ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส 12 นารุมิ อุชิโอะ

Now you are reading ผมได้ตกหลุมรักเธอผู้มองไม่เห็น ในค่ำคืนอันโปร่งใส Chapter 12 นารุมิ อุชิโอะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

 

เมื่อถึงเวลา ผมเป่านกหวีดยาวสามครั้งเพื่อส่งสัญญาณเรือเฟอร์รี่ ‘ฮิบิกิ’ ออกเรือ

แม้ยามอัสดง แสงตะวันยังคงสาดส่องอยู่สูงบนฟากฟ้า ท้องทะเลกว้างใหญ่สีครามทอดยาวสุดสายตา มองเห็นชัดจากห้องควบคุมของกัปตัน

หลังจากผมเรียนจบพร้อมประกาศนียบัตรระดับสามของวิชาชีพการเดินเรือที่ได้มาระหว่างเรียน ผมได้เข้าทำงานกับบริษัทเดินเฟอร์รี่ในประเทศ ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวเลือกของ “กลุ่มคนล้มเหลว” ในสายตาของเพื่อนร่วมรุ่น แต่ด้วยประสบการณ์สิบกว่าปีในตำแหน่งนักเดินเรือ เมื่อผมย่างเข้า 40 ผมก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นกัปตันเรือเต็มตัว

ในขณะเดียวกัน เพื่อนร่วมรุ่นที่เลือกเดินเข้าเส้นทางเดียวกัน ต่างได้เป็นกัปตันเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ล่องเรือไปมหาสมุทรทั่วโลก หรือเรียกกันว่า “กลุ่มดาวเด่น” ซึ่งได้รับเงินเดือนสูงกว่าผมประมาณ 3 เท่าตัว และทุกครั้งที่เจอกัน พวกเขาก็จะเล่าประสบการณ์เรื่องราวของท้องทะเลที่ผมไม่เตยรู้มาก่อนอย่าง ช่องแคบนี้แคบแค่ไหนเอย น่านน้ำนี้มีโจรสลัดชุกชุมอยู่นะเอย ในทางกลับกัน ผมรู้แค่การเดินเรือในช่องแคบคัมมงระหว่างยามากุจิ-คิวชู ที่กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางตามน้ำขึ้น-ลง ด้วยเหตุนั้นผมจึงได้แต่นั่งเงียบฟังที่พวกเขาพูด

คณะเดินเรือที่ผมจบมารับนักศึกษาใหม่ปีละ 40 คนและในช่วงปีที่สอง ก็จะถูกแบ่งออกเป็นสองสาย คือสายฝึกปฏิบัติบนเรือกับสายวิศวกรรมเดินเรือ โดยมีเพียงสายฝึกปฏิบัติบนเรือเท่านั้นที่สามารถได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นคนเดินเรือได้ ด้วยเหตุนี้ แม้บางคนจะมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักเดินเรือ แต่ก็อาจถูกจำกัดด้วยผลการเรียน

ในบรรดานักศึกษาทั้งหมด ผมถือเป็นหนึ่งในคนที่มีผลการเรียนโดดเด่นที่สุด หลายคนคาดหวังว่าผมจะได้งานในบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ

ดังนั้น พอมีข่าวว่าผมจะเข้าทำงานในบริษัทท้องถิ่นแพร่ออกไป จึงสร้างความประหลาดใจให้เพื่อนร่วมชั้นไม่น้อย บางคนถึงกับเยาะเย้ยว่าผมสมัครงานไม่ผ่าน แต่พอผมอธิบายว่านี่เป็น ‘ความตั้งใจ’ พวกเขาก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ พร้อมกับพยายามโน้มน้าวผมด้วยจุดเด่นบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ เงินเดือนเยอะเอย ได้เที่ยวต่างประเทศเอย อย่างไรก็ตาม ผมทำเพียงยิ้มรับแล้วปล่อยผ่านไป

ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงที่ผมเลือกงานกับบริษัทแค่นี้ก็เพราะ พี่ชายของผมป่วยเป็นโรคดาวน์ซินโดรม และความฝันที่จะเป็นนักเดินเรือของฉันในตอนแรก ก็เพื่อจะหาเงินช่วยครอบครัว  

แต่เมื่อถึงเวลาต้องสมัครงานจริงๆ ผมถึงตระหนักได้ว่าอาชีพนักเดินเรือไม่ได้เหมาะสมกับการดูแลพี่ชายมากนัก

เพราะเวลาทำงานของนักเดินเรือมักยาวนาน โดยเฉพาะสายเดินเรือสินค้านานาชาติ ซึ่งต้องออกเรือครั้งละครึ่งปีหรือเป็นปี และถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชาย ผมก็จะไม่สามารถกลับมาดูแลได้ทันเวลา

ด้วยเหตุนั้นเอง ผมจึงมองหาบริษัทเดินเรือเฟอร์รี่ในประเทศ ที่ช่วยให้ผมสามารถรีบกลับบ้านได้พอเรื่องเร่งด่วนเกิดขึ้น แน่นอนว่าหลังจากทำงานมา ผมไม่รู้สึกเสียใจเลยที่เลือกเส้นทางนี้

 

 

 

โทรศัพท์ดังขึ้นก่อนออกเรือได้ไม่นาน

ดูเหมือนว่าพี่จะล้มลงที่สถานดูแล

ตอนนี้พ่อแม่อยู่ข้างๆ เขา แต่เขาตื่นตระหนกแล้วร้องเรียกชื่อ “อุชิโอะ”

ตอนที่ได้งานนี้ ผมเคยบอกกับครอบครัวว่า “ออกเรือตอนเย็น งานเสร็จเช้าของวันถัดไป เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ” แต่ดูเหมือนผมจะคิดง่ายเกินไป

เรือเคลื่อนที่ในทะเลในเซโตะด้วยความเร็ว 20 น๊อต ปกติความเร็วที่ช้าแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกถึงเสน่ห์ของการเดินเรือ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ปกติท้องทะเลกว้างใหญ่ที่แผ่ขยายตรงหน้าจะทำให้หัวใจผมพองโต แต่ตอนนี้มีเพียงความร้อนรนใจที่อยากไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด

กลางทะเลแบบนี้ สัญญาณโทรศัพท์ก็แทบไม่มี ทำให้ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ของพี่เป็นยังไงบ้าง

จะปลอดภัยไหมนะ จะเป็นอะไรหรือเปล่า… พี่รอผมหน่อยนะ

มือที่กำพวงมาลัยเริ่มมีเหงื่อผุดขึ้นมา ผมอยากย้อนกลับไปหาพี่ชายตอนนี้เลย ถ้าผมกระโดดลงทะเลจากดาดฟ้าเรือแล้วว่ายไปยังท่าเรืออิซูมิโอสุ บางทีผมอาจจะไปถึงได้เร็วขึ้น แม้แต่ความคิดที่ดูเหลวไหลแบบนี้ยังผุดขึ้นมาในหัวของผม

 

 

 

สมัยผมอยู่ประถม ผมเกลียดพี่ตัวเองมาก

พี่ชายของผมเรียนอยู่ในชั้นเรียนพิเศษที่เรียกว่า “ห้องประกายดาว” ซึ่งจัดไว้สำหรับเด็กที่ต้องการการดูแลพิเศษในโรงเรียนประถมเดียวกัน

อยู่มาวันหนึ่ง พี่ชายของผมวิ่งไปทั่วทางเดินพร้อมกับตะโกนเสียงดัง และนั่นทำให้ผมต้องถูกเพื่อนในห้องล้อ จนถึงขั้นมีเรื่องต้องชกต่อยกัน ผมรู้สึกอับอายมากที่ถูกล้อเพราะพี่ตัวเอง

แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกเกลียดจริงๆ กลับไม่ใช่พี่ แต่เป็นบรรยากาศในครอบครัวที่เหมือนบังคับให้ผมยอมรับความจริงเรื่องที่พี่ป่วยให้ได้ ผมเดินไปโรงเรียนและกลับบ้านพร้อมเขาเสมอ แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจของเด็กประถมอย่างผมกลับรู้สึกว่ามันไม่แฟร์เลย

อย่างไรก็ตามแต่ มีเพียงกับคุณปู่ที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น ที่ผมสามารถพูดถึงเรื่องอาการป่วยของพี่ได้อย่างสบายใจ

พอผมขึ้นม. ต้น เพื่อนรอบข้างเริ่มโตขึ้นและไม่มีใครล้อเลียนพี่อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ผมกลับเริ่มรู้สึกถึงกำแพงที่แบ่งแยกผมออกจากคนอื่น

ในขณะที่เพื่อนร่วมทีมเบสบอลของผมแทบจะไม่หยุดซ้อมแม้แต่ตอนป่วย แต่ผมกลับได้รับการยกเว้นด้วยเหตุผลที่ว่า “ช่วยไม่ได้นี่นะก็นารุมิ” สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกแบ่งแยกออกไป ผมแค่อยากได้ยินคำพูดง่ายๆ อย่าง “ไม่เห็นเกี่ยวเลย” หรืออะไรที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเข้าใจ

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเริ่มรู้สึกไม่อยากไปซ้อม และสุดท้ายผมก็ตัดสินใจเลิกทีมเบสบอลโดยใช้เรื่องพี่เป็นข้ออ้าง

ในช่วงเวลานั้นผมมักจะถามตัวเองว่า ชีวิตเรายังมีค่าอะไรอยู่บ้าง นี่เราจะต้องใช้ชีวิตที่ถูกกำหนดโดยพี่ไปตลอดอย่างงั้นหรอ ความคิดเหล่านั้นเข้ามากัดกินใจของผม

จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณปู่ของผมได้จากไป

ในคืนพระสวดและวันงานศพ ผมร่ำไห้ไม่หยุด เพราะผมทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากร้องไห้

แต่พี่ของผมต่างออกไป

ในตอนที่กำลังนำร่างคุณปู่ออกไปจากบ้าน พี่ตะโกนไปทางโลงศพว่า

 

“ขอบคุณมากนะครับ…ที่ดูแลอุชิโอะเสมอมา…ขอบคุณมากจริงๆ ครับ”

 

ในตอนนั้นเอง ผมถึงตระหนักว่าพี่มองเราโดยมาตลอด

เป็นครั้งแรกที่ผมได้เข้าใจความรู้สึกของพี่

ผมมัวแต่คิดถึงตัวเองจนไม่เคยสนใจความรู้สึกของเขาเลย

และในช่วงเวลานั้น ผมตัดสินใจได้เด็ดขาด

 

 

 

 

เรือออกจากอิซูมิโอสุ แล้วเคลื่อนผ่านเมืองโกเบในยามค่ำคืน

แม้จิตใจจะเร่งเร้าเพียงใด แต่กว่าจะแตะพื้นฝั่งก็ต้องรอถึงหกโมงเช้า

 

“แย่จริง”

 

ระหว่างที่ผมกำลังทอดถอนใจอยู่ในห้องควบคุมเรือ เสียง ปัง ดังขึ้นเบาๆ

ครั้นเงยหน้ามองไปทางไกล ก็พบแสงสีสันหลากหลายจากดอกไม้ไฟที่เบ่งบานกลางฟากฟ้า

 

「ดอกไม้ไฟนี่งดงามจริงๆ นะคะ」

 

ความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนสมัยมหาลัยหวนกลับมา

เธอคือคนรักของเพื่อนสนิทที่ผมใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยร่วมกันตลอดสี่ปี

เธอชื่อ ฟุยุสึกิ โคฮารุ

ฟุยุสึกิสูญเสียการมองเห็นไป แม้จะต้องเผชิญโรคร้าย เธอกลับดูเหมือนยังมีความสุขกับชีวิตจริงๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเราーーฟุยุสึกิ เพื่อนสนิทของผม และตัวผมเองไปจุดดอกไม้ไฟด้วยกัน

ผมเคยถามเธอว่า  

 

“ทำไมถึงชอบดอกไม้ไฟทั้งที่มองไม่เห็น”

 

และคำตอบนั้นยังคงก้องอยู่ในใจผมจนถึงวันนี้

 

 

「ดอกไม้ไฟเป็นสิ่งที่ฝังลึกลงในใจค่ะ แม้ยามที่เราก้มหน้าท้อแท้ แต่ถ้ามีความทรงจำที่ทำให้เรากล้าเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มันก็คงทำให้เราสู้ต่อไปได้ ฉันเองก็อยากมีชีวิตที่ฝังลึกในใจของใครสักคนแบบนั้นเหมือนกันค่ะ」

 

 

รอยยิ้มของฟุยุสึกิฉายชัดขึ้นในความทรงจำของผม

 

“เราต้องกล้าเงยหน้าขึ้นเหมือนกัน”

 

ครั้นเปล่งคำพูดออกมา ความรู้สึกกังวลทั้งหมดพลันหายไป

ผมตัดสินใจได้แล้วว่าต้องทำสิ่งที่ควรทำให้ลุล่วง

หลังจากเช็ดหยาดน้ำตา ผมจับไมโครโฟนของระบบกระจายเสียงบนเรือ

 

【ขออภัยที่รบกวนช่วงเวลาพักผ่อนของทุกท่านครับ ขณะนี้มีการจัดงานเทศกาลดอกไม้ไฟที่ท่าเรือโกเบ..】

 

เสียง ปัง ดังขึ้นอีกครั้ง ดอกไม้ไฟดอกใหญ่กระจายตัวสว่างไสว ก่อนจางหายไปในท้องฟ้ายามค่ำคืน

แสงไฟสีแดง น้ำเงิน เหลือง และส้ม สาดส่องไปทั่ว กลมกลืนกับแสงไฟในเมืองโกเบ

ดอกไม้ไฟในวันนี้อาจยิ่งใหญ่กว่าวันนั้น

แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับดอกไม้ไฟในวันนั้นที่ยังคงสลักลึกในใจ

หลังจากนั้น เพื่อนในวันวานต่างแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง

ฮายาเสะก่อตั้งองค์กร NPO และดูเหมือนจะเดินทางรอบโลกอย่างไม่หยุดพัก

ส่วนโซราโนะ…ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง

ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอเขาก็คือวันที่งานศพของฟุยุสึกิ

แม้เขาจะไม่ได้ปล่อยตัวไปกับความสิ้นหวัง แต่ก็เห็นชัดว่าเขาฝืนทำตัวสดใส

ผมละสงสัยว่าเขามูฟออนได้รึยัง

แต่ผมเชื่อว่าเขาต้องทำได้แน่

คราวหน้าผมจะโทรหาเขา

ผมอยากเล่าเรื่องของช่องแคบคัมมง บ้านเกิดของเขา ที่กระแสน้ำไหลแรงว่าแค่ไหนให้ฟัง

ขณะมองดอกไม้ไฟที่ส่องแสงอยู่ไกลๆ ผมคิดถึงเรื่องเหล่านี้ในใจ

 

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด