แม่ปากร้ายยุค 80 1185 คนไข้อาการหนัก
ตอนที่ 1185 คนไข้อาการหนัก
ในวันที่อากาศแจ่มใสอีกเพียงสองวันก่อนจะออกจากโรงพยาบาล หลังจากทั้งคู่กินข้าวกลางวันเสร็จ ฟางจั๋วหรานจับมือหลินม่ายเพื่อพาเธอออกไปเดินเล่นรับแดด
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิทางตอนใต้ อากาศข้างนอกจะอุ่นกว่าด้านใน
ทันทีที่ทั้งสองเดินผ่านล็อบบี้ของแผนกผู้ป่วยใน พวกเขาก็ได้ยินพยาบาลทุกคนจับกลุ่มพูดคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทั้งคู่เดินผ่านพยาบาลและได้ยินบทสนทนาบางส่วน
พยาบาลสาวถามกระซิบถาม “พวกเธอได้ยินข่าวนี้หรือเปล่า? ที่ว่าโรงพยาบาลของเรากำลังจะมีผู้ป่วยอาการสาหัสจากการถูกยิงที่หน้าอกเข้ามารับการรักษา”
“หา! จะมีคนถูกยิงได้ยังไง? ประเทศเราห้ามพกปืนไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้น?” นางพยาบาลอีกคนถามด้วยความหวาดกลัวระคนสงสัย
พยาบาลสาวคนหนึ่งพูดแทรกขึ้น “ฉันรู้มาว่าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนคือหลู่ฮั่น ลูกชายคนโตของหัวหน้าหมู่บ้านหุบเขา ไม่ใช่ว่าเขาหลบหนีไปพร้อมอาวุธปืนระหว่างปฏิบัติการปิดล้อมของตำรวจเหรอ? ตำรวจเริ่มปฏิบัติการหว่านแหครั้งใหญ่เพื่อจับกุมตัวเขาอยู่ เขาหลบหนีหัวซุกหัวซุนตลอดทาง และเข้าไปหลบภัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เมื่อเช้านี้เขาจับผู้หญิงคนหนึ่งเป็นตัวประกัน โดยมีเป้าหมายที่จะใช้หล่อนเจรจากับตำรวจให้ปล่อยเขาไป ในระหว่างการเผชิญหน้าของสองฝ่าย คนเลี้ยงสัตว์คนหนึ่งได้ลอบโจมตีจากด้านหลัง ช่วยชีวิตหญิงสาวและปัดอาวุธปืนจนหลุดมือได้ พอหลู่ฮั่นตระหนักว่าไม่สามารถหลบหนีไปได้ภายใต้การล้อมของตำรวจ เขาจึงยอมจำนน แต่ขณะที่กำลังจะถูกจับกุม เขาฉวยโอกาสคว้าปืนยิงใส่หน้าอกคนเลี้ยงสัตว์หนึ่งนัด ได้ยินมาว่าชายคนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้ว่าการมณฑลจึงได้จัดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ขนส่งผู้บาดเจ็บไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน”
หลินม่ายสูดลมหายใจลึกหลังจากได้ยินสิ่งนี้
หลู่ฮั่นคนนี้ค่อนข้างโหดเหี้ยม โชคดีที่เขาแค่ต้องการหนีเอาชีวิตรอด และไม่ได้ตั้งใจที่จะแก้แค้นเธอ
มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบไม่กี่คนที่คอยคุ้มกันคงไม่สามารถช่วยเหลือเธอได้
ท้ายที่สุดเขาก็มีปืนอยู่ในมือ เมื่อถึงเวลาจนมุมแล้ว มันจะมีสิ่งใดอีกที่เขาไม่กล้าทำ
ทั้งคู่เดินมายังสวนเล็ก ๆ ของแผนกผู้ป่วยในและเดินเล่นท่ามกลางแสงแดด
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ดังอยู่เหนือศีรษะ หลินม่ายเงยหน้าขึ้นมองเฮลิคอปเตอร์ที่ค่อย ๆ ลงจอด คาดเดาในใจว่ามันจะต้องเป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ขนส่งคนเลี้ยงสัตว์ซึ่งได้รับบาดเจ็บ
เธอกระซิบ “มาถึงค่อนข้างเร็วเลย”
เธอสวดภาวนาในใจขอให้คนเลี้ยงสัตว์ปลอดภัย จากนั้นจึงเดินเล่นในสวนต่อพร้อมกับฟางจั๋วหราน
แผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลเตรียมพร้อมรอก่อนแล้ว ทันทีที่เฮลิคอปเตอร์ลงจอด เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็รีบหาเปลหามไปเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บขึ้นเปล ก่อนยกเขาขึ้นและตรงไปยังห้องฉุกเฉิน
ทันทีที่ผู้ป่วยมาถึงโต๊ะผ่าตัด ศัลยแพทย์อาวุโสหลายคนที่รออยู่ในห้องผ่าตัดก็ตรวจดูอาการคนเลี้ยงสัตว์ด้วยความรู้สึกประหม่า แต่มีระบบระเบียบ
หลังจากผ่านไปสิบนาที ศัลยแพทย์ทั้งหมดก็แทบจนปัญญา
กระสุนอยู่ใกล้หัวใจมาก และปัจจัยเสี่ยงของการผ่าตัดสูงเกินไปจนแทบไม่มีโอกาสสำเร็จเลย
ผู้อำนวยการที่รออยู่นอกห้องผ่าตัดได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและกล่าวว่า “หากโรงพยาบาลของเราไม่พร้อมสำหรับสิ่งนี้ ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลโรงพยาบาลผู่จี้ในเมืองเจียงเฉิงแล้วกัน ตราบใดที่ยังมีความหวังแม้เพียงริบหรี่ เราก็ไม่สามารถยอมแพ้ได้”
ศัลยแพทย์กล่าวคำพูดที่เหมือนน้ำเย็นราดรดใส่เขา “ผู้บาดเจ็บอยู่ในสภาพแย่มากและไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้อีกต่อไป หากเราฝืนเคลื่อนย้ายอีก เขาอาจจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
ผู้อำนวยการรับฟังดังนั้นก็สูดหายใจเข้าลึก
ภรรยาคนเลี้ยงสัตว์ที่เดินทางมาโรงพยาบาลได้ยินดังนั้นก็หลั่งน้ำตาเป็นสาย
ขณะที่หล่อนร้องไห้ ทันใดนั้นดวงตาของหล่อนก็ส่องประกายขึ้นและพูดกับผู้อำนวยการว่า “พี่สะใภ้ของฉันเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งนี้ ลูกพี่ลูกน้องควรจะอยู่กับหล่อนเช่นกัน พี่ชายฉันเป็นศัลยแพทย์ชื่อดังของโรงพยาบาลผู่จี้ ฉันจะหาพี่ชายและขอให้เขาทำการผ่าตัดให้เฉิงกวงที่นี่ เขาจะต้องช่วยเหลือเฉิงกวงได้อย่างแน่นอน” จากนั้นหล่อนก็วิ่งออกไป
ผู้อำนวยการพูดกับคนรอบตัว “ใครคือพี่สะใภ้ของครูสวี่? แล้วใครคือลูกพี่ลูกน้องของหล่อน?”
ผู้คนรอบตัวเขาต่างส่ายหัวแสดงความสับสน
พยาบาลคนหนึ่งพูดว่า “ดูเหมือนว่าพี่สะใภ้ของครูสวี่จะเป็นคุณหลินจากวอร์ดหมายเลข 5 นะคะ สามีของคุณหลินคือศาสตราจารย์ฟางจั๋วหรานจากโรงพยาบาลผู่จี้”
พยาบาลอธิบายว่า “ตอนที่ครูสวี่มาเยี่ยมคุณหลินเมื่อสองวันก่อน ฉันบังเอิญกำลังวัดไข้คุณหลินและได้ยินครูสวี่เรียกคุณหลินว่าพี่สะใภ้”
ศัลยแพทย์คนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้น “เร็วเข้า เร็ว รีบเชิญศาสตราจารย์ฟางมาที่นี่ บางทีเขาอาจทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาและช่วยชีวิตคนไข้ได้จริง ๆ”
ฟางจั๋วหรานและภรรยากำลังเดินเล่นอยู่ในสวน ก่อนเห็นพยาบาลหลายคนวิ่งมาหาพวกเขา
ท่าทางเร่งรีบราวกับโจรปล้นเจ้าสาวทำให้ทั้งคู่เกิดความสับสน
ด้านหลังนางพยาบาลคือสวี่เมิ่งที่กำลังร้องไห้
พยาบาลรีบจูงมือฟางจั๋วหรานเดินจากไป โดยบอกเขาระหว่างทางว่าผู้ป่วยอาการหนักที่เพิ่งถูกส่งตัวด้วยเฮลิคอปเตอร์จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดจากเขา
สวี่เมิ่งตะโกนไล่หลัง “เขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตฉันไว้ พี่ต้องช่วยเขาให้ได้นะ!”
ฟางจั๋วหรานและภรรยาจึงปะติดปะต่อเรื่องราวได้ทันทีว่า ผู้หญิงที่หลู่ฮั่นจับเป็นตัวประกันก็คือสวี่เมิ่ง
ฟางจั๋วหรานตอบกลับ “ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่” ก่อนรีบรุดหน้าไปยังห้องฉุกเฉินพร้อมกับกลุ่มพยาบาล
หลินม่ายเดินเข้ามาหาและโอบกอดสวี่เมิ่งที่กำลังร้องไห้ไว้ในอ้อมแขน
หญิงสาวทั้งสองรออยู่นอกห้องฉุกเฉินนานกว่าสองชั่วโมง ก่อนประตูห้องฉุกเฉินจะถูกเปิดออก
สวี่เมิ่งค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยใบหน้าซีดเซียว
หล่อนจับมือหลินม่ายไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่ง น้ำตายังคงหลั่งไหลไม่ขาดสาย และพูดด้วยความกังวล “ม่ายจื่อ เฉิงกวงจะตายแล้วหรือเปล่า? ไม่อย่างนั้นการผ่าตัดคงไม่เสร็จเร็วขนาดนี้”
หลินม่ายยืดคอไปมองดูเตียงคนไข้ที่ถูกเข็นออกจากห้องฉุกเฉิน “เฉิงกวงไม่ได้ถูกคลุมด้วยผ้าสีขาว เขาควรจะปลอดภัยแล้ว”
เธอพยุงสวี่เมิ่งที่ขาเป็นเหน็บชาและเดินไปหน้าห้องฉุกเฉิน ถามฟางจั๋วหรานจากระยะไกล “คนเจ็บเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“โชคดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือทันเวลา เหลือเพียงรอฟื้นตัว” ฟางจั๋วหรานตอบ
สวี่เมิ่งหลั่งน้ำตาแห่งความสุข ก่อนเดินไปยังด้านข้างเตียงคนไข้โดยไม่สนใจการประคองของหลินม่าย จากนั้นจึงก้มศีรษะมองเหวยเฉิงกวง
ใบหน้าของเหวยเฉิงกวงขาวซีดราวกับหิมะ ขณะที่ยังคงหลับตานอนอย่างสงบ
หล่อนโล่งใจเล็กน้อยและหันไปพูดกับฟางจั๋วหราน “ขอบคุณนะคะพี่”
ฟางจั๋วหรานพูดคำเบา “ไม่เห็นต้องขอบคุณฉันเลย หากเป็นคนอื่น ฉันก็จะทำให้ดีที่สุดเช่นกัน มันเป็นหน้าที่ของหมอที่จะต้องช่วยชีวิตและรักษาผู้บาดเจ็บ”
หลินม่ายยิ้มและพูดกับสวี่เมิ่ง “ตอนนี้คงโล่งใจแล้วสินะ ฉันเห็นว่าเมื่อครู่เธอวิตกกังวลมากเลย”
สวี่เมิ่งยิ้มอย่างเขินอาย “ฉันไม่คาดคิดว่าการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงขนาดนี้จะใช้เวลาสั้น ๆ มันช่วยไม่ได้นี่นาที่จะคิดมากในสถานการณ์แบบนั้น~”
ฟางจั๋วหรานอธิบาย “การผ่าตัดที่สำคัญไม่ได้ใช้เวลานานเสมอไป”
สองวันต่อมา หลินม่ายก็หายดีและออกจากโรงพยาบาล
ก่อนออกเดินทาง ทั้งคู่ไปเยี่ยมเหวยเฉิงกวง
ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของสวี่เมิ่ง เหวยเฉิงกวงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
สองเดือนต่อมา คดีความเรื่องหมู่บ้านหุบเขาก็ยุติลงในที่สุด
เหตุผลที่ใช้เวลานานก็เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก
ทั้งหมู่บ้านมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม แม้แต่คนชราวัย 80 ปีที่แทบจะเดินไม่ได้ เช่นเดียวเด็กอายุเพียง 7 ถึง 8 ขวบที่ไม่ควรจะรู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์นี้
ผู้สูงอายุและเด็กเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยในการค้ายาเสพติด
การลงโทษแต่ละบุคคลต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบคอบจากทั้งหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและศาล
สิ่งสำคัญคือไม่สามารถลงโทษคนทั้งหมู่บ้านได้ ดังนั้นยกเว้นเพียงเด็กเล็ก ทุกคนล้วนถูกส่งเข้าคุก
แม้ว่าอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมาภายใต้ขอบเขตทางกฎหมาย แต่เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะและเด็กทารกล่ะ? จะสามารถส่งพวกเขาทั้งหมดไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าได้เหรอ?
ท้ายที่สุด ผลการตัดสินก็ออกมาว่า ผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปีไม่ต้องรับโทษจำคุก
ผู้เยาว์เหล่านั้นได้รับการเลี้ยงดูโดยผู้สูงอายุของแต่ละครอบครัว หากไม่มีผู้สูงอายุ ผู้เป็นแม่จะถูกรอลงอาญาและอยู่ที่บ้านเพื่อเลี้ยงดูลูกก่อน
คนอื่น ๆ ที่เหลือทั้งหมดล้วนถูกตัดสินจำคุก ซึ่งส่วนใหญ่ถูกตัดสินให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
พี่หมอได้แสดงฝีมืออีกรอบแล้ว แถมช่วยคนสำคัญไว้เสียด้วย
ไหหม่า(海馬)
Comments