Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ 217 : Loose Ends

Now you are reading Chronology of Renewal | บันทึกสัญญาแห่งการเริ่มต้นใหม่ Chapter 217 : Loose Ends at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ใช่แล้วล่ะจ้ะ ตามตำนานว่าเอาไว้ว่าท่านเทพธิดาแห่งความตายเป็นหญิงสาวที่มีเรือนผมสีขาวบริสุทธิ์ยาวจรดเข่าและนัยน์ตาสีแดงดุจโลหิตที่จะมาปรากฏตัวให้ผู้คนเห็นในช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาน่ะจ้ะ

 

ตึกตักตึกตักตึกตัก—

 

ในชั่วขณะที่โมโกะกำลังรู้สึกเหมือนจะหมดสติไปนั้นเอง เธอก็นึกได้ถึงคำพูดที่ซิสเตอร์โจน่าเคยบรรยายเอาไว้ถึงลักษณะของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าเทพธิดาแห่งความตายผู้ที่ว่ากันว่ายังคงหลับใหลอยู่ในเมืองแพนเทร่าแห่งนี้ขึ้นมาได้

 

“………..”

 

ซึ่งลักษณะของเทพธิดาแห่งความตายที่โจน่าเคยกล่าวเอาไว้นั้นก็ตรงกับลักษณะของหญิงสาวผมสีขาวนัยน์ตาสีแดงในชุดเดรสสีดำที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยนจนทำให้โมโกะที่ล้มลงไปนอนอยู่กับพื้นจำเป็นที่จะต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เธอคือ— อึ๊ก!!!”

 

ตึกตักตึกตักตึกตัก!!!

 

แต่ทว่าในจังหวะที่โมโกะกำลังจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาอยู่นั้นเองอยู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แล่นออกมาจากภายในหัวใจที่ราวกับว่ากำลังมีอะไรบางอย่างกำลังทิ่มแทงออกมาจากภายในอีกทั้งความเจ็บปวดที่ว่านั้นก็ค่อยๆ แผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้างและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เธอส่งเสียงกรีดร้องออกมาไม่ได้ซะด้วยซ้ำและทำได้เพียงแค่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่กับพื้น

 

แต่ถึงแม้ว่าดวงใจของโมโกะจะรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่ามันกำลังจะฉีกขาดออกจากกันอีกทั้งสายตาของเธอก็กำลังค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกินไปพร้อมๆ กับที่ร่างกายกายของเธอกำลังรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจนไม่สามารถที่จะจับใจความเสียงของนากา ด็อคและยุยที่ดูเหมือนว่าจะกำลังร้องโวยวายกันอยู่รอบกายของเธอเลยได้เลยแม้แต่น้อย

 

แต่ว่าเธอก็กลับสามารถที่จะสัมผัสได้ถึงตัวตนของหญิงสาวผมสีขาวเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจนในขณะที่ทั้งเสียงและความอบอุ่นจากผิวกายของนากาที่ประคองเธออยู่กลับค่อยๆ เลือนรางหายไปหลงเหลือเอาไว้เพียงแค่เสียงร้องด้วยความเป็นห่วงของเขาและเสียงโหวกแหวกที่ฟังไม่ได้ศัทพ์ของยุยและด็อคและเสียงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นอย่างรุนแรงจนแทบจะกลบเสียงอื่นๆ ไปเสียหมด

 

“โม— ได้ยินฉัน— อย่าเพิ่งหลับ—”

 

“อย่าให้—หลับเด็ด—นะ—”

 

“เร็วเข้า—”

 

“………..”

 

ตึกตักตึกตักตึกตัก…

 

และถึงแม้ว่าในขณะนี้โมโกะจะยังคงสามารถสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วทั้งร่างกายของเธอได้อยู่ก็ตามที แต่ทว่าในเวลานี้รอบกายของเธอก็กลับหลงเหลือเพียงแค่ความมืดที่มีเพียงเสียงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นอย่างแผ่วเบาและหญิงสาวผมสีขาวในชุดเดรสคนหนึ่งที่ยังคงยืนนิ่งมองตรงมาทางเธออย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพียงเท่านั้น อีกทั้งสติที่เคยพร่ามัวของเธอก็กลับมาแจ่มชัดอีกครั้งจนทำให้โมโกะตัดสินใจที่จะพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา

 

“เธอเป็นใครน่ะ… ใช่เทพธิดาแห่งความตายอะไรนั่นหรือเปล่า”

 

“………….”

 

แม้ว่าหญิงสาวในชุดเดรสสีดำเบื้องหน้าจะได้ยินคำถามของโมโกะไปแล้วก็ตาม แต่ทว่าเธอก็กลับทำเพียงแค่ยืนนิ่งมองดูโมโกะอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดตอบอะไรกลับมาจนทำให้โมโกะที่เห็นแบบนั้นต้องพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ฉันถามว่าเธอเป็น— อึ๊ก….”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังจะพูดถามขึ้นมาอีกครั้งนั้นเอง อยู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกง่วงงุนที่รุนแรงจน ในขณะที่ร่างของหญิงสาวเบื้องหน้าก็กลับค่อยๆ เลือนหายไปจนในที่สุดแล้วก็เหลืออยู่เพียงแค่ตัวโมโกะที่นอนทรุดอยู่กับพื้นในโลกที่มืดมิดโดยมีเพียงเสียงของหัวใจของตัวเธอเองที่ค่อยๆ เต้นอย่างแผ่วเบาลงทุกขณะเพียงเท่านั้น

 

ตึกตักตึกตัก…ตึกตัก…ตึก…ตัก

 

“……..”

 

ตึกตัก…ตึก…ตัก

 

“โมโกะ…”

 

“……?”

 

แต่แล้วในขณะที่สติของโมโกะกำลังค่อยๆ จะหลุดลอยไปกับความง่วงซึมที่รุนแรงนั้นเอง อยู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิดแห่งนี้ ซึ่งเสียงของชายคนนั้นที่ฟังดูคุ้นหูและน้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกโหยหานั้นก็ได้ทำให้สติของโมโกะค่อยๆ กลับมาแจ่มชัดอีกครั้งก่อนที่ทันใดนั้นเองเสียงของชายคนนั้นจะดังขึ้นมาให้เธอได้ยินอีกครั้งหนึ่ง

 

“โมโกะ ตื่นได้แล้วนะลูก นี่มันจะสายอยู่แล้วนะ”

 

“คุณพ่อคะ!?”

 

โมโกะที่ได้ยินเสียงที่เธอโหยหาและแรงเขย่าเบาๆ ดั่งเช่นที่เธอเคยได้สัมผัสในทุกๆ ครั้งที่เธอตื่นสายนั้นได้รีบลุกพรวดกลับขึ้นมาอีกครั้งจนทำให้ผ้านวมหนักอึ้งที่กำลังคลุมทับร่างของเธออยู่ปลิวสะบัดออก เผยให้เห็นร่างของชายวัยกลางคนที่มีหูแมวและสวมแว่นตาที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างๆ เตียงนอนของเธอที่ในบัดนี้ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกตกใจไม่ใช่น้อยที่อยู่ๆ โมโกะก็ลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงอย่างรุนแรงอย่างนั้น

 

“ใจเย็นๆ ก่อนสิลูก เดี๋ยวก็หน้ามืดเอาหรอก”

 

“ค…คุณพ่อ!!? คุณพ่อจริงๆ หรอคะ!!?”

 

หมับ—

 

“เหวอ— อะไรของลูกเนี่ย ฝันร้ายงั้นหรอ ไม่เป็นไรแล้วนะๆ”

 

“ฮึก… คุณพ่อคะ…”

 

โมโกะที่ได้พบกับคุณพ่อของเธอนั้นได้คว้าร่างของเขามาสวมกอดเอาไว้ก่อนที่เธอจะร้องไห้ฟูมฟายออกมา และหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพักหนึ่งแล้วสองพ่อลูกก็ได้ผละออกจากกันก่อนที่คุณพ่อของโมโกะจะเป็นฝ่ายพูดถามลูกสาวของเขาที่ทำตัวแปลกไปออกมา

 

“แล้วนี่สรุปว่าลูกเป็นอะไรล่ะ ฝันร้ายหรือเปล่า สนใจจะเล่าให้พ่อฟังหน่อยมั้ย”

 

“ฝันร้ายงั้นหรอคะ…?”

 

คำถามของคุณพ่อของโมโกะได้ทำให้เด็กสาวที่ผละออกมาจากอ้อมกอดของเขาต้องมองซ้ายมองขวามองดูรอบกายด้วยความสับสนเนื่องจากว่าในเวลานี้เธอได้พบว่าเธอกำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนของเธอเองที่ควรจะตั้งอยู่ในหมู่บ้านโมริโกะที่ถูกบุกโจมตีและเผาทำลายจนล่มสลายไปแล้ว

 

แต่ถึงอย่างนั้นด้วยสภาพห้องนอนที่ยังคงอยู่ในสภาพดีและมีข้าวของทุกชิ้นที่เธอจำได้ตั้งวางอยู่ระเกะระกะดั่งเช่นเดิมนั้นมันก็ทำให้เธอสับสนไม่ใช่น้อยและนั่นก็ทำให้เด็กสาวตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องที่เธอจำได้ออกมาให้คุณพ่อของเธอฟัง

 

“คือว่า… มันอาจจะเป็นฝันร้ายก็ได้แหล่ะมั้งคะ… หนูฝันว่าหลังจากที่ออกจากหมู่บ้านไปแล้วมันก็…”

 

โมโกะที่เปิดปากเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมานับตั้งแต่เธอเดินทางออกจากหมู่บ้านไปกับพวกนากาและอารอนนั้นได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดให้คุณพ่อของเธอฟังโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเธอแค่อยากจะใช้เวลาพูดคุยกับคุณพ่อของเธอให้มากที่สุด และนั่นก็ทำให้เธอเล่าตั้งแต่เรื่องที่ว่าเธอขึ้นรถกระบะไปกับพวกอารอนจนได้พบเจอกับเอริกะที่เป็นเพื่อนเก่าของเขา เรื่องที่ว่าเธอได้เข้าเรียนในโรงเรียนรีมินัสพร้อมกับพวกนากา เรื่องของรีซาน่าและหมู่บ้านของเธอ จนไปถึงเรื่องที่ว่าหมู่บ้านโมริโกะถูกโจมตีทำให้คุณพ่อของเธอเสียชีวิตอีกทั้งหูของเธอก็ถูกไฟไหม้จนขาดแหว่งไปหนึ่งข้างและเนื้อตัวก็เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นน่าเกลียดอีกต่างหาก

 

ซึ่งในทันทีที่โมโกะเล่าออกมาจนถึงตอนนี้นั้นเอง คุณพ่อของโมโกะก็ได้ส่ายหน้าไปมาก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นไปลูบหัวของโมโกะแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“ลูกน่าจะคิดมากเรื่องที่ว่านากาเขาออกเดินทางไปเรียนต่อที่เมืองรีมินัสจนเก็บมาฝันร้ายแล้วล่ะ เพราะเมื่อวานนี้ลูกกลุ้มใจน่าดูเลยนี่นา… ที่เห็นลูกบอกว่าไม่รู้ว่าที่พวกนากากับพรีมูล่าเขาไปเมืองรีมินัสกันแบบไม่บอกลาลูกก่อนแบบนั้นเป็นเพราะว่าพวกเขาโกรธที่ลูกหนีออกมาจากป่าก่อนคนเดียวหรือเปล่าน่ะ”

 

“เอ๋ะ? หมายความว่ายังไงน่ะคะ?”

 

“หืม? ก็ที่ลูกบอกว่าตอนที่ลูกเข้าไปตามหาพรีมูล่าแล้วเจอเด็กผู้หญิงคนนึงบาดเจ็บอยู่ในป่าลูกรู้สึกเหมือนกับว่าถูกตัวอะไรจ้องมองอยู่ก็เลยรีบวิ่งกลับมาตามคุณอารอนไปช่วยพวกนากาเขาแต่ก็ไม่กล้ากลับเข้าไปในป่าอีกครั้งก็เลยกลับมาที่บ้านก่อนนั่นไง แล้วพอคุณอารอนกลับมาเขาก็รีบพาพวกนากากับพรีมูล่าขึ้นรถไปที่รีมินัสกันเลยโดยไม่ได้มาบอกลาลูกก่อนน่ะ”

 

“เอ๋… อย่างงั้นหรอคะ…”

 

โมโกะที่ได้ยินคำอธิบายของคุณพ่อของเธอได้ผงะไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจเพราะว่ามันไม่เหมือนกับที่เธอจำได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกับว่าจะแปลกใจของโมโกะนั้นเองก็ได้ทำให้คุณพ่อของเธอเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งพลางเลื่อนมือไปสัมผัสที่หูแมวบนศีรษะของเธอไปด้วย

 

“อีกอย่างนึงตัวลูกก็ไม่เห็นมีแผลเป็นอะไรเลยแถมหูก็ยังอยู่ครบด้วยจริงมั้ยล่ะ”

 

“เอ๋ะ?”

 

คำพูดของคุณพ่อของโมโกะในคราวนี้ได้ทำให้โมโกะต้องเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะพบว่าในบัดนี้ตาข้างหนึ่งของเธอที่เคยพร่ามัวเนื่องจากถูกไฟคลอกนั้นกลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนดั่งเช่นปกติ อีกทั้งใบหูแมวข้างซ้ายของเธอที่ถูกมีอาตัดทิ้งไปเนื่องจากไม่สามารถรักษาได้ก็ยังคงอยู่บนศีรษะของเธออีกด้วย

 

ซึ่งภาพของโมโกะที่ดูเหมือนจะสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่น้อยนั้นก็ได้ทำให้คุณพ่อของเธอหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปโดยทิ้งคำพูดทิ้งท้ายเอาไว้

 

“ถ้ายังไงก็ไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อยก่อนก็แล้วกันนะ เดี๋ยวพ่อขอลงไปเตรียมข้าวเช้าก่อนก็แล้วกัน”

 

“อ…อื้อ… เข้าใจแล้วค่ะ”

 

โมโกะขานตอบคุณพ่อของเธอกลับไปและใช้เวลาอีกสักพักหนึ่งในการนั่งอยู่บนเตียงด้วยความสับสนก่อนที่เธอจะตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อจัดการจัดเตรียมเสื้อผ้าอาบน้ำให้เรียบร้อย ซึ่งนอกจากบรรดาของเก่าที่เธอเก็บสะสมเอาไว้เต็มห้องแล้ว โมโกะก็ยังได้พบว่าข้าวของภายในตู้เสื้อผ้าของเธอนั้นก็ยังอยู่เหมือนเดิมเหมือนกับที่เธอยังจำได้ไม่มีผิดเพี้ยนราวกับว่าตัวเธอได้ย้อนกลับมายังช่วงเวลาก่อนที่จะได้เดินทางออกจากหมู่บ้านไปอย่างไรอย่างนั้น

 

ซึ่งโมโกะก็ได้ใช้เวลาสักพักหนึ่งในการอาบน้ำแต่งตัวและทานอาหารร่วมกับคุณพ่อของเธอดั่งเช่นที่เธอเคยทำในทุกๆ วัน แต่ถึงอย่างนั้นคิ้วของเธอก็กลับขมวดด้วยความสงสัยตลอดช่วงเวลาอาหารเช้าจนทำให้คุณพ่อของเธอที่เห็นแบบนั้นตัดสินใจที่จะพูดขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาทานมื้อเช้ากันเสร็จแล้ว

 

“ยังคิดมากเรื่องฝันร้ายอยู่อีกหรอลูก?”

 

“อ่ะ—เปล่าค่ะ แค่ว่า… หนูรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีอะไรแปลกๆ แต่ก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน…”

 

“อื้ม… ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นว่าวันนี้ลูกพักอยู่ที่บ้านก็ได้นะ ไม่ต้องตามพ่อเข้าป่าไปหรอก”

 

“เอ๋ะ? วันนี้คุณพ่อก็จะเข้าไปในป่าด้วยหรอคะ? ไม่ใช่ว่าเมื่อวานนี้คุณพ่อเพิ่งจะเข้าไปมาเองหรอกหรอ?”

 

โมโกะที่ได้ยินว่าคุณพ่อของเธอมีแผนจะเข้าไปในป่าอีกครั้งหนึ่งนั้นได้พูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะว่าเท่าที่เธอจำได้ ในวันที่เธอและพวกนากาเดินทางออกจากหมู่บ้านไป คุณพ่อของเธอก็มีแผนจะเข้าไปหาของป่าเช่นเดียวกันและโดยปกติแล้วพวกเธอก็จะไม่ค่อยจะได้เข้าไปหาของป่าติดๆ กันแบบนั้นสักเท่าไหร่นัก ซึ่งถามของโมโกะนั้นก็ได้ทำให้คุณพ่อของเธอต้องพูดอธิบายขึ้นมาให้เด็กสาวได้ฟัง

 

“วันนี้พ่อว่าจะลองเข้าไปดูตรงที่ลูกบอกว่าเจอเด็กคนนั้นนอนบาดเจ็บอยู่ว่าเขาลืมอะไรทิ้งเอาไว้หรือเปล่าจะได้เอามาเก็บเอาไว้ให้ก่อนน่ะ แล้วเห็นลูกบอกว่าพรีมูล่าเขาเห็นดาวตกหรืออะไรด้วยใช่หรือเปล่าล่ะ”

 

“ถ้างั้นเดี๋ยวหนูไปกับพ่อด้วยก็แล้วกันค่ะ”

 

“เอ๋ะ? ลูกแน่ใจแล้วหรอ? ลูกจะอยู่บ้านพักให้สบายใจก่อนก็ได้นะ พ่อไม่ว่าอะไรหรอก”

 

คุณพ่อของโมโกะพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ เพราะว่าโดยปกติแล้วถึงแม้ว่าโมโกะจะยอมตามเขาเข้าไปหาของป่าข้างในป่าทึบข้างหมู่บ้านอยู่เป็นประจำก็ตาม แต่ว่าส่วนมากเธอก็มักจะอิดออดและทำท่าเหมือนกับว่าจะรีบอยากไปเล่นกับพวกพรีมูล่าและนากาเร็วๆ อยู่เสมอ

 

แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านโมโกะที่ยังคงจำได้ดีว่าในครั้งสุดท้ายที่เธอได้คุยกับคุณพ่อดีๆ นั้นมันจบลงด้วยการที่เธอและเขาทะเลาะกันเนื่องจากว่าเธอไม่อยากกลับไปอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านโมริโกะและวิ่งหนีเขาไปจนทำให้เขาต้องกลับไปที่หมู่บ้านคนเดียว และนั่นก็ทำให้เธอคิดที่จะอยู่กับคุณพ่อของเธอให้มากที่สุด ต่อให้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันหรือว่าภาพลวงตาก็ตามที

 

และเมื่อคุณพ่อของโมโกะเห็นแบบนั้นแล้วเขาก็ได้นั่งลงอีกครั้งเพื่อรอให้โมโกะทานอาหารเช้าเสร็จก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะเดินออกจากบ้านเข้าไปข้างในป่ากันจนในที่สุดก็ได้พบเข้ากับหลุมบ่อรอยไถลและเศษซากโลหะสีดำที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณที่ถึงกับทำให้คุณพ่อของโมโกะต้องพูดพึมพำออกมา

 

“นี่น่ะหรอดาวตกที่หนูพรีมูล่าพูดถึงน่ะ… ดูเละเทะอยู่เหมือนกันนะเนี่ย โชคดีแล้วล่ะที่พวกลูกไม่เป็นอะไรน่ะ”

 

“อื้อ แล้วก็ตรงต้นไม้ตรงนั้นน่ะที่พรีมูล่าเขาเจอเด็กผู้หญิงคนนั้นนอนสลบอยู่น่ะค่ะ”

 

โมโกะพยักหน้ารับคำพูดของคุณพ่อของเธอเล็กน้อยและชี้ตรงไปยังต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีคราบเลือดแห้งกรังกองอยู่บ่งบอกถึงความรุนแรงของบาดแผลที่อลิซได้รับในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นบริเวณรอบๆ ก็กลับไม่มีร่องรอยของอลิซเลยแม้แต่น้อยบ่งบอกว่าเธอน่าจะโดนอารอนพาตัวไปที่เมืองรีมินัสพร้อมกับพวกนากาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วตามที่คุณพ่อของเธอบอกจริงๆ

 

“แม้แต่อลิซก็ไม่อยู่งั้นหรอ…”

 

“นั่นคงจะเป็นชื่อของเด็กคนที่พวกลูกเจอบาดเจ็บอยู่ตรงนี้สินะ ถ้าเกิดว่าเด็กคนนั้นได้รับบาดเจ็บจริงๆ ก็น่าจะถูกคุณอารอนพาตัวไปด้วยแล้วล่ะ”

 

“อื้ม… นั่นสินะคะ”

 

โมโกะพยักหน้าตอบคุณพ่อของเธอกลับไปสั้นๆ อีกครั้งพลางนึกไปถึงฉากการรักษาแผลของอารอนที่เขาทำให้อลิซบนหลังรถกระบะโดยที่ไม่รอให้ยาชาออกฤทธิ์ก่อนเมื่อครั้งนั้นและนิ่งเงียบมองดูคุณพ่อของเธอก้มๆ มองๆ ดูเศษซากโลหะสีดำที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดถามคุณพ่อของเธอขึ้นมา

 

“นี่คุณพ่อคะ ถ้าเกิดสมมุติว่า… ถ้าเกิดสมมุติว่าหนูอยากจะไปเรียนต่อที่เมืองรีมินัสกับเขาบ้างพ่อจะว่าอะไรหรือเปล่า…?”

 

“หืม? หมายถึงอยากจะไปเรียนต่อที่เมืองรีมินัส ‘กับพวกนากาคุง’ เขาน่ะหรอ?”

 

คุณพ่อของโมโกะที่ได้ยินคำถามของโมโกะได้ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเงยหน้ากลับขึ้นไปถามโมโกะกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ เหมือนกับรู้ทันว่าที่จริงแล้วลูกสาวของเขาต้องการจะถามอะไรและนั่นก็ทำให้โมโกะที่เห็นแบบนั้นหน้าขึ้นสีก่อนที่เธอจะพูดเถียงเขากลับไป

 

“หนูก็บอกว่าแค่สมมุติไง! สมมุติน่ะ!”

 

“จ้าๆ แค่สมมุติก็แค่สมมุติ”

 

คุณพ่อของโมโกะหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อยให้กับท่าทางของลูกสาวของเขาก่อนที่เขาจะนิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งแล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ถ้าเกิดว่าลูกอยากไปเรียนต่อที่โรงเรียนในเมืองจริงๆ ล่ะก็พ่อก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ… จะเป็นเมืองแพนเทร่า เมืองกราวิทัสหรือเมืองซายูกิก็ได้ แต่ว่ามีแค่เมืองรีมินัสเท่านั้นนี่ล่ะที่พ่อไม่อยากให้ลูกไปอยู่ที่นั่นเลย”

 

“แค่เมืองรีมินัสงั้นหรอคะ…?”

 

โมโกะที่ได้ยินคำพูดของคุณพ่อของเธอได้พูดถามกลับไปด้วยความแปลกใจ เพราะถึงแม้เธอจะยังไม่มั่นใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ความฝันหรือไม่ แต่ว่าเมืองรีมินัสที่เธอเคยไปอาศัยอยู่นั้นขอเพียงแค่พวกเธอไม่ได้เข้าไปยุ่งกับเหล่าขุนนางทั้งหลาย การอาศัยอยู่ที่นั่นมันก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น

 

แต่ว่าทางด้านคุณพ่อของโมโกะที่ได้ยินคำถามและท่าทางสงสัยของลูกสาวของเขาก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรกลับไปและหยิบเอาสร้อยคอที่เขาสวมใส่อยู่ออกมาเผยให้เห็นสร้อยคอที่ถูกสร้างขึ้นมาจากคริสตัลสีเขียว ซึ่งเขาก็ได้จ้องมองมันอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะส่งมันไปให้โมโกะและเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา

 

“….พ่อเคยเล่าเรื่องของคุณแม่ให้ฟังหรือเปล่า?”

 

“เรื่องของคุณแม่หรอคะ…?”

 

“อื้ม… ลูกเองก็รู้ใช่มั้ยล่ะว่าพ่อน่ะเป็นนายพราน เป็นนักหาของป่าที่ไม่ค่อยจะได้ออกไปนอกหมู่บ้านสักเท่าไหร่น่ะ แต่ว่าคุณแม่ของลูกน่ะเป็นนักค้าขายที่ชอบเดินทางไปไหนมาไหนก็เลยไม่ได้อยู่ติดบ้านสักเท่าไหร่…”

 

“เอาจริงๆ หนูจำไม่ได้ซะด้วยซ้ำนะว่าเคยเจอคุณแม่ตัวจริงด้วยน่ะ ที่ผ่านมาก็เคยเห็นแค่ในรูปถ่ายรูปนั้นแค่นั้นเอง”

 

โมโกะพูดตอบคุณพ่อของเธอกลับไปแบบไม่คิดอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องคุณแม่ของเธอ เพราะเธอเองก็รู้ดีว่าคุณแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่ที่เธอยังเป็นเพียงแค่เด็กทารกจำความไม่ได้ หรือจะเรียกว่าเธอไม่มีเวลาได้ทำความรู้จักกับคุณแม่ของเธอเลยซะด้วยซ้ำก็ได้ ซึ่งทางด้านคุณพ่อของโมโกะก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในจุดนี้ดีเขาจึงพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงที่ออกจะติดตลกเล็กน้อย

 

“จะว่าไปถ้าจะให้พูดถึงเรื่องรูปถ่ายใบนั้น… เมื่อตอนนั้นคุณแม่เขาไปได้กล้องถ่ายรูปรุ่นแรกๆ มาจากนักประดิษฐ์คนนึงที่เมืองกราวิทัสน่ะ พ่อก็เลยลองกล่อมคุณแม่เขาดูว่าให้ถ่ายรูปของพวกเราเอาไว้สักหน่อยแต่คุณแม่เขาก็ไม่ยอมสักทีเพราะกลัวมันจะเสียมูลค่าตอนจะเอาไปขายต่อ จนพ่อบอกว่าถ้าไม่ถ่ายรูปทิ้งเอาไว้สักหน่อยเดี๋ยวกลับมาบ้านครั้งหน้าเกิดลูกจำหน้าไม่ได้จนถามว่าคุณป้าคนนี้เป็นใครหรอคะขึ้นมาจะทำยังไงนั่นแหล่ะแม่เขาถึงได้ยอมถ่ายรูปทิ้งเอาไว้น่ะ… ถึงจะถ่ายไปบ่นไปไม่หยุดว่าเสียดายของก็เถอะนะ ขี้งกเหมือนหนูไม่มีผิดเลยล่ะ ฮะฮะ”

 

“หนูไม่ได้ขี้งกสักหน่อยนะ!”

 

“หืม? จริงหรอ? ถ้าแบบนี้ก็แปลว่าคงจะได้เวลาเลือกของเก่าในห้องของลูกไปทิ้งแล้วเก็บเอาไว้แค่เท่าที่จำเป็นแล้วสินะเนี่ย”

 

“โถ่! คุณพ่ออ่ะ!!”

 

โมโกะที่ได้ยินคุณพ่อของเธอพูดหยอกล้อเกี่ยวกับของเก่าที่เธอไปเที่ยวเก็บมาสะสมเอาไว้เต็มห้องได้พองแก้มร้องโวยวายกลับไปใส่เขาเล็กน้อยจนทำให้คุณพ่อของโมโกะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งก่อนที่เขาจะเล่าเรื่องของคุณแม่ของเธอขึ้นมาต่อ

 

“แล้วเมื่อตอนที่ลูกอายุสักขวบนึงได้ล่ะมั้ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหลังจากช่วงที่คุณนิลิมกับพรีมูล่าเขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่หมู่บ้านนี้ แล้วก็หลังจากที่คุณอารอนเข้ามาตั้งคลินิกในหมู่บ้านได้ไม่นานสักเท่าไหร่ อยู่ๆ ก็มีอยู่คืนนึงที่คุณพยาบาลของคุณอารอนเขาวิ่งมาเคาะประตูบ้านพวกเราบอกว่าคุณแม่ประสบอุบัติเหตุที่เมืองรีมินัสให้พ่อรีบไปดูอาการของคุณแม่น่ะ”

 

“คุณพยาบาลผมสีทองของอารอนคนนั้นน่ะหรอคะ? ถ้าเกิดว่าคุณพยาบาลเขาเป็นคนมาแจ้งข่าวงั้นก็แปลว่าอารอนเป็นคนรักษาให้คุณแม่งั้นหรอคะ?”

 

“เฮ้อ… ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีน่ะสิจริงมั้ย แต่ว่าไม่ใช่หรอก เมื่อตอนนั้นคุณอารอนเขาได้ข่าวจากคุณหมอที่โรงพยาบาลที่เป็นคนรู้จักกันน่ะว่ามีคนจากหมู่บ้านโมริโกะเจออุบัติเหตุ แล้วพอคุณอารอนรู้ว่าคนเจ็บเป็นคนรู้จักที่หมู่บ้านโมริโกะอย่างคุณแม่ก็เลยรีบส่งคุณพยาบาลเขามาแจ้งให้พวกเรารู้น่ะ”

 

“จะว่าไปคุณพ่อก็ยังไม่เคยบอกหนูเลยนี่นาว่าคุณแม่เขาเป็นอะไรไปกันแน่นอกจากบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุน่ะ”

 

โมโกะที่ได้ยินว่าเรื่องนี้มีอารอนเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยนั้นได้พูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าฝีมือการรักษาของอารอนนั้นไม่เป็นที่สองรองใครอย่างแน่นอน แล้วถ้าเป็นคนอย่างอารอนล่ะก็ถ้าเกิดมีคนรู้จักของเขาได้รับบาดเจ็บหรือเป็นอะไรไปขึ้นมาเขาก็คงจะไม่รอช้าที่จะเข้าไปทำการรักษาด้วยตัวเองอย่างแน่นอน

 

แต่ถึงอย่างนั้น ทางด้านคุณพ่อของโมโกะก็ได้ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดอธิบายขึ้นมาต่อ

 

“อุบัติเหตุรถม้าทับน่ะ… แต่ต้องบอกว่าคุณอารอนไม่ได้มีโอกาสให้รักษาคุณแม่เขาต่างหาก เพราะว่ากว่าคุณอารอนจะรู้ข่าวคุณแม่เขาก็ถูกส่งเข้าโรงพยาบาลของทางเมืองไปแล้วน่ะ เห็นบอกว่าพอขุนนางคนที่ขับรถม้าทับคุณแม่รู้ตัวว่าเกิดอุบัติเหตุ เขาก็รีบพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลที่ดีที่สุดทันที… แต่จะโทษเขาก็ไม่ได้หรอก เพราะใครจะไปคิดล่ะว่าคลินิกในซอยเล็กๆ ของคุณอารอนจะมีคุณหมอที่เก่งกว่าในโรงพยาบาลประจำเมืองอยู่ด้วยจริงมั้ยล่ะ”

 

“ถ้างั้นก็หมายความว่ากว่าคุณแม่จะไปถึงโรงพยาบาลมันก็สายไปแล้วงั้นหรอคะ?”

 

“อืม….”

 

คำถามของโมโกะในคราวนี้ก็ทำให้คุณพ่อของโมโกะนิ่งเงียบไปเป็นเวลาสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจออกมา

 

“เฮ้อ… มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอก เพราะเมื่อตอนที่พ่อไปถึงพ่อเห็นคุณหมอผู้หญิงคนนึงกับผู้ช่วยของเขากำลังพยายามที่จะพูดเถียงกับคุณหมอที่ทำหน้าที่รักษาคุณแม่อยู่น่ะ”

 

“คุณหมอผู้หญิงงั้นหรอคะ?”

 

“อื้อ ถ้าจำไม่ผิดเขาเป็นคุณหมอผู้หญิงผมสีแดงที่มีหางจิ้งจอกฟูๆ กับผู้ช่วยที่เป็นพยาบาลผู้หญิงผมสีขาวน่ะ เห็นเขาเถียงกันเสียงดังออกมานอกห้องเลยว่าเธอมีวิธีที่อาจจะสามารถช่วยรักษาให้คุณแม่ได้อยู่…”

 

“เอ๋ะ—? แล้วถ้าเกิดว่ามีวิธีทำไมเขาถึงไม่ยอมใช้มันรักษาให้คุณแม่ล่ะคะ?”

 

“ถ้าจำไม่ผิดพ่อเห็นเขาเถียงกันว่าเพราะวิธีที่หมอผู้หญิงคนนั้นเสนอมามันอยู่นอกตำราการแพทย์น่ะสิ ถ้าเกิดว่ายอมให้คุณหมอผู้หญิงคนนั้นใช้วิธีการของเธอในการรักษาคุณแม่แล้วผิดพลาดอะไรขึ้นมาเดี๋ยวทางโรงพยาบาลจะเสียชื่อเสียงหาว่าเอาคนไข้ไปทดลองหรือว่าอะไรแบบนั้นนั่นแหล่ะ”

 

“เพราะแบบนั้นคุณพ่อก็เลยเกลียดคนในเมืองรีมินัสจนไม่อยากให้หนูไปที่นั่นสินะคะ…”

 

โมโกะพยักหน้ารับคำพูดของคุณพ่อของเธอออกมาด้วยความเข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านคุณพ่อของโมโกะก็กลับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะพูดอธิบายออกมา

 

“พ่อไม่ได้โกรธหรือว่าเกลียดคนในเมืองรีมินัสหรอก เพราะคนดีๆ ในเมืองนั้นก็มีอยู่ อย่างขุนนางคนที่ขับรถม้าทับคุณแม่เขาก็พร้อมรับผิดชอบทุกอย่างทั้งค่ายาค่ารักษาแถมยังเป็นเรียกหมอที่เก่งที่สุดในโรงพยาบาลมารักษาให้คุณแม่ แถมตอนที่เขารู้ว่าคุณแม่เสียแล้วเขาก็ร้องไห้ก้มหัวขอโทษพ่อใหญ่เลยล่ะ… ถ้าจะมีใครที่พ่อโกรธในเมืองนั้นก็คงจะมีแค่หมอเจ้าของคนไข้ของคุณแม่นั่นล่ะที่ไม่ยอมให้หมอผู้หญิงคนนั้นลองรักษาคุณแม่แล้วดันทุรังพยายามรักษาเองทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ได้ผลน่ะ… หรือถ้าเกิดว่าเขายอมรับว่าตัวเองรักษาไม่ได้แล้ววางมือปล่อยคุณแม่ออกจากโรงพยาบาลไปให้คุณอารอนรักษาให้แทน คุณแม่ก็อาจจะยังรอดอยู่ก็ได้แท้ๆ นะ…”

 

“เอ๋ะ? แต่ถ้าเกิดว่าคุณพ่อไม่ได้โกรธหรือเกลียดพวกเขาแล้วทำไมคุณพ่อถึงไม่อยากให้หนูไปที่เมืองรีมินัสล่ะคะ?”

 

“เรื่องนั้นมันเป็นเพราะว่าพ่อ… พ่อกลัวน่ะ… เพราะถ้าเกิดว่าลูกไปที่เมืองนั้นแล้วเกิดอุบัติเหตุเหมือนกับคุณแม่ขึ้นมา พ่อกลัวว่าลูกอาจจะไปเจอคนแบบเดียวกับคุณหมอคนนั้นขึ้นมาก็ได้”

 

คุณพ่อของโมโกะพูดตอบลูกสาวของเขากลับไปพลางจ้องมองดูสร้อยคริสตัลสีเขียวที่อยู่ในมือของโมโกะก่อนที่เขาจะหยิบมันขึ้นมาและสวมมันให้กับลูกสาวของเขาอย่างเงียบๆ

 

ส่วนทางด้านโมโกะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้รู้สึกสงสัยขึ้นมา เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาก็เคยพยายามห้ามและต้องการที่จะพาเธอกลับหมู่บ้านอยู่เหมือนกันแต่ถึงอย่างนั้นอยู่ๆ เขาก็ยอมกลับไปที่หมู่บ้านและปล่อยให้เธออาศัยอยู่ที่เมืองรีมินัสเสียอย่างนั้น

 

“แล้วถ้าเกิดว่าอยู่ๆ หนูก็ไปที่เมืองรีมินัสโดยไม่บอกแถมยังสมัครเข้าเรียนที่นั่นได้สำเร็จคุณพ่อจะทำยังไงหรอคะ?”

 

“เหมือนแบบในฝันที่ลูกเล่าให้พ่อฟังนั่นน่ะหรอ?”

 

“มันก็… อะไรประมาณนั้นแหล่ะค่ะ”

 

“อื้ม… ถ้าเกิดว่าอยู่ๆ ลูกก็ไปที่เมืองรีมินัสงั้นหรอ… ถ้าเป็นแบบนั้นพ่อก็คงจะอยากไปอยู่ช่วยดูแลหนูด้วยน่ะ เพราะนอกจากเรื่องค่าเทอมแล้วก็ยังมีเรื่องค่าอาหารการกินแล้วก็ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของลูกอีกใช่มั้ยล่ะ”

 

คุณพ่อของโมโกะพูดตอบลูกสาวของเขากลับไปด้วยท่าทางจริงจังก่อนที่เขาจะหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นโมโกะทำหน้ามุ่ยเมื่อเขาพูดเหมือนกับว่าเธอเป็นเด็กน้อยที่ยังต้องมีผู้ปกครองดูแลอยู่ตลอดเวลาอย่างนั้น

 

“อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าลูกจะดูแลตัวเองได้หรือพ่อเห็นว่ามีคนที่พ่อพอจะไว้วางใจพอที่จะฝากให้เขาช่วยดูแลลูกให้แทนพ่อได้อยู่ที่นั่นด้วยแหล่ะ ว่าแต่ที่ลูกถามแบบนี้นี่อย่าบอกนะว่าคิดแอบจะไปอยู่ที่เมืองรีมินัสจริงๆ น่ะ?”

 

“เปล๊าาาาา หนูก็แค่อยากรู้เฉยๆ แค่นั้นแหล่ะ”

 

โมโกะพูดตอบคุณพ่อของเธอกลับไปเสียงสูงและนั่นก็ทำให้คุณพ่อของเธอหลุดยิ้มออกมา เพราะว่าท่าทางของโมโกะในเวลานี้เหมือนกับเวลาที่ภรรยาของเขาที่เสียชีวิตไปแล้วพยายามจะปิดบังอะไรบางอย่างอยู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

 

“น่าๆ ไม่ต้องพยายามปิดบังพ่อหรอก รู้หรือเปล่าล่ะว่าตอนที่คุณแม่เพิ่งจะคลอดหนูเสร็จใหม่ๆ แล้วยังต้องพักฟื้นอยู่คุณแม่เขาก็พูดว่าสมมุติว่าเหมือนกับลูกเนี่ยแหล่ะ เสร็จแล้วไม่ทันไรก็ออกเดินทางไปเฉยเลยล่ะ”

 

“เอ๋? จริงหรอคะ? แล้วคุณพ่อยอมได้หรอคะนั่น?”

 

“ก็นะ ถ้าคุณแม่ของหนูตั้งใจจะทำอะไรแล้วมีใครห้ามได้ซะที่ไหนกันล่ะ แต่ว่านะ ถ้าลูกคิดอยากจะไปเรียนต่อที่ในเมืองจริงๆ ล่ะก็มาบอกพ่อได้ทุกเมื่อเลยล่ะ ถึงจะเห็นอย่างนี้แต่ว่าบ้านเราก็มีเงินเก็บเผื่อเอาไว้สำหรับเรื่องแบบนี้อยู่เหมือนกันนะ”

 

“เอ๋ะ? บ้านเรามีอะไรแบบนั้นด้วยหรอคะนั่น?”

 

“แหม่ ก็คุณแม่เขาเป็นแม่ค้านี่ เรื่องวางแผนการเงินน่ะไม่เป็นสองรองใครหรอก แถมที่ผ่านมาบ้านเราก็สงบสุขดีเพราะงั้นพ่อก็เลยไม่เคยได้พูดถึงเงินในส่วนนั้นน่ะ ว่าแต่ไหนๆ พวกเราก็เข้ามาในป่าลึกขนาดนี้แล้วลองหาอะไรติดไม้ติดมือกลับไปกันบ้างดีมั้ยล่ะ”

 

คุณพ่อของโมโกะพูดตอบเด็กสาวกลับมาก่อนที่พวกเขาจะเดินแยกกันไปหาสมุนไพรป่าหรือพวกเห็ดต่างๆ ที่พอจะหาได้ในพื้นที่แถบนี้ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย

 

และหลังจากที่สองพ่อลูกได้ของติดไม้ติดมือกันแล้วพวกเขาก็ได้พากันเดินกลับไปที่หมู่บ้านกัน และเมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้านเพื่อเก็บข้าวของที่หาได้มาจากในป่าเรียบร้อยแล้วโมโกะก็ได้ตัดสินใจที่จะเดินแยกออกไปดูที่คลินิกของอารอนดูว่าจะยังมีวี่แววของคนอื่นอยู่หรือไม่

 

ซึ่งสภาพรอบๆ ตัวคลินิกที่มีร่องรอยการต่อสู้อย่างกระจกหน้าต่างที่แตกออก รอยกระสุน และต้นไม้ที่หักโค่นลงมาด้วยฝีมือของเดรคก็ได้ทำให้โมโกะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปชอโงกหน้ามองดูด้านในคลินิกที่ไร้ซึ่งร่องรอยของผู้คนและเอ่ยปากพูดพึมพำออกมาเบาๆ

 

“ไปกันหมดแล้วจริงๆ งั้นหรอ…”

 

“มันก็แน่อยู่แล้วแหล่ะจ้ะ ถ้าสำหรับเวลาในตอนนี้อารอนกับพวกเพื่อนใหม่ของเขาก็น่าจะไปถึงรีมินัสกันแล้วล่ะ”

 

“ว๊าย—!?”

 

ในขณะที่โมโกะกำลังพูดพึมพำออกมาอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ก็กลับมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งที่ฟังดูไพเราะเสนาะหูแต่กลับฟังดูเย็นยะเยือกจนน่าขนลุกดังขึ้นมาที่ข้างหูของเธอจนทำให้โมโกะสะดุ้งตกใจและรีบดีดตัวถอยออกมาในทันที

 

และนั่นก็ทำให้เธอได้พบเข้ากับหญิงสาวในชุดเดรสสีดำประดับด้วยโบว์สีแดงฉูดฉาดผู้ที่มีเส้นผมสีขาวและนัยน์ตาสีแดงยืนยิ้มอยู่ด้วยสีหน้านิ่งๆ

 

ซึ่งเมื่อหญิงสาวคนนั้นเห็นว่าโมโกะสะดุ้งตกใจจนรีบกระโดดหนีไปแบบนั้นเธอก็ได้หลุดเสียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมา

 

“คิกคิก ขอโทษทีจ้ะ ฉันไม่นึกว่าเธอจะขี้ตกใจขนาดนั้นน่ะ เธอเป็นคนรู้จักของอารอนเขาหรอจ๊ะ?”

 

“ค–ค่ะ ห…หนูโมโกะ เป็นคนรู้จักของอารอนน่ะค่ะ แล้วคุณคือ…?”

 

โมโกะที่เห็นว่าหญิงสาวเบื้องหน้ามีลักษณะเหมือนกับหญิงสาวที่เธอได้พบเห็นก่อนที่จะหมดสติไปและโผล่กลับมาที่หมู่บ้านโมริโกะในอดีตอย่างไม่มีผิดเพี้ยนนั้นได้พูดถามอีกฝ่ายกลับไปด้วยท่าทางระมัดระวัง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวผมสีขาวที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดแนะนำตัวขึ้นมา

 

“ฉันชื่อว่า… ฉันชื่อว่า ‘เคเอนน่า’ เป็นเพื่อนเก่าของอารอนเขาน่ะจ้ะ”

 

“เพื่อนเก่างั้นหรอคะ…?”

 

“ใช่แล้วล่ะจ้ะ พอดีว่าเพื่อนของอารอนอีกคนนึงเห็นว่าอารอนเขารีบพาคนอื่นๆ ออกไปจากหมู่บ้านไปจนไม่ได้เตรียมข้าวของอะไรไปด้วยเลย เขาก็เลยขอให้ฉันมาช่วยหยิบของพวกนั้นไปให้เขาหน่อยจ้ะ”

 

“เพื่อนของอารอนอีกคนนึงงั้นหรอคะ?”

 

โมโกะที่ได้ยินคำพูดอธิบายของหญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า เคเอนน่า ได้พูดถามกลับไปอีกครั้งหนึ่งด้วยท่าทางสงสัยจนทำให้เคเอนน่าต้องพูดอธิบายออกมาเพิ่มเติม

 

“เธอรู้จักเอริกะหรือเปล่าล่ะจ๊ะ เอริกะ นักประดิษฐ์ที่ทำงานให้กับเมืองรีมินัสคนนั้นน่ะ เขาติดต่อมาบอกให้ฉันมาหยิบเอาพวกเสื้อผ้ากับของใช้ส่วนตัวของเด็กคนที่ชื่อว่านากากับพรีมูล่าแล้วก็พวกอุปกรณ์ที่อารอนลืมเอาไว้ไปให้น่ะจ้ะ”

 

“อ๋อ… ฝีมือของเอริกะเองงั้นหรอคะ”

 

“ใช่แล้วล่ะจ้ะ ว่าแต่เธอพอจะรู้หรือเปล่าว่าบ้านของเด็กคนที่ชื่อว่านากากับพรีมูล่าอยู่ที่ไหนน่ะ”

 

“ถ้าบ้านของสองคนนั้นล่ะก็อยู่ที่แถวๆ ท้ายหมู่บ้านใกล้ๆ กับบ้านของหนูเองล่ะค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวตามหนูมาก็แล้วกันนะคะ”

 

ถึงแม้ว่าโมโกะจะยังรู้สึกติดใจอยู่บ้างที่หญิงสาวเบื้องหน้าของเธอมีลักษณะที่คล้ายกับเทพธิดาแห่งความตายที่ซิสเตอร์โจน่าเคยพูดบอกเอาไว้ก็ตามที แต่ก็ด้วยความที่เธอไม่เคยเชื่อในเรื่องเทพเจ้าเทพธิดาหรืออะไรพวกนั้นอยู่แล้วอีกทั้งเรื่องนี้ยังดูเหมือนว่าจะมีเอริกะมาเกี่ยวข้องอีกด้วยเธอจึงได้ยอมพูดตอบเคเอนน่ากลับไปแต่โดยดีก่อนที่เธอจะเดินนำอีกฝ่ายลึกเข้าไปด้านในหมู่บ้าน

 

ซึ่งในขณะที่พวกเธอกำลังเดินตรงไปตามถนนนั้นเองเคเอนน่าที่ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจในชาวบ้านบางส่วนของหมู่บ้านโมริกะที่กำลังใช้ชีวิตของตนกันอยู่ก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ที่ฟังดูน่าขนลุกผิดกับท่าทางที่ดูใจดีของเธอ

 

“แลดูเป็นหมู่บ้านที่สงบสุขดีจังเลยนะจ๊ะ”

 

“ก็หมู่บ้านของพวกหนูอยู่ตั้งไกลจากเมืองหลวงเลยนี่นา ความวุ่นวายของที่นั่นก็เลยตามมาไม่ถึงน่ะค่ะ”

 

“ฟังดูเป็นสถานที่ที่ดีจังเลยนะ… หนูคิดว่าหนูชอบที่นี่หรือเปล่าล่ะจ๊ะ?”

 

“ก็ต้องชอบอยู่แล้วสิคะ… ก็ที่นี่เป็นบ้านเกิดของหนูเลยนี่นา อ่ะ–บ้านของพวกนากาเขาคือหลังนั้นแหล่ะค่ะ”

 

ในขณะที่พวกเธอกำลังพูดตอบคำถามกันอยู่นั้นเอง โมโกะที่เดินนำอีกฝ่ายมาถึงบริเวณท้ายหมู่บ้านอันเป็นสถานที่ตั้งของบ้านของเธอและบ้านของนากาเพียงแค่สองหลังก็ได้ชี้เห็นอีกฝ่ายเห็นบ้านของนากาอันเป็นจุดมุ่งหมายของอีกฝ่าย

 

“…………”

 

แต่ทว่าทางด้านเคเอนน่าก็ได้ยินแบบนั้นก็กลับไม่ได้พูดตอบอะไรโมโกะกลับไปและยืนนิ่งเงียบมองดูโมโกะอยู่อย่างเงียบๆ จนทำให้โมโกะที่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ อีกครั้งหนึ่งตัดสินใจที่จะพูดถามอีกฝ่ายขึ้นมา

 

“เอ่อ—”

 

“ถ้าเกิดว่าหนูชอบหมู่บ้านนี้ล่ะก็หนูอยากจะอยู่ ‘ที่นี่’ ตลอดไปเลยหรือเปล่าล่ะจ๊ะ?”

 

“อยู่ที่นี่ตลอดไป… งั้นหรอคะ”

 

คำถามที่อยู่ๆ เคเอนน่าก็พูดถามแทรกขึ้นมานั้นได้ทำให้โมโกะชะงักไปเล็กน้อย เพราะถ้าเกิดว่าเป็นก่อนหน้านี้เธอก็คงจะพูดได้เต็มปากว่าอยากจะลองออกไปใช้ชีวิตข้างนอกหมู่บ้านดูบ้าง

 

แต่ทว่าหลังจากที่เธอได้ผ่านความฝันอันแสนยาวนาน หรือว่าอาจจะเป็นปาฏิหาริย์ที่ทำให้เธอได้ย้อนเวลากลับมาในช่วงเวลาก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นแบบนี้มันก็ทำให้เธอมีความคิดว่าการได้อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้กับคุณพ่อของเธอโดยไม่ต้องไปยุ่งกับชีวิตที่วุ่นวายที่เมืองหลวงเองก็น่าจะเป็นความคิดที่ไม่แย่เหมือนกัน

 

แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความที่โมโกะนิ่งเงียบใช้ความคิดไปเป็นเวลานาน ทำให้ก่อนที่เธอจะได้พูดตอบอะไรเคเอนน่ากลับไปหญิงสาวก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งเสียก่อน

 

“เธอยังไม่ต้องให้คำตอบตอนนี้ก็ได้จ้ะ สำหรับตอนนี้ฝากเธอเข้าไปช่วยเตรียมเสื้อผ้าของพวกเด็กๆ ที่ชื่อว่านากากับพรีมูล่าให้หน่อยจะได้หรือเปล่าล่ะจ้ะ เพราะจะให้ฉันที่เป็นคนนอกเข้าไปในบ้านของพวกเขาแบบนี้ก็คงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่”

 

“อ่ะ—มันก็จริงแหล่ะค่ะ ถ้างั้นเดี๋ยวขอเวลาหนูแป๊บนึงก็แล้วกันนะคะ”

 

โมโกะพยักหน้าตอบเคเอนน่ากลับไปและเดินเข้าไปข้างในบ้านของพวกนากาดั่งที่เธอเคยทำเป็นประจำโดยมีเคเอนน่ายืนยิ้มมองตามไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกที่เธอแผ่ออกมาตลอดเวลา

 

และในทันทีที่แผ่นหลังของโมโกะหายเข้าไปข้างในบ้านของพวกนากานั้นเอง ที่ด้านหลังของเคเอนน่าก็ได้มีเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมา

 

“นี่เธอยังใช้ชื่อปลอมว่า ‘เคเอนน่า’ นั่นอยู่อีกหรอน่ะ?”

 

“อือฮึ… ก็ฉันจำเป็นจะต้องมีชื่อเอาไว้ให้พวกเขาใช้เรียกฉันนี่นา”

 

ถึงแม้ว่าจะมีเสียงของหญิงสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นมาโดยไม่บอกไม่กล่าวที่ด้านหลังของเธอก็ตาม ทางด้านเคเอนน่าก็กลับดูเหมือนว่าจะคาดเอาไว้แล้วถึงการปรากฏตัวของอีกฝ่ายเธอจึงได้ยกมือขึ้นมาม้วนปอยผมสีขาวของเธอเล่นเล็กน้อยก่อนที่จะหันกลับไปมองร่างของหญิงสาวนักประดิษฐ์ผมสีแดงในชุดเสื้อกาวน์ตัวโปรดด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วจึงค่อยเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ

 

“แต่ชื่อนั้นมันก็ไม่ได้ฟังดูแย่อะไรขนาดนั้นไม่ใช่หรอ… ‘ลมหนุนสู่โลกใหม่’ เอริกะ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด