แม่ปากร้ายยุค​ 80 1189 บนยอดพายุ

Now you are reading แม่ปากร้ายยุค​ 80 Chapter 1189 บนยอดพายุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1189 บนยอดพายุ

หลินม่ายเข้าไปในซากปรักหักพังเพื่อช่วยเด็ก ๆ ตามลำพัง ท้ายที่สุดมันเป็นการกระทำที่เสี่ยงชีวิต

ชีวิตของเด็กเล็กสำคัญก็จริง แต่ชีวิตผู้ใหญ่ก็มีค่าเช่นกัน เธอจึงไม่ต้องการให้ใครเข้ามาเสี่ยงด้วยกัน

แต่หลายคนรีบวิ่งตามเธอเข้าไป

ลึกเข้าไปในซากปรักหักพัง เด็กเล็กหลายคนถูกขังอยู่ในห้องเรียนที่มีอิฐและซีเมนต์ถล่มลงมา

ทุกคนทำงานร่วมกันเพื่อย้ายอิฐและซีเมนต์ออกไป ผลักเปิดประตูห้องเรียน และบอกให้เด็ก ๆ ที่กำลังร้องไห้เสียขวัญออกมา

เด็กหลายคนไปช่วยครูที่ได้รับบาดเจ็บ

ครูที่มีเลือดไหลอาบหน้าผลักเด็ก ๆ ไปยังทางออกและบอกให้พวกเขาวิ่งออกไปให้เร็วที่สุด

หลังแผ่นดินไหวจะมีอาฟเตอร์ช็อก อิฐและซีเมนต์เหนือศีรษะที่ตกลงมาอยู่ตลอดเวลาอาจถล่มซ้ำได้ทุกเมื่อและจะยิ่งเป็นอันตราย

เด็ก ๆ ทุกคนวิ่งออกไป เหลือเพียงหลินม่ายด้านหลังซึ่งช่วยพยุงครูผู้หญิงที่ได้รับบาดเจ็บ

พวกเธอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กคนหนึ่ง

ทั้งสองมองหน้ากันท่ามกลางแสงสลัว

หลินม่ายพูดกับครูสาวว่า “ดูเหมือนจะมีเด็กติดอยู่ข้างใน ฉันจะไปตรวจสอบดู คุณออกไปก่อนแล้วกัน”

จากนั้นเธอปล่อยมือจากครูผู้หญิงและหันหลังเดินเข้าไปด้านใน

เธอเดินเข้าไปพลางตะโกนเสียงดัง “เธออยู่ที่ไหน? ส่งเสียงตอบฉันที!”

เสียงของเด็กหลายคนดังขึ้น “คุณครู พวกเราอยู่ที่นี่!”

ครูสาวย้ายอิฐและซีเมนต์ที่พังถล่มลงมา และเดินออกจากช่องว่างด้วยความยากลำบาก

คนขับที่นั่งอยู่ในรถขุดมองดูอาคารที่พังถล่มแล้วถามว่า “คุณหลินของเราอยู่ไหนครับ?”

ครูสาวชี้ไปข้างหลัง “ยังมีนักเรียนบางส่วนติดอยู่ข้างใน หล่อนกำลังย้อนกลับไปช่วยพวกเขาค่ะ”

ทันทีที่หล่อนพูดจบ แผ่นดินไหวระลอกที่สองก็เกิดขึ้น

อาคารที่พังทลายยิ่งถล่มลงมามากกว่าเดิมจากแผ่นดินไหว อิฐและซีเมนต์ร่วงลงมาปิดช่องทางออกที่พวกเขาทำไว้

เกิดแผ่นดินไหวที่เมืองจิ่วฉวนของมณฑลกานซู ข่าวดังกล่าวแพร่สะพัดไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว

ในปี 1997 เพจเจอร์ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก และยังมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจำนวนไม่น้อย

ฟางจั๋วหรานโทรไปหาหลินม่ายทันที แต่ไม่มีใครรับสาย

เขากดต่อสายไปหาเสิ่นเสี่ยวผิงอีกครั้ง

หลินม่ายเดินทางไปมณฑลกานซูพร้อมกับเสิ่นเสี่ยวผิง

เสิ่นเสี่ยวผิงละล่ำละลักบอกเขาว่า หลินม่ายถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังเพื่อช่วยเด็กหลายคน ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร

ใบหน้าของฟางจั๋วหรานซีดเซียวลงทันที

เขาต้องการถามหล่อนเพิ่มเติม ทว่าถูกขัดจังหวะเนื่องจากสัญญาณไม่ดี

เขาพยายามต่อสายไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครรับสาย ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดเรื่องร้ายแรงกับเสิ่นเสี่ยวผิงหรือไม่

หัวใจของฟางจั๋วหรานจุกอยู่ในลำคอ เขารีบวิ่งออกจากโรงพยาบาลทันที

เนื่องจากแผ่นดินไหว เที่ยวบินและรถไฟจึงถูกระงับชั่วคราว

ฟางจั๋วหรานจึงขับรถแลนด์โรเวอร์ของตัวเองไปตลอดทาง

เมื่อมาถึงสถานที่ที่หลินม่ายอยู่ มันก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน

เสิ่นเสี่ยวผิงได้ระดมรถขุดทั้งหมดในสถานที่ก่อสร้างเพื่อทำการกอบกู้ซากอาคาร

ที่เกิดเหตุยังมีนักดับเพลิงและทหารประจำการในพื้นที่เพื่อปฏิบัติการกู้ภัย

ฟางจั๋วหรานวิ่งตรงไปหาเสิ่นเสี่ยวผิงทันทีที่ลงจากรถและถามด้วยความกังวล “สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”

เสิ่นเสี่ยวผิงหันศีรษะมามองฟางจั๋วหรานที่เต็มไปด้วยฝุ่นและดวงตาแดงก่ำ ตอบเขาว่า “คุณหลินและเด็ก ๆ ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ คุณหลินเพิ่งตอบกลับเมื่อครู่ที่ผ่านมา”

ฟางจั๋วหรานรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

ขณะนี้ผู้บังคับบัญชาในที่เกิดเหตุออกคำสั่งให้หยุดขุด โดยเกรงว่าหากขุดต่อไป มันจะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ที่ติดอยู่ข้างใน

ปัจจุบันทำได้เพียงพึ่งพากำลังคนเพื่อแผ้วถางซากปรักหักพังด้วยมือเท่านั้น

แม้ว่าการเดินทางจะเหนื่อยล้าเพียงใด ฟางจั๋วหรานก็เข้าไปช่วยเหลือหลินม่ายและเด็ก ๆ พร้อมกับนักดับเพลิงและทหาร

ขณะที่กำลังยกซากปรักหักพัง เขาตะโกนเข้าไปด้านใน “ม่ายจื่อ ผมมาแล้ว! คุณต้องอดทนไว้นะ!”

หลังจากตะโกนหลายครั้ง ในที่สุดเสียงของหลินม่ายก็ดังตอบกลับมา “ฉันจะอดทนไว้ค่ะ!”

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ในที่สุดก็พบตำแหน่งของหลินม่ายและนักเรียนทั้งหลาย

หลินม่ายปกป้องเด็ก ๆ ทุกคนไว้มุมหนึ่งของห้องเรียน

หากไม่ใช่เพราะแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปที่พังทลายลงมาจนเกิดเป็นพื้นที่สามเหลี่ยม หลินม่ายและเด็กหลายคนอาจไม่รอด

เมื่อฟางจั๋วหรานเห็นว่าหลินม่ายยังมีชีวิตอยู่ เขารู้สึกตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหลอาบหน้า

ไป๋เซี่ยและภรรยาซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเนื่องจากอุบัติเหตุของหลินม่ายกอดกันแน่นด้วยความตื่นเต้น

เมื่อฟางจั๋วหรานพาหลินม่ายออกมา เธอพูดด้วยรอยยิ้มกับสามี “ฉันบอกแล้วว่าจะอดทนไว้ และฉันก็ทำได้จริง ๆ”

ฟางจั๋วหรานพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ยังไม่พอ เรายังต้องอยู่จนแก่ตัวลงด้วยกันนะ”

หลินม่ายตอบรับ “อื้อ” จากนั้นพูดว่า “คอแห้งจัง”

“น้ำอยู่นี่! น้ำอยู่นี่!” ฟางเว่ยกั๋วหยิบขวดน้ำแร่เล่อไป่หยวนจากบริษัทหลินม่ายและวิ่งเอามาให้ด้วยตัวเอง

ปีที่แล้วเขาเกษียณอย่างเป็นทางการ แม้จะยังทำงานเป็นที่ปรึกษาในหน่วยงานเดิม แต่เขาก็มีเวลาว่างในการทำงานค่อนข้างมาก

เมื่อได้ยินว่าว่านทงกรุ๊ปของหลินม่ายจะจัดทีมส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์ไปยังพื้นที่ประสบแผ่นดินไหว เขาจึงอาสานำทีมไปที่นั่น

แม้ฟางเว่ยกั๋วจะอายุเกินหกสิบแล้ว แต่เขาก็มีร่างกายที่แข็งแรงและยังขับรถขนส่งสิ่งของได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ

ภายใต้การดูแลของฟางจั๋วหราน หลินม่ายค่อย ๆ จิบน้ำกระทั่งดื่มไปมากกว่าครึ่งขวด ครั้นหายจากอาการกระหายน้ำแล้ว เธอก็ผล็อยหลับไป

เมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว แต่เธอไม่รู้ว่ามันเป็นค่ำคืนของวันเดียวกัน หรือผ่านมาอีกวันแล้ว

ค่ำคืนในมณฑลกานซูเย็นสบายเหมือนสายน้ำ

หลินม่ายดึงแขนของฟางจั๋วหรานโดยไม่รู้ตัว

ฟางจั๋วหรานได้ทำการผ่าตัดเล็กน้อยให้กับผู้ได้รับบาดเจ็บจากแผ่นดินไหวที่สถานีบรรเทาทุกข์ทางการแพทย์ แม้กระทั่งทำการผ่าตัดใหญ่ฉุกเฉินเมื่อจำเป็น

หลังจากทำงานหนักมาทั้งวัน เขาก็เหนื่อยล้ามาก

แต่ไม่ว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เขายังคงมาคอยจับตาดูหลินม่ายด้วยความเป็นห่วง

หากมีสิ่งใดรบกวนแม้เพียงน้อยนิด หลินม่ายจะตื่นขึ้น

ฟางจั๋วหรานโอบกอดหลินม่ายไว้ในอ้อมแขนและถามด้วยความกังวล “ทำไมคุณถึงตื่นล่ะ? คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“ไม่ค่ะ ฉันนอนพอแล้ว”

ฟางจั๋วหรานรู้สึกโล่งใจและถามว่า “คุณได้แผลที่ข้อมือมาได้อย่างไร?”

“เป็นเพราะเด็กนักเรียนพวกนั้นน่ะ” หลินม่ายอธิบาย “ตอนนั้นไม่มีน้ำ เด็กทุกคนล้วนกระหายน้ำกันหมด ฉันกลัวว่าพวกเขาจะทนไม่ไหว จึงกรีดข้อมือแล้วปล่อยให้พวกเขาดื่มคนละเล็กน้อย”

ฟางจั๋วหรานนึกอยากดุเธอที่ประมาทความปลอดภัยของตัวเองมากเกินไปขึ้นมา เธอทำเรื่องแบบนั้นแม้กระทั่งตอนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ เธอคิดว่าตัวเองมีอายุยืนยาวมากหรือยังไง!

เมื่อประสบกับสถานการณ์เช่นนี้ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะยืนดูเด็กหลายคนตายต่อหน้าต่อตา

นี่คือธรรมชาติของมนุษย์

หลินม่ายถามถึงเด็ก ๆ ทุกคนที่เธอเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือ

ฟางจั๋วหรานบอกว่าเด็กทุกคนอยู่ในสภาพดี และกลับสู่อ้อมแขนของผู้ปกครองแล้ว

จู่ ๆ หลินม่ายก็อุทานออก “เดี๋ยวนะ!”

ฟางจั๋วหรานถามด้วยความกังวลใจ “มีอะไรเหรอ?”

หลินม่ายตอบ “ตอนที่คุณมาช่วยฉัน ฉันลืมพูดต่อหน้าสื่อมวลชนที่ถ่ายรูปว่า ‘อย่าสนใจฉัน รีบเข้าไปช่วยเด็ก ๆ ก่อน’ ไม่ใช่หรือไง? สื่อจะคิดว่าฉันเห็นแก่ตัว ห่วงแต่ชีวิตตัวเอง แต่กลับไม่ห่วงชีวิตเด็ก ๆ หรือเปล่า”

ฟางจั๋วหรานหัวเราะเบา ๆ “คุณเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือเด็ก ๆ เหล่านั้น ทุกคนทั้งประเทศต่างก็รับรู้เรื่องดังกล่าวแล้ว ใครจะกล้าตำหนิคุณที่ไม่พูดคำพวกนั้นอีก? นอกจากนี้ คุณปกป้องเด็ก ๆ ไว้ที่มุมห้อง หากเราไม่ได้ช่วยเหลือคุณก่อน แล้วเราจะช่วยเหลือเด็กคนอื่นที่อยู่มุมห้องได้อย่างไร?”

อย่างไรก็ตาม ฟางจั๋วหรานมักคิดว่าสิ่งต่าง ๆ เรียบง่ายและมองโลกในแง่ดีเกินไป

เป็นเพราะหลินม่ายไม่ได้พูดวลีที่กล้าหาญอย่างประโยคที่ว่า อย่าสนใจเธอและไปช่วยคนอื่นก่อน ขณะที่ได้รับการช่วยเหลือ ผู้ที่มีจุดประสงค์ร้ายจึงคว้าโอกาสนี้และก่อให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในสื่อ

โดยกล่าวหาว่าหลินม่ายเห็นแก่ตัว ที่ให้ช่วยผู้ใหญ่แบบเธอก่อนเด็ก ๆ

ทั้งยังบอกด้วยว่าเด็กแฝดทั้งสี่ของหลินม่ายล้วนถือสัญชาติอเมริกัน แต่หลินม่ายกลับสร้างภาพว่ารักชาติ เพื่อแสวงหากำไรจากชาวจีน

มวลชนจำนวนมากที่ไม่รู้ความจริงถูกชักจูงให้หลงผิด และประท้วงต่อต้านกิจการของหลินม่ายอย่างแข็งขัน

ในเวลานี้ทั้งหลินม่ายและว่านทงกรุ๊ปต่างตกอยู่บนยอดพายุ (1)

……….……….……….……………………………………………………………

บนยอดพายุ (风口浪尖) ในเรื่องนี้เป็นคำอุปมาถึงการอยู่ในด่านหน้าของการถูกวิพากษ์วิจารณ์ทางสังคมที่ดุเดือดและเฉียบแหลม ซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก

สารจากผู้แปล

ฟื้นตัวแล้วก็ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ได้แล้วนะม่ายจื่อ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดหลายเรื่องเหลือเกิน เจ้ากรรมนายเวรเต็มไปหมด

ไหหม่า(海馬)

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด