Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ 872 กวนน้ำให้ขุ่น

Now you are reading Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ Chapter 872 กวนน้ำให้ขุ่น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 872 กวนน้ำให้ขุ่น
นอกเขาพยับคราม

“การทดสอบด่านแรกสิ้นสุดลงแล้ว!”

ผู้ฝึกปราณที่รออยู่ตรงนั้นทุกคนล้วนเห็นว่าเหนือเขาพยับคราม รัศมีเทพสีม่วงพวยพุ่งแล้วแปรสภาพเป็นกลุ่มเมฆวังวนน่าหวาดหวั่นกลุ่มหนึ่ง

“จำนวนผู้ฝึกปราณที่ถูกคัดออกออกมาหรือยัง”

คนใหญ่คนโตหลายคนสอบถาม

“อย่างน้อยก็ต้องมากกว่าหลักพันกระมัง”

“หลักพันหรือ ไม่น่าจะน้อยเช่นนี้ ได้ยินจากเหล่าผู้กล้าที่ถูกคัดออกจากการทดสอบบางคนว่า บททดสอบด่านแรกของงานถกมรรคครั้งนี้อันตรายหาใดเทียบ มีอสูรมารที่พลังน่ากลัวมากมายปรากฏตัว เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

“เช่นนั้นน่าจะถูกคัดออกไปกี่คน”

นอกเขาพยับคราม ตอนนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อื้ออึงถึงที่สุด

ผู้กล้าที่ถูกคัดออกจากการทดสอบบางคนรู้สึกอับอายขายหน้า รีบร้อนจากไปพร้อมความขื่นขมและไม่ยินยอมเต็มอกอยู่ก่อนแล้ว

ส่วนผู้อาวุโสในสำนักของพวกเขา เห็นเช่นนี้ก็ทำได้เพียงถอนใจอย่างจนปัญญา

และมีผู้กล้าบางคนเดือดดาลรับไม่ได้ ยังคงดื้อดึงอยู่ที่นั่นไม่ต้องการออกไป หมายจะรอเอาคืน

สาเหตุก็ง่ายนัก พวกเขาหากไม่ถูกคัดออกอย่างน่าหดหู่ในระหว่างการแข่งขันกับผู้กล้าคนอื่น ก็เป็นถูกคนลอบจู่โจมเตะออกจากการแข่งขัน

ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะยินยอมเลิกราได้หรือ

“แน่ใจได้ว่ามีเหล่าผู้กล้ามากกว่าสามพันแต่ไม่เกินสี่พันคนถูกคัดออกในด่านแรก!”

ไม่นานนักเผ่าวาทวาโยก็ปล่อยข่าวหนึ่ง ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาไปทั้งนอกเขาพยับคราม แม้แต่คนใหญ่คนโตเหล่านั้น เมื่อได้ยินตัวเลขก็อดสะท้านใจไม่ได้

บุคคลระดับผู้กล้าที่เข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้มีเรือนหมื่น พูดถึงจำนวนผู้เข้าร่วมมากมายนั้น เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน ยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเป็นมา

แต่ตอนนี้แค่ในการทดสอบด่านแรกเท่านั้น ก็มีบุคคลระดับผู้กล้าจากที่ต่างๆ ในแดนฐิติประจิมสามพันกว่าคนถูกเตะออกจากการทดสอบ อัตราการคัดออกสูงมากจนน่าตระหนก!

ในขณะเดียวกันก็มีข่าวเหลือเชื่อบางข่าวกระจายออกมา ก่อให้เกิดเสียงทอดถอนใจอย่างประหลาดใจ รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในที่นั้นนับไม่ถ้วน

“จี้ซิงเหยาผู้สืบทอดเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ชิงปลาเกล็ดม่วงหนวดมังกรตัวหนึ่งเหนือทะเลสาบแสงทองแดนลี้ลับไม้เขียว ได้รับมรดกวิชามรรคชั้นเลิศไปหนึ่งวิชา!”

“เหลยเชียนจวิน ‘เหลยโหวน้อย’ แห่งเผ่ามหาอสนี ชิงไผ่ชั้นทมิฬหิมะเย็นเยียบต้นหนึ่งที่ทะเลวารีรงค์ดินแดนลี้ลับเพลิงแดง ได้รับมรดกวิชามรรคชั้นเลิศไปหนึ่งวิชา!”

“อวี่หลิงคง ผู้สืบทอดแดนพิสุทธิ์อมตะแห่งแดนกาฬทักษิณ ชิงธงวิญญาณศึกเลือดมังกรผืนหนึ่งได้ที่สนามรบปฐพีพิทักษ์ในแดนลี้ลับเจ็ดทองคำ ได้รับ…”

……

เมื่อทุกข่าวเผยแพร่ออกมาก็ก่อให้เกิดเสียงฮือฮาระลอกหนึ่งในที่นั้น พากันถกเกียงสนทนา

ขนาดคนใหญ่คนโตเหล่านั้นยังไม่อาจสงบนิ่งได้ ติดตามข่าวเหล่านี้อย่างใกล้ชิด

วิชามรรคชั้นเลิศ!

นี่คือมรดกที่ล้วนเรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าหายากในสำนักเก่าแก่โบราณของแดนฐิติประจิม สูงค่าและมีน้อยนัก!

“เพิ่งเป็นบททดสอบด่านแรกเท่านั้น กลับมีวิชามรรคชั้นเลิศเช่นนี้ปรากฏขึ้นแล้ว ในเทศกาลโคมกถามรรคครั้งก่อนๆ ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน!”

คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งเอ่ยปากอย่างตกใจ

“ที่ท่านย่ากระเรียนทองพูดไว้ก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว เทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้จะต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง”

“วิชามรรคชั้นเลิศเชียวนะ มรดกวิชาเพียงชิ้นเดียวก็สามารถทำให้พลังของขุมอำนาจหนึ่งสูงขึ้นมากแล้ว!”

คนใหญ่คนโตหลายคนทอดถอนใจ

ทันใดนั้น เสียงคำรามดาลเดือดระลอกหนึ่งก็ดังมาจากที่ไกลออกไป…

“อะไรนะ เจ้าบอกว่าไอ้เวรเทพมารหลินนั่นชิงดอกบัวเพลิงที่เก็บซ่อนวิชามรรคชั้นเลิศดอกหนึ่งไปจากมือบุตรเทพของพวกเราหรือ”

“สารเลว! สารเลวนัก!”

“ไม่น่ากระมัง ขนาดหลี่ชิงฮวน ผู้สืบทอดของพวกเราสำนักยุทธ์สมุทรครามยังขัดขวางเทพมารหลินไม่ได้หรือ”

“ไอ้เด็กนี่สมควรฆ่าทิ้ง! ถ้าไม่ใช่เพราะมันมาขวางกลางทาง ดอกบัวเพลิงเก้ากลีบดอกนั้นต้องเป็นของศิษย์พี่อู่ต้วนหยาสำนักตะวันทมิฬของพวกเราแน่!”

กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียงเพิ่งพบว่าเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเหล่านี้เป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าฉลามสมุทร สำนักยุทธ์สมุทรคราม และสำนักตะวันทมิฬ

พวกเขาแต่ละคนสีหน้าพิกลหาใดเทียบ ท่าทางเต้นเร่าด้วยความโกรธ

“จริงหรือนี่ เทพมารหลินแข็งแกร่งปานนี้เลยหรือ”

มีคนสงสัย แต่ไม่นานนักก็ได้รับการยืนยัน

“ไม่เพียงเท่านี้ ทันทีที่เทพมารหลินนั่นขึ้นเขาน้ำแข็งปทุมเพลิง ก็ชิงดอกบัวเพลิงเก้ากลีบดอกหนึ่ง ดอกบัวเพลิงแปดกลีบสองดอกและดอกบัวเพลิงเจ็ดกลีบหนึ่งดอกไปได้อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่มีใครขัดขวางเขาได้ ร้ายกาจป่วนไปหมด”

ผู้กล้าที่ได้เป็นประจักษ์พยานการขึ้นเขาน้ำแข็งปทุมเพลิงของหลินสวิน แต่ในที่สุดก็ถูกคัดออกจากการทดสอบตอบเช่นนี้

ทันใดนั้นเสียงสูดหายใจเยียบเย็นระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นนอกเขาพยับคราม ในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดผู้ฝึกปราณจากเผ่าฉลามสมุทร สำนักยุทธ์สมุทรคราม และสำนักตะวันทมิฬเหล่านั้นถึงได้โมโหขนาดนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าก็ไม่อาจสงบใจได้เช่นกัน

“เดี๋ยวๆ พูดแบบนี้แปลว่าเทพมารหลินคนเดียวได้วิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่ง กับมรดกวิชามรรคที่เรียกได้ว่าชั้นหนึ่งอีกสามวิชาหรือ”

และมีหลายคนประหลาดใจ อิจฉาตาร้อนที่หลินสวินได้วาสนาไม่หยุดหย่อน

วิชามรรค!

สิ่งนี้ไม่อาจเทียบกับวิชาลับได้ ล้ำค่าสูงส่งหาใดเทียบ

ส่วนวิชามรรคชั้นหนึ่งยิ่งหายากและสูงค่า ในแดนฐิติประจิมปัจจุบันก็มีเพียงสำนักเก่าแก่กับตระกูลที่มีภูมิหลังยาวนานถึงที่สุดเหล่านั้นถึงได้ครอบครองมรดกวิชามรรคระดับนี้

แต่เทพมารหลินคนนี้ช่างกล้านัก ในการทดสอบถกมรรคด่านแรกเท่านั้น ตัวเขาคนเดียวก็ได้มรดกวิชามรรคชั้นหนึ่งหลายวิชาไปครอง นี่จะไม่ทำให้ใครที่รู้เข้าอิจฉาริษยาได้อย่างไร

ที่สำคัญกว่านั้น เขายังครองวิชามรรคชั้นเลิศวิชาหนึ่งด้วย!

เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้ คนใหญ่คนโตที่อยู่นอกเขาพยับครามเหล่านั้นก็สงบใจไม่อยู่แล้ว สีหน้าแต่ละคนแปลกประหลาด แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“แย่แล้ว!”

ไป่เฟิงหลิวก็รออยู่ตรงนั้น ได้เห็นภาพทุกภาพนี้เขารับรู้ได้ทันใดว่า ข่าวนี้ต้องนำพาคลื่นลมความวุ่นวายไม่น้อยมาให้หลินสวินอีกอย่างไม่ต้องสงสัย!

เรื่องที่น่าเฉลิมฉลองเรื่องเดียวก็คือตอนนี้เขายังอยู่ในเขาพยับคราม หาไม่แล้วผู้ฝึกปราณที่อิจฉาตาร้อนและละโมบเหล่านั้นต้องห้ามใจไม่ให้ลงมือไม่ได้แน่

‘ให้ตายสิ ต้องรีบเบี่ยงเบนความสนใจเสียหน่อยแล้ว จะให้สายตาของผู้ฝึกปราณเหล่านั้นจับจ้องที่หลินสวินคนเดียวไม่ได้’

ไป่เฟิงหลิวลูบคาง ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ในที่สุดก็กัดฟัน ตัดสินใจลากคนอื่นลงน้ำไปด้วย ช่วยหลินสวินแบ่งเบาความสนใจ

แม้วิธีนี้จะใจร้ายไปบ้าง แต่เขาไม่สนใจแล้ว

หลังได้รู้ว่าหลินสวินได้วิชามรรคมากมายไปครอง เขาก็กังวลกับเรื่องนี้ เขายังรออย่างกระวนกระวายให้หลินสวินแบ่งวาสนาบางชิ้นออกมานะ!

ไม่นานนักไป่เฟิงหลิวก็เริ่มกระจายข่าวชั่วร้ายออกไป…

“ชิงเหลียนเอ๋อร์ธิดาเทพเผ่าหงส์เขียว ได้รับกระดูกขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ในแดนลี้ลับไม้เขียวโดยบังเอิญ เหมือนจะเป็นกระดูกของอริยะ!”

พรึบ!

เมื่อข่าวนี้ออกมา ก็ก่อให้เกิดคลื่นไม่น้อยโดยพลัน

บางคนพ่นลมผ่านจมูกด้วยความดูแคลน คิดว่าเป็นเรื่องหลอก บางคนสงสัยว่าเรื่องนี้อาจเป็นจริงอย่างยิ่ง

เพียงครู่เดียวสีหน้าของเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เขียวแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู ไม่อาจไม่อธิบาย แต่พวกเขายิ่งอธิบายกลับยิ่งทำให้ผู้ฝึกปราณบางคนสงสัย

นี่ก็คือข่าวลือ ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ข่าวลือนี้ยังดูสมจริงนัก มีรายละเอียดมากมาย หากไม่รู้เรื่องราวภายใน เป็นไปได้สูงมากว่าจะถูกหลอก

ครู่เดียวผู้แข็งแกร่งเผ่าหงส์เขียวล้วนมีใจอยากฆ่าคนเสียแล้ว ใครกันแน่ที่ขาดคุณธรรมเช่นนี้ ถึงกับใช้วิธีชั่วช้าเช่นนี้มาใส่ร้ายพวกเขา ช่างน่าฆ่านัก!

ไม่นานนักก็มีข่าวอีกข่าวแพร่ออกมา บอกว่ามู่เจี้ยนถิงผู้สืบทอดอารามพรางมรกต ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าเหลยเชียนจวิน ‘เหลยโหวน้อย’ ไปครองจากแดนลี้ลับเพลิงแดง เป็นคัมภีร์ที่ฟอกขึ้นจากหนังอสูรลี้ลับแผ่นหนึ่ง ภายในเหมือนจะเก็บซ่อนความลับสะท้านโลกไว้!

“ไม่น่ากระมัง ยังมีเรื่องพรรค์นี้ด้วยหรือ”

“น่าจะจริงนะ ได้ยินว่าคราวนี้มู่เจี้ยนถิงเตรียมตัวมาดี ถือครอง ‘ร่มพันฤกษ์หมื่นวิญญาณ’ ที่เป็นสมบัติประจำอารามพรางมรกตไว้ สามารถค้นพบปริศนาและความลับที่ผู้อื่นไม่อาจล่วงรู้ได้!”

“ใช่แล้ว ข้านึกออกแล้วเหมือนกันว่าร่มพันฤกษ์หมื่นวิญญาณนี้เป็นถึงสมบัติกายสิทธิ์ชิ้นหนึ่ง อัศจรรย์ไม่อาจหยั่งถึง เป็นไปได้จริงๆ ที่จะทำให้มู่เจี้ยนถิงหาวาสนามากมายพบ”

ข่าวนี้ก่อให้เกิดความอึกทึกครึกโครมขึ้นอีกระลอก หลายคนต่างลอบอิจฉา

ส่วนผู้ฝึกปราณที่มาจากอารามพรางมรกตเหล่านั้น ตอนนี้สีหน้าล้วนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ข่าวลือเช่นนี้ช่างเลวทรามนัก เท่ากับผลักให้พวกเขาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก!

เรื่องราวยังไม่จบสิ้น เฒ่าสากกะเบืออย่างไป่เฟิงหลิวต้องเป็นเจ้าแห่งการกลัวว่าใต้หล้าจะไม่วุ่นวายผู้หนึ่งแน่ ไม่นานนักเขาก็กัดฟันครั้งหนึ่ง แล้วลากเรือนกระบี่เร้นปุจฉาลงน้ำมาด้วยเสียเลย

“ข่าวว่าจี้ซิงเหยากับอวี่หลิงคงร่วมมือกัน จะชิงมหาวาสนาที่ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้ในเขาพยับคราม เกี่ยวโยงกับความลับสะท้านโลกของการหลอมมรรคเป็นราชัน!”

เมื่อข่าวนี้ออกไป ทั้งที่นั้นก็เดือดพล่านโดยสิ้นเชิงแล้ว

เวลานี้ใครๆ ต่างรู้ว่าอวี่หลิงคงแห่งแดนพิสุทธิ์อมตะซึ่งมาจากแดนกาฬทักษิณ มาเยี่ยมเยียนจี้ซิงเหยาธิดาเทพเรือนกระบี่เร้นปุจฉา

แต่อวี่หลิงคงมาเพราะอะไรกันแน่ คนนอกกลับไม่รู้

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ผู้แข็งแกร่งซึ่งไม่ได้อยู่ในแดนฐิติประจิมอย่างอวี่หลิงคงกลับเข้าร่วมเทศกาลโคมกถามรรค เดิมทีนี่ก็ทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยไม่พอใจนัก

ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อข่าวนี้กระจายออกมา เกรงว่าไม่ว่าใครก็สงบใจไม่ได้แล้ว

“เรื่องนี้มีคนกวนน้ำให้ขุ่นนี่นา…” เมื่อท่านย่ากระเรียนทองได้รู้เรื่องเหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแผ่รังสีเย็นเยือกน่าตะลึงออกมาจากดวงตา

ชั่วครู่เดียวข่าวงคราวก็เซ็งแซ่ไปทั้งนอกเขา เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ผ่านหูไม่ว่างเว้น สลายความสนใจที่มีต่อหลินสวินไปไม่น้อยโดยไม่รู้ตัวได้จริงๆ

เห็นเช่นนี้ ไป่เฟิงหลิวในฐานะผู้ร้ายหลังม่านที่กระจายข่าวโคมลอยก็อดยิ้มอย่างได้ใจไม่ได้ เมื่อพูดถึงการกระจายข่าวแล้ว พวกเขาเผ่าวาทวาโยก็สมกับเป็นผู้โดดเด่น!

‘เฮ้อ น้องหลินนะน้องหลิน เพื่อช่วยเจ้าแล้ว ข้าถึงกับละเมิดคุณธรรมและเส้นที่ไม่อาจล่วงล้ำของชาวเผ่าวาทวาโยเลยเชียว หากเจ้ายังมีมโนธรรม ต้องแบ่งศุภโชคให้พี่ชายอย่างข้าสักชิ้น…’

ไป่เฟิงหลิวลอบพึมพำ

……..

เขาพยับคราม

ฮูม!

ห้วงอากาศเกิดคลื่นกระเพื่อม เคลื่อนเงาร่างของหลินสวินให้ปรากฏออกมา

เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นโลกสีเทาขมุกขมัวปรากฏสู่สายตา ฟ้าดินราวไร้ขอบเขต เหลือตัวเขาเพียงผู้เดียว

‘นี่ก็คือสถานที่ทดสอบถกมรรคด่านที่สองหรือ’

เมื่อความคิดเช่นนี้บังเกิดขึ้นในใจหลินสวิน พลันเกิดเสียงโครมคราม ป้ายหินสีดำเข้มและเก่าแก่ป้ายหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้น และตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นดินด้านข้าง

ด้านบนสลักตัวอักษรแน่นขนัดหลายร้อยตัว อักษรทุกตัวล้วนเหมือนไส้เดือนหงิกงอ เป็นอักษรมรรคบรรพกาลชนิดหนึ่ง

“เขตขีดจำกัด!”

“ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบ เมื่อใช้พลังทั้งหมดก็จะฝ่าไปถึงอีกฟากฝั่งของเขตนี้”

“ระยะเวลาคือหนึ่งก้านธูป ผู้ล้มเหลวระหว่างทาง ถูกคัดออก ผู้ที่ไปไม่ถึงภายในหนึ่งก้านธูป คัดออก”

“จงจำไว้ พลังแตกต่างกัน ความยากลำบากที่ประสบในการทดสอบก็ย่อมต่างกัน มีเพียงทุ่มสุดกำลัง ถึงสามารถทลายขีดจำกัดได้!”

“เมื่อการทดสอบจบลง ผู้ที่แสดงความสามารถโดดเด่นที่สุดสามคนจะได้รับรางวัลที่ต่างกันออกไป”

หลินสวินอ่านอักษรมรรคบรรพกาลแต่ละบรรทัดเหล่านี้จนจบ จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น ‘ลูกศิษย์’ ที่เข้าร่วมการทดสอบหรือ

ชื่อเรียกนี้น่าสนใจยิ่ง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด