แม่ปากร้ายยุค 80 1168 นมหนึ่งแก้ว
ตอนที่ 1168 นมหนึ่งแก้ว
……….
ตอนที่ 1168 นมหนึ่งแก้ว
เจ้าของร้านตักซุปสองทัพพี หัวไชเท้าสองถึงสามชิ้น และซี่โครงหมูตุ๋นสองชิ้นให้เด็กแต่ละคน กระทั่งไม่เหลือซุปในชามกระเบื้องหยาบอีกต่อไป
เด็กหลายคนต้องการแบ่งปันซี่โครงชิ้นหนึ่งกับคู่รัก แต่ทั้งคู่ต่างก็ปฏิเสธ
ฉากนี้ทั้งอบอุ่นใจและน่าเศร้า
เมื่อตกค่ำ เจ้าของร้านและภรรยาสละห้องนอนให้หลินม่ายและสามีได้พักผ่อน
ด้วยกลัวว่าหลินม่ายและสามีจะคิดว่ามันสกปรก เจ้าของบ้านถึงกับเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและผ้าห่มนวมทั้งหมด
แม้จะเก่า แต่ก็สะอาดมาก
ยังไม่ถึงเดือนตุลาคมด้วยซ้ำ และดวงอาทิตย์ยังคงส่องสว่างในเมืองเจียงเฉิง ทว่าค่ำคืนในภูเขาเมืองเอินซือนั้นหนาวเย็นราวกับสายน้ำ
โชคดีที่เจ้าบ้านให้ผ้าห่มมา ไม่อย่างนั้นหลินม่ายคงรู้สึกหนาวเกินกว่าจะนอนได้
ค่ำคืนในพื้นที่ภูเขานั้นเงียบสงบเป็นพิเศษ และทั้งคู่ก็นอนหลับสนิทตลอดทั้งคืน
เมื่อตื่นขึ้นมา พระอาทิตย์ก็ส่องแสงเจิดจ้ากลางท้องฟ้า
หลินม่ายหยิบนาฬิกาออกมาจากใต้หมอนและเห็นว่าเป็นเวลาเก้าโมงเช้าแล้ว
ทั้งคู่รีบลุกขึ้นและเดินออกมาในตัวร้าน ก่อนพบเพียงเด็กน้อยอยู่ในบ้านคนเดียว
หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “คนอื่น ๆ ไปอยู่ไหนกันหมดล่ะ?”
เด็กน้อยบอกเธอด้วยท่าทางเขินอายว่า ทุกคนในครอบครัวออกไปทำงานในทุ่งนา
เดิมทีเขาอยากตามไปทำงานด้วย แต่แม่ของเขาบอกให้เขาอยู่บ้านดูแลแขก
หลังจากที่เด็กชายวัยห้าขวบพูดจบ เขาก็หันกลับและเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อตักน้ำจากถังมาให้ทั้งคู่
ฟางจั๋วหรานรีบเดินตามไปและบอกว่าจะทำเอง
พวกเขาซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวมีมือเท้าครบถ้วน แล้วจะปล่อยให้เด็กอายุห้าขวบมาดูแลได้อย่างไร?
หลังจากทั้งคู่ทำความสะอาดร่างกาย เด็กชายก็นำแป้งย่างราดซอสแผ่นใหญ่สองแผ่น และโจ๊กข้าวโพดสองชามใหญ่ออกมาจากห้องครัว
สามีภรรยากินแค่โจ๊กข้าวโพด โดยทิ้งแป้งย่างราดซอสทั้งสองแผ่นไว้ให้เด็กน้อยทั้งหลาย
หลังจากกินโจ๊กข้าวโพดเสร็จแล้ว หลินม่ายและสามีกำลังจะเตรียมตัวออกไป
ฟางจั๋วหรานหยิบเงิน 10 หยวนออกมามอบให้ลูกชายเจ้าของร้าน เด็กชายตัวเล็กโบกมือด้วยความเขินอาย และบอกว่าเขาไม่สามารถรับเงินจากแขกได้ ไม่อย่างนั้นพ่อแม่จะทุบตีเขา
หลินม่ายเข้าไปในห้องโดยอ้างว่าลืมของบางอย่างไว้ จากนั้นแอบนำเงิน 10 หยวนวางไว้ใต้หมอน ก่อนที่เธอและฟางจั๋วหรานจะขับรถออกไป
กระทั่งถึงเที่ยง ในที่สุดหลินม่ายและฟางจั๋วหรานก็ขับรถมาถึงโรงเรียนที่สวี่เมิ่งเป็นครูอาสา
ขณะนั้นชายชราคนหนึ่งหยิบท่อนเหล็กมาเคาะแผ่นเหล็กใต้ชายคาห้องเรียน หลังจากนั้นเด็ก ๆ ก็วิ่งออกจากห้องเรียนไปทีละคน
หลินม่ายสังเกตว่าเด็ก ๆ ส่วนใหญ่สวมรองเท้าแตะฟาง และมีเพียงไม่กี่คนที่สวมรองเท้าผ้า
เด็กทั้งหลายร่างกายผ่ายผอม ซึ่งเป็นภาพที่ชวนให้หดหู่ใจ
อันที่จริง นี่คือสิ่งที่เธอเห็นระหว่างการเดินทางมาโดยตลอด
เธอเคยเดินทางมาที่เมืองเอินซือในชีวิตก่อน แม้ว่าเมืองเอินซือจะไม่เจริญรุ่งเรือง แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารเท่าที่เธอเห็นในตอนนี้
เมื่อทุกคนเห็นรถบรรทุกของคู่รักหลินม่ายจอดอยู่นอกโรงเรียน พวกเขาก็เข้ามารวมตัวกันรอบ ๆ ด้วยความสงสัย เด็กบางคนถึงกับลองแตะรถเหล็กคนใหญ่ดูด้วยซ้ำ
หลังชายชราเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลาเที่ยงวันเสร็จ เขาเหลือบเห็นรถบรรทุกของหลินม่ายและรู้สึกประหลาดใจ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาทำทีต้องการเข้ามาพูดคุย แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขากลับยอมแพ้ไป
ฟางจั๋วหรานเดินเข้าไปถามเขาว่า “คุณลุงครับ มีครูอาสาชื่อสวี่เมิ่งอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ?”
คุณลุงพยักหน้ารับ “มีครับ พวกคุณกำลังตามหาหล่อนอยู่หรือ?”
เมื่อเห็นฟางจั๋วหรานพยักหน้า เขาพูดขึ้นว่า “ผมจะไปบอกหล่อนให้ครับ! พวกคุณขับรถเข้าไปในสนามเด็กเล่นได้เลย” จากนั้นเขาก็วิ่งหายเข้าไปในห้องเรียน
ขณะที่สวี่เมิ่งกำลังตำหนินักเรียนอยู่ในห้อง ภารโรงเข้ามาบอกว่า มีคู่รักหน้าตาดีกำลังตามหาเธออยู่ หล่อนเดาได้ทันทีว่าจะต้องเป็นหลินม่ายและฟางจั๋วหรานแน่ ๆ
หล่อนทิ้งนักเรียนไว้ข้างหลังและวิ่งออกจากห้องเรียน ก่อนจะเห็นฟางจั๋วหรานขับรถบรรทุกไปจอดที่มุมสนามเด็กเล่น
ก่อนที่เขาจะจอดสนิท หล่อนก็พูดขึ้นว่า “ฉันรอมาตั้งหลายวัน ในที่สุดพวกเธอก็มา!”
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานต่างหันมองสวี่เมิ่งด้วยความไม่เชื่อ
สวี่เมิ่งเคยเป็นหญิงสาวที่สวยและแต่งตัวทันสมัย แต่ตอนนี้หล่อนดูแตกต่างจากเดิมมาก
ผิวที่เคยขาวและเรียบเนียน ตอนนี้หยาบกร้านขึ้นมาก และยังดูคล้ำลงกว่าเดิมด้วย
ผมยาวหยักศกของหล่อนถูกตัดเป็นผมบ๊อบยาวถึงหู เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เรียบง่ายและดูโทรมเล็กน้อย
หากสวี่เมิ่งไม่ทักทายพวกเขาก่อน หลินม่ายและฟางจั๋วหรานคงจำหล่อนไม่ได้เลย
หลินม่ายพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันและลูกพี่ลูกน้องของเธอมีงานต้องรับผิดชอบ เราเลยไม่สามารถมาหาได้ทันทีที่ได้รับจดหมาย”
สวี่เมิ่งพูด “พวกเธอไม่ต้องมาด้วยตัวเองก็ได้นี่ แค่ส่งคนมาก็พอแล้ว”
หลินม่ายบอกหล่อน “เราได้ยินว่าเมืองเอินซือมีทิวทัศน์ที่สวยงาม ก็เลยอยากแวะมาเยี่ยมชม”
สวี่เมิ่งมองข้าวของที่ท้ายกระบะและพูดว่า “โรงเรียนเรามีนักเรียนมากมายซะที่ไหน ทำไมพวกเธอถึงนำสื่อการเรียนนอกหลักสูตรมามากมายขนาดนี้…ฮะ? แล้วยังมีเครื่องเขียน! และนมผงด้วย!”
สวี่เมิ่งรู้สึกตื่นเต้นและเข้าไปจับมือของหลินม่าย “ม่ายจื่อ ฉันขอบคุณพวกเธอในนามของเด็ก ๆ ที่นี่นะ!”
หล่อนขอให้ฟางจั๋วหรานนำนมผงมาให้หนึ่งหอ “ฉันจะต้มนมผงหม้อใหญ่ และให้เด็ก ๆ ดื่มกันคนละแก้ว”
แม้จะเป็นเพียงโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยแต่ละชั้นมีชั้นเรียนเพียงห้องเดียว แต่ก็ยังมีนักเรียนจำนวนเกือบร้อยคน
แค่ทำนมผงถุงเดียว นมที่ออกมาคงจะจืดจางมาก!
หลินม่ายปีนขึ้นไปบนรถบรรทุกแล้วหยิบนมผงอีกสองถุงเพื่อโยนให้สวี่เมิ่ง “ใส่เพิ่มไปอีกสองถุง”
สวี่เมิ่งรีบไปหาภารโรงและขอให้เขาช่วยเตรียมนมผง
ภารโรงมีสองหน้าที่หลัก เขาไม่เพียงรับผิดชอบในการเคาะแผ่นเหล็กบอกเวลา แต่ยังรับผิดชอบเรื่องอาหารจานร้อนสำหรับนักเรียนด้วย
เด็กส่วนใหญ่อาศัยอยู่ห่างไกลจากโรงเรียน ก่อน 6 โมงเช้าของทุกวัน เด็กนักเรียนจะพกอาหารกลางวันและเดินทางข้ามสันเขาเพื่อมาโรงเรียน
ภารโรงมีหน้าที่อุ่นอาหารให้เด็ก ๆ เพื่อจะได้รับประทานอาหารร้อนตอนเที่ยง
ภารโรงหยิบนมผงสามถุงเดินไปในโรงอาหารของโรงเรียนอย่างมีความสุข
สวี่เมิ่งยิ้มอย่างเขินอายให้หลินม่ายและสามี “ฉันไม่คาดคิดว่าพวกเธอจะมาวันนี้ ก็เลยไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย ฉันจะไปหาน้ำจิ้มรสเปรี้ยวจากชาวบ้านแถวนี้ แล้วเรามาทำอาหารกินด้วยกันเถอะ”
หลินม่ายและสามีตอบรับ ก่อนจะเสริมว่าไม่ต้องลำบากหาของดีมาให้พวกเขา แค่เตรียมอะไรง่าย ๆ กินด้วยกันก็พอ
ภารโรงรีบต้มน้ำและเตรียมนมผงใส่ถังใหญ่สองใบ ก่อนนำมาวางไว้ที่หน้าประตูห้องครัว จากนั้นเขาตะโกนเสียงดัง “ทุกคนมาเข้าแถมเพื่อรับนมไปดื่ม!”
เด็ก ๆ รอคอยกันอย่างกระตือรือร้นมาเป็นเวลานาน เมื่อได้ยินเสียงเรียก พวกเขารีบกระโดดและเบียดเสียดมาเข้าแถวเพื่อรับนม
เด็กนักเรียนรับแก้วนมมาอย่างระมัดระวังและถือมันไปเพื่อหาที่นั่งในสนามเด็กเล่น จากนั้นก็เพลิดเพลินกับนมร้อนพร้อมกับอาหารกลางวันที่เตรียมมา
หลินม่ายมองดูอาหารกลางวันที่เด็ก ๆ นำมาจากบ้าน
เด็กส่วนใหญ่กินข้าวกล้องคลุกเคล้ากับผักดองทำเอง และมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กินข้าวขาว
เด็กคนหนึ่งกินไข่เป็ดเค็มครึ่งฟองเป็นอาหารกลางวัน ซึ่งทำให้เพื่อนร่วมชั้นหลายคนต้องน้ำลายไหลด้วยความอิจฉา
แม้หลินม่ายจะแข็งแกร่งและหนักแน่น แต่เธอก็มีด้านที่อ่อนโยนเช่นกัน
เมื่อเห็นเด็ก ๆ ดื่มนมเพียงจิบเดียว แต่กลับมีรอยยิ้มความสุขอยู่บนใบหน้า เธอพลันรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ
หลินม่ายเห็นเด็กหญิงอายุราวเจ็ดย่างแปดขวบสวมชุดขาดรุ่งริ่งรับนมมา แต่ไม่ยอมดื่มมัน
เธอแค่สูดดมมัน แล้วปิดฝาขวดแก้วที่ใช้ใส่นมจนแน่น เมื่อหาที่นั่งได้แล้ว เธอวางขวดนมไว้ใกล้เท้าและกินมันฝรั่งนึ่งเพียงไม่กี่ลูกที่นำมาจากบ้านพร้อมกับผักดองทำเอง
หลินม่ายเดินเข้าไปถามอย่างใจดีว่า “ทำไมถึงไม่ดื่มนมล่ะ? หนูไม่ชอบรสชาติของนมเหรอคะ?”
เด็กหญิงส่ายหัวอย่างเขินอาย “ไม่ใช่ค่ะ” จากนั้นก็กินอาหารกลางวันต่อ
เด็กชายที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “อากู่ลาคงอยากจะนำนมกลับบ้านไปให้คุณปู่คุณย่า คุณพ่อ และน้องชายที่ป่วยของหล่อนน่ะครับ”
เด็กหญิงตัวเล็กหลั่งน้ำตาออกมาเมื่อมีคนเล่าถึงความยากจนและความรันทดของครอบครัวตนในที่สาธารณะ
แต่แทนที่จะร้องไห้เสียงดัง หล่อนกลับหลั่งน้ำตาเงียบงัน
หลินม่ายไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อปลอบใจเด็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นานเธอก็พูดว่า “หนูดื่มนมในขวดนี้เถอะ คุณน้าเอานมผงมาด้วยเยอะแยะเลย พอเลิกเรียนตอนบ่าย คุณครูจะแจกถุงนมให้นักเรียนคนละถุง หนูนำถุงนมนั้นกลับบ้านไปให้ครอบครัวได้ ดีไหมคะ?”
เด็กหญิงตัวเล็กหยุดร้องไห้ทันทีและถามเธอด้วยดวงตาเปล่งประกาย “จริงหรือคะ?”
หลินม่ายพยักหน้ายืนยัน “คุณน้าไม่ได้พูดโกหกนะ”
เด็กหญิงตัวเล็กจึงยอมหยิบขวดนมขึ้นมาดื่มในที่สุด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หดหู่เลยค่ะ ความยากจนมันน่ากลัวจริงๆ
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments