แม่ปากร้ายยุค 80 1166 อาหารเป็นพิษ
ตอนที่ 1166 อาหารเป็นพิษ
……….
ตอนที่ 1166 อาหารเป็นพิษ
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจมาก นับตั้งแต่ที่สวี่เมิ่งติดตามพ่อแม่ของหล่อนไปที่มณฑลกานซู ทั้งสองก็ไม่มีการติดต่อกันเลย
แม้เธอจะกลับมาประเทศจีน แต่ครอบครัวทั้งสามก็ไม่เคยปรากฏตัว ทำไมจู่ ๆ สวี่เมิ่งถึงเขียนจดหมายถึงเธอ?
หลังจากอ่านจดหมายของสวี่เมิ่งแล้ว หลินม่ายก็หัวเราะออกมา
ปรากฏว่าสวี่เมิ่งไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศของมณฑลกานซูได้ หล่อนจึงย้ายจากมณฑลกานซูไปยังเมืองเอินซือในมณฑลหูเป่ย และกลายเป็นครูอาสา
จุดประสงค์หลักที่หล่อนเขียนจดหมายหาหลินม่ายคือ เด็ก ๆ บนภูเขาลำบากยากเข็ญกันเกินไป ไม่มีกระทั่งหนังสือนอกหลักสูตรให้อ่านด้วยซ้ำ
หล่อนจึงถามประธานหลินว่าจะสามารถบริจาคชุดอุปกรณ์การเรียนนอกหลักสูตรให้กับโรงเรียนประถมของหล่อนได้ไหม
หากเป็นไปได้ก็อยากรบกวนให้ช่วยปรับปรุงอาคารเรียนด้วย
อาคารเรียนของพวกเขาทรุดโทรมมาก ด้านนอกไม่มีที่กำบังฝน ส่วนด้านในก็หลังคารั่ว
หลังจากนั้นหลินม่ายขอให้เสิ่นเสี่ยวผิงซื้ออุปกรณ์การเรียนนอกหลักสูตร ชุดเครื่องเขียน และชุดนมผงทันที
เด็กในพื้นที่ภูเขายากจน นอกจากไม่มีเงินซื้อหนังสือนอกหลักสูตรแล้ว ยังขาดแคลนเครื่องเขียนด้วย และเกรงว่าจะไม่เคยดื่มนมผงเลย
เนื่องจากเธออาสาเป็นหัวหน้าทีม เธอจึงไม่รังเกียจที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อสิ่งของเพิ่มเติมจากที่อีกฝ่ายขอ
หลินม่ายตัดสินใจขับรถไปส่งอุปกรณ์ให้กับสวี่เมิ่งด้วยตัวเอง และคิดว่าจะไปเยี่ยมครอบครัวจางเสวี่ยฉุนด้วย
ครอบครัวของจางเสวี่ยฉุนอาศัยอยู่อย่างสันโดษชั่วคราวในเมืองเอินซือ เธอไม่ได้ไปเยี่ยมอีกฝ่ายเลยตั้งแต่กลับมาประเทศจีน
เดิมทีหลินม่ายวางแผนที่จะไปเมืองเอินซือโดยลำพังพร้อมอุปกรณ์เครื่องเขียน แต่ฟางจั๋วหรานบอกว่าสภาพถนนในเมืองเอินซือไม่ค่อยดี
ในอดีต ครั้งที่โรงพยาบาลผู่จี้ไปเมืองเอินซือเพื่อทำกิจกรรมทางการแพทย์ในชนบท รถทางการแพทย์คันหนึ่งพลิกคว่ำในหุบเขาเนื่องจากสภาพถนนที่ไม่ดี
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปด้วย เนื่องจากเชื่อว่าทักษะการขับรถของเขาดีกว่าหลินม่ายมาก
หลินม่ายชอบให้เขาอยู่เคียงข้างตราบเท่าที่เขามีเวลาว่าง
หลังจากถูกกักบริเวณในบ้านที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลาเกือบหกปี เธอจึงคุ้นชินกับการมีฟางจั๋วหรานอยู่เคียงข้างเสมอ
ฟางจั๋วหรานรีบทำเรื่องลาพัก และเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
อากาศสดชื่นในฤดูใบไม้ร่วงช่างเหมาะแก่การเดินทางนัก
หลินม่ายและสามีพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวเมืองเจียงเฉิงหนึ่งวัน จากนั้นเมื่อลูก ๆ ไปโรงเรียนในวันจันทร์ ทั้งคู่จึงออกเดินทางไปยังเมืองเอินซือ
เมืองเอินซืออยู่ไม่ไกลจากเมืองเจียงเฉิงมาก โดยใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ราวหกถึงเจ็ดชั่วโมงเท่านั้น
แต่นี่เป็นเวลาที่จะไปถึงตัวเมือง และต้องใช้เวลาอีกราวสามถึงสี่ชั่วโมงในการขับไปโรงเรียนประถมศึกษาในหุบเขาที่สวี่เมิ่งพูดถึง
ทั้งคู่ออกเดินทางเวลา 6.30 น. เด็กห้าคน คุณปู่ฟาง คุณย่าฟาง และลุงฝูออกมาส่งพวกเขาที่หน้าประตู จากนั้นทั้งสองเดินทางจนถึงเมืองเอินซือในเวลาราวบ่ายโมง
แม้ว่าจะเป็นเขตเมือง แต่ก็ไม่เจริญรุ่งเรืองไปกว่าตัวอำเภอมากนัก
ฟางจั๋วหรานหยุดรถที่ข้างถนน
หลังจากนั่งรถตลอดช่วงเช้า หลินม่ายก็รู้สึกร่างกายแข็งเกร็ง จนฟางจั๋วหรานต้องช่วยพาเธอลงจากรถ
หลังจากลงรถและยืดเส้นยืดสาย หลินม่ายก็ฟื้นตัวในที่สุด
ฟางจั๋วหรานพาเธอไปที่โรงแรม โดยให้ทิปห้าหยวนแก่แผนกต้อนรับ และขอให้พวกเขาใช้ห้องน้ำของโรงแรม
พนักงานต้อนรับตกตะลึงเล็กน้อยและทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
ฟางจั๋วหรานยัดเงินใส่มือของแผนกต้อนรับ จากนั้นเดินไปเข้าห้องน้ำกับหลินม่าย
หลังจากเข้าห้องน้ำและออกจากโรงแรม ทั้งสองเดินไปตามถนนและเลือกร้านอาหารเล็ก ๆ ที่ดูค่อนข้างสะอาดเพื่อเข้าไปข้างใน
เจ้าของร้านเป็นคู่สามีภรรยาวัยกลางคน ทั้งคู่สวมชุดของกลุ่มชาติพันธุ์ถู่เจียที่เรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์
เจ้าของบ้านถามคู่รักหนุ่มสาวอย่างกระตือรือร้นว่าอยากกินอะไร
หลินม่ายชี้ไปยังแผ่นไม้ที่แขวนอยู่บนผนัง แล้วสั่งจานเนื้อผัดพริกถั่ว ปลาตุ๋น และซุปเห็ด
เมืองเอินซือมีชื่อเสียงในเรื่องของเนื้อหมัก เดิมทีหลินม่ายต้องการสั่งซุปซี่โครงหมู แต่คิดว่าการเคี่ยวซุปซี่โครงหมูจะใช้เวลานานเกินไปและทำให้การเดินทางล่าช้า เธอจึงล้มเลิกไป
สักพักอาหารสามอย่างก็มาเสิร์ฟ
เนื้อผัดกับพริกถั่วมีรสเปรี้ยวเผ็ด ส่วนเนื้อหมักมีรสเค็ม ทั้งสองอย่างนี้เข้ากันอย่างลงตัว และทำให้น่ารับประทานมาก
เพียงแต่เนื้อหมักทำจากหมูสามชั้น ซึ่งหลินม่ายไม่กิน
ฟางจั๋วหรานตัดส่วนเนื้อออกและกินส่วนที่เป็นไขมัน จากนั้นมอบเนื้อบาง ๆ ให้กับหลินม่าย
ปลาตุ๋นน้ำแดงมีเนื้อนุ่ม หวาน และอร่อย หลินม่ายกินปลาทั้งตัวอย่างเอร็ดอร่อย
แทบไม่ต้องพูดถึงซุปเห็ด มันสดมากจนอดไม่ได้ที่จะเลียชาม
หลินม่ายชอบมันมากจนกินหมดหนึ่งชาม และสั่งเพิ่มอีกชาม
หลังจากที่ทั้งสองกินอาหารเสร็จ พวกเขาก็จ่ายเงินและขับรถตรงไปยังภูเขาลึกที่มีป่าไม้หนาทึบ
หลังออกจากเมือง ทิวทัศน์ริมถนนก็งดงามมาก
หลินม่ายกำลังเพลิดเพลินกับการมองทิวทัศน์ที่สวยงามนอกหน้าต่าง เธอพูดกับฟางจั๋วหรานด้านข้างว่า “เมื่อเด็ก ๆ ทุกคนเรียนจบวิทยาลัย เราควรมาที่นี่เพื่อใช้เวลาในบั้นปลายของชีวิตอย่างสงบสุข คุณเห็นด้วยไหมคะ”
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “อืม คุณอยู่ที่ไหน ผมก็อยู่ที่นั่นด้วย”
สิ่งที่ฟางจั๋วหรานบอกเธอก่อนหน้านี้เป็นความจริง สภาพถนนในพื้นที่ภูเขาแย่มาก ทั้งยังมีทางโค้งมากถึง 18 โค้ง
หากขับรถไม่ชำนาญก็อาจจะพลิกคว่ำและตกหน้าผาได้ง่ายดาย
โดยปกติหลินม่ายไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เส้นทางนี้ทำให้เธอหวาดกลัวอยู่ในใจ
หลังจากขับรถไปครึ่งชั่วโมง ฟางจั๋วหรานก็หยุดรถที่ข้างถนนกะทันหัน
หลินม่ายถามว่า “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้ว “ผมเวียนหัวนิดหน่อย”
เขาหันไปหาหลินม่ายและถามว่า “คุณเวียนหัวหรือเปล่า?”
หลินม่ายพยักหน้ารับ “ค่ะ ถนนบนภูเขาสูงชันมาก คงไม่แปลกที่จะเมารถ”
“มันไม่ใช่อาการเมารถ บางทีเราอาจจะได้รับพิษจากเห็ด”
หลินม่ายตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น เป็นไปได้ไหมว่าเธอกับสามีจะเผลอกินเห็ดเมาเข้าไป?
ขณะที่หลินม่ายพยายามคิดอย่างดุเดือด ฟางจั๋วหรานก็ลงจากรถและเดินไปเปิดประตูฝั่งผู้โดยสาร “ลงไปหาหมอกันเถอะ”
หลินม่ายกระโดดลงจากรถเข้าสู่อ้อมกอดของฟางจั๋วหราน ก่อนที่ชายหนุ่มจะรับเธอไว้อย่างแน่นหนา
ทั้งสองจับมือกันเดินไปหมู่บ้านที่อยู่ไม่ไกล และถามกับชาวบ้านว่าหมอเท้าเปล่า(1)อยู่ที่ไหน
ชาวบ้านที่นี่ล้วนเป็นคนเรียบง่าย และบอกพวกเขาว่าหมอเท้าเปล่าอาศัยอยู่ในหมู่บ้านข้าง ๆ
และบอกว่าเป็นหมู่บ้านถัดไปที่อยู่ห่างออกไปราวหนึ่งถึงสองลี้ ชาวบ้านคนหนึ่งบอกทางให้พวกเขาด้วยความกระตือรือร้น
ทันทีที่มาถึงประตูบ้านของหมอเท้าเปล่า พวกเขาเห็นหญิงชราคนหนึ่งที่ผิวแดงเพราะถูกแดดเผาถามหมอเท้าเปล่าว่า “ลูกสะใภ้ของฉันไม่ได้ท้องจริง ๆ เหรอ?”
หมอเท้าเปล่านั้นเท้าเปล่าสมชื่อ เขาไม่มีแม้แต่รองเท้าแตะฟางเลยด้วยซ้ำ
หมอเท้าเปล่าเป็นชายวัยกลางคนธรรมดา ๆ “มันไม่ใช่การท้อง แต่เป็นเนื้องอกในมดลูก คุณต้องไปโรงพยาบาลประจำเขตเพื่อรับการผ่าตัดเอามันออก ผมทำที่นี่ไม่ได้”
คนไข้ที่เป็นหญิงสาวฝืนพูดด้วยรอยยิ้มกับหญิงชราว่า “แม่คะ กลับกันเถอะ มันไม่ได้เจ็บหรือคันเลย บางทีอาจมีวิธีรักษาแบบอื่น”
หญิงชราถามหมอเท้าเปล่าว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดในการผ่าตัดเนื้องอกในมดลูก
หมอเท้าเปล่าส่ายหัวและพูดว่า “ผมไม่รู้เหมือนกัน แต่อย่างน้อยก็คงสองถึงสามร้อยหยวน”
หญิงชราหยุดพูดและจากไปพร้อมกับลูกสะใภ้ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
หมอเท้าเปล่าไล่ตามแม่สามีและลูกสะใภ้ไปเพื่อพูดว่า “ยายหมี่อัน หาทางรวบรวมเงินจำนวนนั้นให้ได้และพาลูกสะใภ้ไปในเมืองเพื่อทำการผ่าตัดเสีย โรคนี้ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษาอาจทำให้ตายได้”
ยายหมี่อันปาดน้ำตาแล้วพูดว่า “ฉันจะกลับไปขายวัวเพื่อหาเงินค่ารักษาพยาบาลให้เธอเอง”
หมี่อันกล่าวปฏิเสธ “แม่คะ ถ้าขายวัวไปแล้ว เราจะทำนาได้อย่างไร!”
หมอเท้าเปล่าถอนหายใจอย่างเห็นอกเห็นใจและพูดกับตัวเองว่า “พวกเขาล้วนเป็นคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่เงินไปโรงพยาบาลเมื่อเจ็บป่วยน่ะ”
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วถามหลินม่ายและสามีว่า “พวกคุณเป็นอะไรมาล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานตอบ “ดูเหมือนพวกเราจะถูกพิษจากเห็ด”
ทันทีที่หมอเท้าเปล่าได้ยินเช่นนั้นก็เป็นกังวล และต้องการตรวจชีพจร
ฟางจั๋วหรานขอให้หมอเท้าเปล่าตรวจชีพจรของหลินม่ายก่อน
เดิมทีหลินม่ายต้องการให้ฟางจั๋วหรานได้รับการรักษาก่อน แต่คิดว่าชายหนุ่มคงไม่ยอมเห็นด้วยอย่างแน่นอน
หากทั้งสองโต้เถียงกันไปมา อาจทำให้เสียเวลาและได้รับการรักษาที่ล่าช้ากว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่สำคัญว่าใครจะพบหมอก่อน
……………………………………………………………………………………………………………….
赤脚医生 หมอเท้าเปล่า คือ เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐานขั้นต่ำ เพื่อทำงานในหมู่บ้านชนบทในประเทศจีน ชื่อนี้ได้มาจากเกษตรกรภาคใต้ ซึ่งมักทำงานเท้าเปล่าในนาข้าว
สารจากผู้แปล
เผลอไปกินเห็ดเมาเข้าแล้วหรือเปล่า ขอให้ไม่เป็นอะไรมากนะ เห็ดป่านี่เป็นอะไรที่ถ้าไม่ชำนาญจริงๆ ก็ไม่ควรเก็บเลยแหละ เห็ดเมาบางอย่างที่คล้ายกับเห็ดกินได้มีเยอะมาก
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments