แม่ปากร้ายยุค 80 1169 มาเยือนยามดึก
ตอนที่ 1169 มาเยือนยามดึก
……….
ตอนที่ 1169 มาเยือนยามดึก
นักเรียนเกือบทั้งหมดกินอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นสวี่เมิ่งและเด็กหญิงในท้องถิ่นอายุราวสิบห้าปีก็กลับมา
สวี่เมิ่งถือหม้อดินเผาขนาดใหญ่ในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งถือพริกดองเปรี้ยว พูดขึ้นจากระยะไกล “พี่ม่ายจื่อ ขอโทษที่ให้รอนานนะ ฉันแค่อยากไปขอผักดองในหมู่บ้าน แต่ผู้คนกระตือรือร้นเกินไป อาสะใภ้อาชุ่ยยืนกรานว่าจะทำซุปจากปลาไนที่สามีหล่อนจับมาได้ และขอให้ฉันนำกลับมาด้วย จึงทำให้ล่าช้าขนาดนี้”
ฟางจั๋วหรานพูดแทงใจดำ “ไม่ใช่ว่าเธอทำอาหารไม่เป็น จึงขอให้คนอื่นทำอาหารให้หรือไง”
สวี่เมิ่งหัวเราะคิกคัก ท่าทางขี้เล่นของหล่อนไม่สมกับเป็นหญิงสาวที่อายุเกือบสามสิบปีเลย
ฟางจั๋วหรานเดินผ่านสวี่เมิ่งและไปช่วยถือของจากมือของเด็กหญิงที่อยู่ด้านหลัง
เด็กหญิงถือหม้อและชามในมือ
แต่หม้อดินของเธอเต็มไปด้วยข้าว และชามที่ถือมาก็เต็มไปด้วยมะเขือยาว
เด็กหญิงขี้อายมาก ก่อนที่ฟางจั๋วหรานจะเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเธอก็กลายเป็นสีแดงก่ำ
ฟางจั๋วหรานนับของจากมือหล่อน ก่อนที่หล่อนจะรีบหันหลังวิ่งหนีไปทันที
หลินม่ายติดตามสวี่เมิ่งไปยังที่พักของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นบ้านอิฐที่เริ่มพุพังแล้ว
ทุกคนวางอาหารลงบนโต๊ะ สวี่เมิ่งเปิดฝาหม้อดินที่บรรจุซุปปลาไน และบอกให้หลินม่ายดื่มขณะที่ยังร้อน
เมื่อหลินม่ายเห็นว่าในซุปปลาไนมีเห็ดเป็นส่วนผสม มือของเธอก็แข็งค้างกลางอากาศ
เมื่อวานเธอเพิ่งได้รับพิษจากการกินซุปเห็ด วันนี้เธอจึงยังกลัวที่จะกินมัน
สวี่เมิ่งกล่าวว่า ในพื้นที่มีเห็ดพิษไม่มากนัก และรับประกันว่าเด็ด ในหม้อดินเผานี้ไม่มีพิษอย่างแน่นอน
หลินม่ายชอบกินเห็ด โดยเฉพาะเห็ดป่า
เมื่อเห็นสวี่เมิ่งเพลิดเพลินกับอาหาร ในที่สุดหลินม่ายก็อดไม่ได้ที่จะลองชิมเช่นกัน
ไม่เพียงแค่เห็ดที่อร่อย แต่ซุปปลาก็อร่อยมากเช่นกัน
โดยเฉพาะเนื้อปลาไนที่มีรสหวานนุ่มกลมกล่อมอยู่ในปาก และไม่มีกลิ่นคาว
หลินม่ายไม่เคยกินปลาไนที่อร่อยขนาดนี้มาก่อน
ขณะที่กินซุปปลาไน เธอถามขึ้นว่า “ไปจับปลาไนนี้มาจากที่ไหนเหรอ ทำไมมันถึงอร่อยได้ขนาดนี้ล่ะ?”
สวี่เมิ่งตอบ “มันมาจากทะเลสาบหมิงจิ้งบนภูเขาที่อยู่ห่างจากที่นี่มากกว่าสิบลี้ ปลาไนจากทะเลสาบนั่นมีรสชาติอร่อยมาก ไม่เพียงแค่ปลาไนเท่านั้นนะ แต่กุ้งแม่น้ำและสัตว์น้ำชนิดอื่นก็อร่อยกว่าที่จับมาจากแหล่งอื่น”
หลินม่ายดื่มซุปปลาอึกใหญ่ “ทำไมปลาไนของที่นั่นอร่อยกว่าล่ะ เธอรู้เหตุผลหรือเปล่า?”
สวี่เมิ่งพยักหน้า “รู้สิ เพราะน้ำในทะเลสาบใกล้เคียงเป็นน้ำที่ไหลมาจากบ่อน้ำแร่เซียนหนิ่ว”
เธออธิบายเพิ่มเติม “น้ำจากบ่อน้ำแร่เซียนหนิ่วมีรสชาติอร่อย และผู้คนในบริเวณนี้ต่างก็ชอบดื่มน้ำจากบ่อน้ำแร่เซียนหนิ่ว แต่จะต้องเดินไกลมากเพื่อไปตักมันมา และไม่ใช่ว่าทุกคนจะดื่มได้บ่อยนัก”
หลินม่ายพยักหน้ารับ และพูดคุยเกี่ยวกับเด็กหญิงตัวเล็กที่มีครอบครัวเจ็บป่วยอยู่ที่บ้าน
สวี่เมิ่งพูด “เธอน่าจะหมายถึงอากู่ลา”
“ใช่ ๆ ๆ เด็กคนนั้นแหละ!” หลินม่ายไม่คุ้นเคยกับชื่อของชนกลุ่มน้อย เธอจึงนึกชื่อของเด็กหญิงไม่ออกชั่วขณะ
ทันทีที่สวี่เมิ่งเอ่ยถึง เธอก็จำชื่อของเด็กคนนั้นได้
สวี่เมิ่งถอนหายใจและพูดว่า “ครอบครัวของเด็กคนนั้นมีคนป่วยมาก หล่อนยากจนมากจนแทบไม่มีอาหารกิน ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทีมบรรเทาความยากจนได้สอนครอบครัวหล่อนให้ปลูกมันฝรั่ง ทำให้ครอบครัวของหล่อนพอมีมันฝรั่งกินประทังชีวิตบ้าง ที่อากู่ลามาโรงเรียนได้ เพราะรัฐบาลยกเว้นค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียม ไม่เช่นนั้นหล่อนคงไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนเลย”
สวี่เมิ่งส่ายหัว “อากู่ลาไม่ใช่เด็กที่น่าสงสารเพียงคนเดียว ยังมีเด็กเช่นนี้อีกมากมายในพื้นที่ภูเขา ซึ่งฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเวทนา”
ฟางจั๋วหรานตักเนื้อปลาไนใส่ชามข้าวของภรรยา “หากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความยากจนในปัจจุบัน อย่างน้อยก็บรรเทาให้เบาลง”
สวี่เมิ่งถอนหายใจ “มันพูดง่ายแต่ทำยากน่ะสิ!”
ทันใดนั้นดวงตาของหล่อนก็สว่างขึ้น “พี่ พี่เป็นหมอนี่นา ทำไมไม่ไปที่บ้านของอากู่ลาแล้วลองรักษาสมาชิกครอบครัวของเด็กคนนี้ดูล่ะ?”
ฟางจั๋วหรานกล่าว “ถ้าโรงพยาบาลไม่สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคทางการแพทย์ได้ ฉันในฐานะศัลยแพทย์ก็คงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ฉันรักษาโรคทั่วไปได้เพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น”
สวี่เมิ่งพูดขึ้น “ครอบครัวของอากู่ลาไม่เคยไปโรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยโรคเลย พี่ลองไปช่วยดูหน่อยเถอะ ถ้าพบว่ามันเป็นโรคทั่วไป พี่พอจะรักษาได้ไหม?”
ฟางจั๋วหรานพยักหน้าเห็นด้วย
ยิ่งครอบครัวยากจน ก็ยิ่งมีโอกาสไม่ไปโรงพยาบาลมากขึ้นเมื่อป่วยไข้ เพราะกลัวว่าจะเสียเงิน
ขณะที่หลายคนกำลังรับประทานอาหารอยู่ เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากหน้าประตู “สหายเสี่ยวสวี่ ผมได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของคุณมาส่งเสบียงมาให้เราเหรอ?”
สวี่เมิ่งกระซิบกับหลินม่ายและฟางจั๋วหราน “นั่นอาจารย์ใหญ่น่ะ”
จากนั้นหล่อนก็พูดเสียงดัง “ของพวกนั้นจอดอยู่ในสนามเด็กเล่นไม่ใช่เหรอคะ? คุณยังจะถามอีก!”
ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนชาวนา แต่มีบรรยากาศของคนมีวัฒนธรรมเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
สวี่เมิ่งแนะนำหลินม่ายและฟางจั๋วหรานว่า “นี่คืออาจารย์ใหญ่จางของโรงเรียนของเรา”
จากนั้นเธอแนะนำฟางจั๋วหรานและหลินม่ายให้กับอาจารย์ใหญ่จาง
อาจารย์ใหญ่จางจับมือของฟางจั๋วหรานและเขย่าอย่างแรงพลางกล่าวขอบคุณไม่หยุด
สวี่เมิ่งโบกมือ “เอาล่ะ ได้โปรดอย่ามาที่นี่เพื่อทำเรื่องไร้สาระพวกนี้เลยค่ะ พี่ชายและพี่สะใภ้ของฉันนำสิ่งของมากมายมาให้เรา แต่ฉันไม่สามารถหาอาหารดี ๆ มาให้พวกเขาได้ด้วยซ้ำ คุณช่วยเอาของที่มีประโยชน์มาให้หน่อยได้ไหมคะ ตอนเย็นขอไข่ 2 ฟอง กุยช่าย 1 กำมือ ฉันจะได้ทอดกุยช่ายพร้อมไข่ให้พวกเขากิน”
อาจารย์ใหญ่จางยิ้มและตอบรับ
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายก็เดินผ่านประหว่างสันเขาตามปากคำของสวี่เมิ่ง พวกเขาเดินนานกว่าหนึ่งชั่วโมง กระทั่งมาถึงบ้านของอากู่ลาในที่สุด
ยกเว้นคุณย่าและน้องชายที่มีอาการป่วยจนทำให้ต้องอยู่ที่บ้าน คุณปู่และพ่อแม่ของอากู่ลาต่างก็ไปทำงานในทุ่งนา
ฟางจั๋วหรานได้ทำการตรวจสอบเบื้องต้นให้คุณย่าและน้องชายตามประสบการณ์ที่มี
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะวินิจฉัยอาการของน้องชายว่าเป็นเพียงภาวะขาดสารอาหาร ตราบใดที่โภชนาการของเขาเพียงพอ ร่างกายของเขาจะไม่อ่อนแอมากนัก
ส่วนหญิงชราบอกเขาว่าเป็นไข้ต่ำมาหลายปีแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่ฟางจั๋วหรานจะวินิจฉัย
อย่างไรก็ตามฟันของหญิงชราบางส่วนมักอักเสบ ฟางจั๋วหรานสงสัยว่ามันอาจเป็นไข้ต่ำที่เกิดจากการอักเสบของฟัน
เขาแนะนำให้คุณย่าของอากู่ลาไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล หากเป็นไข้ต่ำที่เกิดจากการอักเสบของฟัน มันสามารถรักษาได้ง่ายดาย
แต่คุณย่าของอากู่ลาไม่ต้องการไป เพราะกลัวจะใช้เงินจำนวนมาก
หลินม่ายเป็นคนเกลี้ยกล่อมหญิงชราและมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ หญิงชราจึงยอมรับปากที่จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล
นอกจากนี้ยังมีโรคสำคัญที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันบางชนิดอันเป็นสาเหตุให้เกิดไข้ต่ำต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นปัญหาได้
หลังจากวินิจฉัยให้คุณย่าและน้องชายของอากู่ลาแล้ว ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายเดินไปยังทุ่งนาเพื่อวินิจฉัยอาการป่วยพ่อของอากู่ลา
พ่อของอากู่ลาไม่ได้ป่วยหนัก เขาแค่เป็นโรคหลอดลมอักเสบ ซึ่งทำให้บางครั้งหายใจไม่ออก
ปัญหาใหญ่ที่สุดของเขาคือขาที่พิการ ทำให้ทำงานลำบาก และไม่มีทางแก้ไขได้
หลังจากวินิจฉัยโรคให้ครอบครัวของอากู่ลาแล้ว ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายกลับไปยังโรงเรียนประถมเซียนหนิ่ว
มันเป็นเวลาหกโมงเย็น และอาหารเย็นก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว สวี่เมิ่งไม่ใช่คนทำมื้ออาหารนี้ แต่เป็นภรรยาของอาจารย์ใหญ่ที่ลงมือทำอาหารพร้อมกับเด็ก ๆ
มีมันฝรั่งตุ๋นในซุปไก่ กุ้งแม่น้ำทอด และไข่คนกับกุยช่ายที่สวี่เมิ่งพูดถึงตอนเที่ยง
ขณะที่ทั้งสามเพิ่งจะนั่งลงกินอาหาร ทันใดนั้นมีเสียงรถดังแล่นเข้ามาในสนามเด็กเล่น
สวี่เมิ่งถามด้วยความสงสัย “มันดึกมากแล้ว ทำไมมีรถขับเข้ามาในโรงเรียนล่ะ? หรือว่าผู้นำจะมาตรวจสอบ? แต่มันดึกมากแล้ว ทำไมถึงมาตรวจสอบเวลานี้ล่ะ?”
หล่อนวางชามและตะเกียบลง จากนั้นเดินออกไปด้านนอก ก่อนเห็นรถสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ที่สนามเด็กเล่น และมีชายสองคนลงจากรถ
สวี่เมิ่งถามเสียงดัง “พวกคุณเป็นใครคะ? ทำไมถึงมาโรงเรียนค่ำมืดแบบนี้?”
ชายวัยกลางคนผมหนาและหน้ากลมแนะนำตัวเอง “ผมเป็นรองผู้ว่าการเขตปกครองตนเองเอินซือชื่อต้วนฉางชิง ขออภัยด้วยครับ แต่สหายหลินม่ายอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานที่ยังคงกินอาหารอยู่ด้านในพลันมองหน้ากัน จากนั้นจึงวางชามและตะเกียบลง ก่อนเดินออกไปด้านนอก
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ยากลำบากกันเหลือเกิน รู้สึกหดหู่นิดๆ เลยค่ะ
มาตอนดึกขนาดนี้แถมถามหาหลินม่ายด้วย จะมีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)
……….
Comments