ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวยบทที่ 1625 ความร้อนรนของกุ้ยเฟย
บทที่ 1625 ความร้อนรนของกุ้ยเฟย
……….
บทที่ 1625 ความร้อนรนของกุ้ยเฟย
โหยวไท่ซือถอนหายใจ “ตระกูลโหยวของเราเป็นตระกูลที่มีความเมตตากรุณาและศีลธรรมมาจนถึงทุกวันนี้ ข้างนอกมีคนเล่าลือกันว่าตระกูลโหยวของเราไม่เหมาะสมแต่ไม่เคยถูกจับได้ ตอนนี้เจ้าเป็นกุ้ยเฟย ฐานะสูงส่ง ในวังแห่งนี้นอกจากไทฮองไทเฮาก็ไม่มีใครเหนือไปกว่าเจ้า ไทเฮาให้ความสำคัญกับศีลธรรมมาตลอด อยู่ในวังหลวงแห่งนี้หากเจ้ามีความเมตตากรุณาและศีลธรรม ก็เป็นการดีต่อตัวเจ้าและดีต่อตระกูลโหยวอีกด้วย”
โหยวเหอยังคงมุ่ยปากไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ โหยวไท่ซือจึงถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
ลูกสาวที่ภาคภูมิใจของเขาเชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมบทกวีและทุกอย่าง แต่กลับมีนิสัยที่โหดเหี้ยม เอะอะก็ลงโทษคน เรื่องนี้ทำให้เขาทุกข์ใจเป็นอย่างมาก
นิสัยของนางช่างขัดกับรูปแบบที่ครอบครัวตระกูลโหยวให้ความสำคัญและนับถือ
โหยวไท่ซือตักเตือนลูกสาวตนเองด้วยความหวังดี “ฮ่องเต้เอ่ยถึงเจ้าต่อหน้าข้า ฝ่าบาทกล่าวว่าเจ้ามีความเมตตา นอกจากไทเฮาและองค์หญิงลี่หัว ในวังหลังนี้เจ้าเป็นแบบอย่างที่ดีของการมีคุุณธรรม”
“ท่านพ่อ ท่านว่าอย่างไรนะ ฮ่องเต้ชื่นชมข้าขนาดนี้เลยรึ?” เมื่อโหยวกุ้ยเฟยได้ยินว่าฮ่องเต้ชมตนเองต่อหน้าบิดา ก็อดไม่ได้ที่จะปลื้มปีติจนยิ้มกว้าง
“เป็นความจริง เจ้าอย่าทำให้ฮ่องเต้ผิดหวังเด็ดขาด” โหยวไท่ซือพยักหน้า
ฮ่องเต้งานยุ่งตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต จะมีเวลามาพูดเรื่องนี้กับตนเองได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะกำจัดนิสัยแย่ ๆ ของโหยวเหอแล้ว จึงหมดหนทางและทำได้เพียงโกหกนางเท่านั้น
โหยวเหอตื่นเต้นมากจนไม่แม้แต่จะคิดว่าบิดากำลังโกหกตนเองอยู่ จากนั้นก็ส่งโหยวไท่ซือกลับด้วยความดีใจ พลางเดินไปมาในห้องอย่างตื่นเต้น
สาวรับใช้สามคนเมื่อเห็นนายของตนเองอาการดีขึ้นพลันรู้สึกดีใจ ขอเพียงกุ้ยเฟยไม่ไม่โกรธนั่นเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
แต่ใบหน้าโหยวเหอมีความสุขได้ไม่นาน จู่ ๆ สีหน้านางก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา จากนั้นก็ตะโกนเรียกจือซู จือฉี จือฮั่วเข้ามา และถามด้วยสีหน้าที่ดุร้าย “เมื่อไม่กี่วันก่อน มีผู้ใดมาถามอะไรพวกเจ้าหรือไม่”
สาวใช้ทั้งสามต่างคนต่างมองหน้ากัน ราวกับไม่เข้าใจในสิ่งที่โหยวกุ้ยเฟยพูด
“มีคนเคยมาถามพวกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องในวังหรือไม่” โหยวกุ้ยเฟยถามต่อ
ตอนนั้นเองจือฮั่วพยักหน้า “เหนียงเหนียง ไม่กี่วันก่อนขันทีฉี ถามข้าว่าทำไมไม่เห็นจือฉินเลย”
สายตาโหยวกุ้ยเฟยนิ่งงัน “แล้วเจ้าล่ะ ตอนนั้นเจ้าตอบขันทีฉีว่าอย่างไร”
“ตอนนั้นข้าน้อยบอกไปว่า จือฉินไม่ระวังจนโรคภูมิแพ้กำเริบ คันไปทั้งตัวจนทนไม่ไหว เหนียงเหนียงจึงสั่งให้นางพักผ่อนเพคะ”
จือฮั่วตอบอย่างระแวดระวัง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นสีหน้าโหยวกุ้ยเฟยจึงดีขึ้นมาหน่อย แต่ยังถามต่ออีกครั้ง “แล้วเขาพูดอะไรอีก”
“ขันทีฉีไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่เหลือบตามองข้าน้อยแล้วก็ออกไป” จือฮั่วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เหตุใดไม่มารายงานข้า” โหยวกุ้ยเฟยได้ยินก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงตวาดขึ้นเสียงเย็นชา
จือฮั่วได้ยินก็รีบคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว และอ้อนวอนขอความเมตตา “เหนียงเหนียง ไว้ชีวิตด้วย ตอนนั้นข้าน้อยแค่รู้สึกว่าขันทีฉีถามเรื่อยเปื่อย ข้าน้อย…ข้าน้อยคิดว่าเขาไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจึงมิได้รายงานต่อกุ้ยเฟยเพคะ”
“ไร้ประโยชน์ ข้าจะเก็บคนไร้ประโยชน์แบบพวกเจ้าไว้เพื่อการใด แค่เรื่องเล็ก ๆ ยังจัดการได้ไม่ดี” โหยวกุ้ยเฟยรุดขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว ง้างขายันจือฮั่วจนล้มกลิ้งขลุก ๆ บนพื้น พลางถอนหายใจฟึดฟัด
เมื่อจือซูและจือฉีเห็นเช่นนี้ก็รีบคุกเข่าอย่างหวาดผวา ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาผู้เป็นนาย
โหยวกุ้ยเฟยเดินครุ่นคิดกระวนกระวายว่าจะทำเรื่องนี้อย่างไรดี ครั้งก่อนนางได้ล่วงเกินขันทีฉี อีกทั้งเขายังตั้งใจมาถามถึงสถานการณ์ของจือฉินอีก
เขาเป็นขันทีข้างกายฮ่องเต้ ติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้ไม่ห่าง ไหนเลยจะมีเวลาสนใจนางกำนัลในวัง
แต่ตอนนี้เขาได้ยื่นมือมายุ่งเรื่องนี้ อีกทั้งยังถามถึงสาวใช้ข้างกายนางอีก นี่ต้องเป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดีแน่นอน
ครั้นคิดว่าหลายวันมานี้ฮ่องเต้เมินเฉยต่อนาง หัวใจโหยวกุ้ยเฟยพลันร้อนรน ไม่รู้ว่าขันทีฉีไปรายงานฮ่องเต้เรื่องที่นางทุบทีนังทาสต่ำต้อยหรือไม่
ดังนั้นฮ่องเต้จึงเมินเฉยต่อนาง
ความรู้สึกไม่ดีตีตื้นขึ้น นานแล้วที่ฮ่องเต้ไม่ได้มาหานาง ทั้งยังไม่เรียกนางไปปรนนิบัติตนเอง เวลานี้ฝ่าบาทยังไม่มีรัชทายาท ผู้ที่ต้องปรนนิบัติฝ่าบาทหากไม่ใช่ฮองเฮาก็ต้องเป็นกุ้ยเฟย นางเป็นหญิงตระกูลสูงส่งในเมืองหลวง และเป็นคนที่ได้ครอบครองตำแหน่งนั้น
หากนางสามารถตั้งครรภ์ก่อนและให้กำเนิดบุตรคนโตได้สถานะของนางจะมั่นคงมากกว่าเดิม ชีวิตของนางจะไม่ต้องมีสิ่งใดให้กังวล อีกทั้งยังสามารถต่อกรกับฮองเฮาได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัว
เพียงแต่ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมาหา แล้วนางจะมีทายาทให้เขาได้อย่างไร
โหยวกุ้ยเฟยนั่งบนเตียงนุ่ม ยกมือกุมขมับพลางคิดว่าจะทำอย่างไรให้ฝ่าบาทมาหาตน แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรน มองดูนางกำนัลสามคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นก็ยิ่งขัดหูขัดตา
นางกำนัลรับใช้ทั้งสามคนรวมถึงจือฉินล้วนถูกส่งมาจากจวนตระกูลโหยว เป็นสาวใช้ข้างกายที่เติบโตมาพร้อมนาง พวกนางซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อตน เมื่อนางได้เป็นกุ้ยเฟยพวกนางจึงติดตามมาด้วย กุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ไม่สามารถออกจากวังได้อย่างตามใจ ชีวิตของนางกำนัลก็ไม่ต่างกัน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ โหยวกุ้ยเฟยก็มองไปที่จือซูด้วยแววตาสุขุมหลายครั้ง จากนั้นไล่อีกทั้งสองคนออก และเอ่ยกับจือซู
……
กู้เสี่ยวหวานยืนอยู่ใต้ต้นไม้ ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ค่อย ๆ ปลิดปลิ้วร่วงหล่นลงมาอย่างเชื่องช้าตามกระแสลม
ถานอวี้ซูก็ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มองไม้ใบที่ร่วงหล่นลงมาเป็นเพื่อนนาง กู้เสี่ยวหวานไม่พูดอะไร นางก็ไม่ได้พูดอะไร
เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ลุงหลี่ถูกจับตัวไป
ลุงหลี่อยู่ข้างในถูกเซี่ยงหย่วนหลินลงโทษโดยพลการ ถูกตีจนเกิดรอยแผลเต็มตัว หากแต่ก็ไม่ปริปากเอ่ยสิ่งใดสักคำ ได้ยินมาว่าลูกจ้างที่เหลือพูดทุกอย่างจนหมดเปลือก ยอมรับว่ากู้เสี่ยวหวานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับร้านจิ่นฝู และยังพูดออกมาอีกว่าขอเพียงกู้เสี่ยวหวานมาถึงร้านจิ่นฝู ร้านจิ่นฝูจะมีอาหารจานใหม่เพิ่มขึ้น
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนถึงตอนนี้ทางกองกำลังรักษาความสงบก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ หากพูดตามเหตุผล ในเมื่อรู้ความจริงแล้วว่ากู้เสี่ยวหวานมีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านจิ่นฝู พวกเขาต้องมาจับกุมตนให้เร็วที่สุด แต่แล้วเหตุใดเล่า พวกเขาถึงยังไม่มา
กู้เสี่ยวหวานคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
คราวก่อน ข่าวถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว มีคนมากมายมาเข้าร่วมตามหาคน แต่ผ่านไปหลายวันแล้วก็ยังไม่มีแม้แต่เบาะแส แม้ว่าจะมีแต่ก็เพื่อแสร้งหลอกคนอื่นเท่านั้น ทุกอย่างล้วนไม่ใช่ความจริง
……….
Comments