยุทธ์สือจิตกระจ่างเห็นแจ้งแล้วกระมัง”
สือโหย่วเต้าประสานมือคารวะจี้หยวนอีกครั้ง ทั้งคารวะผู้สูงส่งสี่คนโดยรอบ
“ข้าน้อยหยั่งรู้เพิ่มขึ้นมาก!”
ขอทานชราพยักหน้าเล็กน้อย วาดมือผ่านรูปปั้นเทพภูเขาด้านข้างเบาๆ เศษหินเหลืองกับดินโคลนบนพื้นเลียบฐานแท่นบูชาขึ้นไปทีละน้อย จากนั้นค่อยเลียบรูปปั้นเทพขึ้นไปด้านบน ผ่านไปครู่หนึ่งรูปปั้นเทพซึ่งซ่อมเสร็จปรากฏกลางอาราม
“แบบนี้ค่อยเหมาะสมกว่า”
“ขอบคุณท่านเซียน”
ขอทานชราโบกมือเล็กน้อย
“อย่าเลย ไม่ต้องเกรงใจ วิธีการของข้าเทียบกับลำนำมรรคเมื่อครู่ของท่านจี้แล้วไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง”
แน่นอนว่าทั้งสี่คนอยากรู้วิธีการเมื่อครู่ของจี้หยวนมาก แต่ทราบว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาขอคำชี้แนะ
จูหยวนจื่อที่อยู่ด้านข้างมองเทพภูเขาพลางเอ่ยถาม
“สหายยุทธ์สือ แม้ว่าท่านรวมตัวกับปราณพิภพโดยสมบูรณ์ แต่มีรากฐานเป็นเทพภูเขา ปีศาจพวกนั้นจับตัวท่านอย่างไร”
เทพภูเขาเจ้าที่โดยเฉพาะภูตบรรลุเทพซึ่งเกิดจากฟ้าดิน ยามหลบใต้ดินในเขตการปกครองตนจะหลอมรวมเข้ากับพื้นดิน ถ้าไม่มีวิชาพิเศษย่อมหาตัวพวกเขายากมาก จากคำอธิบายของจอมพลังเกราะทองก่อนหน้านี้ แม้ว่ามารปีศาจพวกนั้นมรรควิถีไม่ตื้นเขิน แต่ยังไม่ถึงขั้นจับตัวเทพภูเขาซึ่งตั้งใจหลบซ่อนโดยง่าย
“สถานที่ซึ่งข้าน้อยซ่อนตัวถูกพวกเขาหาเจออย่างแม่นยำ ตอนนี้คิดดูแล้ว น่าจะเป็นข้าแพร่งพรายบอกปีศาจจิ้งจอกแปดหางนั้นโดยไม่ตั้งใจ ข้าน้อยก่อกรรมเอง… ทำให้ผนึกถูกทำลาย ปีศาจหลบหนี ขออภัยท่านเซียนทั้งสอง ข้าน้อยยินดีรับโทษ”
จี้หยวนส่ายหัวเล็กน้อย
“ข้าคนแซ่จี้เคยบอกท่านแล้ว อย่าเชื่อถูซือเยียน บทเรียนครั้งนี้มากพอแล้วกระมัง”
“ข้าน้อยนึกเสียใจภายหลัง… จริงสิ ใต้เท้าขุนพลเทพ เขา… เป็นอย่างไรบ้าง”
ได้ยินว่าสือโหย่วเต้ายังเป็นห่วงจอมพลังเกราะทองอยู่บ้าง จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย
“เขาสบายดี ดีกว่าท่านเมื่อก่อนหน้านี้มาก ในเมื่อท่านฟื้นแล้ว ภายหน้าเดินทางไปแจ้งสำนักปรมาจารย์ต้าซิ่วเองก็พอ พวกเราควรไปแล้ว”
สือโหย่วเต้าได้ยินแล้วอยากพูดแต่หยุดปากไว้ มองพวกจี้หยวนออกจากอารามเทพภูเขา ติดตามพลางกัดฟันกล่าวออกมา
“เซียนจี้ ข้าน้อยยินดีเชื่อฟังคำสั่งท่านเซียนชั่วกาล!”
จี้หยวนหันกลับมามองเขา พยักหน้าพลางตอบกลับ
“ฝึกปราณกลางป่าเขาดีๆ อย่าเดินผิดทาง ภายหน้าค่อยพบกันใหม่”
พวกมังกรเฒ่ามองภูตตัวจ้อยคนนี้อย่างลุ่มลึกคราหนึ่ง ประสานมือให้สือโหย่วเต้าเหมือนจี้หยวน จากนั้นค่อยจากไปพร้อมสายลมเย็น
สือโหย่วเต้ายืนหน้าประตูอารามเทพภูเขา ค้อมตัวคารวะตลอด ต่อให้พวกจี้หยวนจากไปแล้วก็ยังไม่เก็บมือเนิ่นนาน
เซียนจี้ไม่บอกว่าเห็นชอบ แต่ก็ไม่ปฏิเสธโดยตรง ตอนนี้ในใจสือโหย่วเต้าไม่ได้นิ่งสงบเหมือนภายนอก
กระทั่งท้องฟ้ามืดแล้ว มีเสียงคนกับเสียงฝีเท้าดังมารางๆ แต่ไกล คราวนี้สือโหย่วเต้าค่อยเก็บมือ โฉบเข้าใต้ดินหายลับไป
บนทางเขามีคนของครบมือหกคนกำลังเดินมาทางอารามเทพภูเขา มีคนแบกตะกร้าไผ่ มีคนถือทวนพาดคันธนู กาน้ำกับงอบถือว่าจำเป็น ภายในตะกร้าไผ่ยังมีเชือกกับเสียมด้วย
เมื่อเห็นอารามเทพภูเขาปรากฏในสายตา ชายหนุ่มคนหนึ่งในขบวนตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“ท่านลุง ข้างหน้าคืออารามเทพภูเขาแล้ว!”
“อืม เดินเร็วหน่อย ฟ้าจะมืดแล้ว”
คนอื่นต่างกระปรี้กระเปร่าเช่นกัน
“ดียิ่งนัก ในที่สุดก็ได้พักแล้ว!”
“ไปๆ เดินเร็วหน่อย!”
พวกเขากุมของบนหลังแน่น รีบเดินไปทางอารามเทพภูเขา ชายหนุ่มคนนั้นเดินอยู่ข้างหน้า เมื่อมาถึงหน้าอารามเทพภูเขา เขาถือทวนเคาะประตูไม้สองสามครั้งจนเกิดเสียงดังตึงๆๆ นี่คือหลักการเดียวกับแหวกหญ้าให้งูตื่น เกรงว่ามีสัตว์ป่าในอาราม การเข้าไปทันทีอาจทำให้พวกมันตกใจโดยง่าย
เมื่อเห็นว่าภายในอารามไม่มีการตอบสนองอะไร ชายอายุมากที่ถูกชายหนุ่มเรียกว่าท่านลุงค่อนข้างกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ!”
พวกเขาเปิดประตูอารามเข้าไปด้านใน สิ่งสะท้อนเข้าสู่สายตาก่อนก็คือรูปปั้นเทพภูเขา
“โอ้! ท่านเทพภูเขา!”
“โอ้!”
“รูปปั้นเทพภูเขา ปกติแล้ว?”
รูปปั้นเทพภูเขาที่เดิมพังทลายน่ากลัวยิ่ง กลางคืนหากมีแสงไฟส่อง ใบหน้าบุบสลายเหมือนผีร้าย แต่ตอนนี้ภายใต้แสงสลัวก่อนฟ้ามืด สีหน้ารูปปั้นเทพภูเขานิ่งสงบราบเรียบ สิ่งสำคัญคือบนตัวไม่มีรอยแตกแม้แต่น้อย
“ท่านเทพภูเขา… แสดงอภินิหารแล้ว…”
“ท่านลุง ข้าพูดว่าเหมือนได้ยินเสียงเพลงไม่ใช่หรือ ท่านยังคลางแคลงว่าข้าขู่ขวัญ ตอนนี้คิดว่าเป็นเทพภูเขาร้องเพลงแน่! นั่นไม่ใช่เสียงของคนธรรมดาโดยสิ้นเชิง!”
“เป็นไปได้ๆ มัวนิ่งอึ้งทำไม จุดธูปไหว้เทพภูเขาสิ!”
“ใช่ๆๆ”
พวกเขาหยิบธูปหอมออกมาจากตะกร้าบนหลังเป็นพัลวัน ใช้ตะบันไฟก่อกองไฟก่อน จากนั้นค่อยจุดธูปหอมเริ่มกราบไหว้
บนยอดเขาห่างไกล สือโหย่วเต้าปรากฏตัว รับรู้ถึงแรงปรารถนากำยานซึ่งไม่ได้สัมผัสมานาน มองอารามซึ่งมีตัวแทนเทพภูเขาของเขาอยู่ แน่นอนว่าดีใจอยู่บ้าง แต่สภาวะจิตต่างจากก่อนหน้านี้ ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดนัก คล้ายมองอะไรออกท่ามกลางความนิ่งสงบ แต่กลับบอกไม่ถูก
“นี่อาจเป็นจิตกระจ่างเห็นแจ้งที่เซียนจี้บอกกระมัง…”
ตอนนี้กลางนภาทางเหนือของเขาลาดชัน พวกจี้หยวนจากเขาลาดชันไปไกลแล้ว เหยียบสายลมเย็นเหาะเหินกลางอากาศ หันกลับมามองทางเขาลาดชัน สีหน้าจี้หยวนคล้ายครุ่นคิด ภายในแขนเสื้อมายาหมากตัวหนึ่งวาบผ่าน ทั้งกลายเป็นหมากขาว
……….
Comments