หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา บทที่ 637 ลากท่อนไม้!

Now you are reading หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา Chapter บทที่ 637 ลากท่อนไม้! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 637 ลากท่อนไม้!
หวังเป่าเล่อหยิบเอาเกสรตัวเมียมาเงียบๆ เขารู้ว่าเฟิ่งชิวหรันอยากช่วยบิดาตนใจจะขาดและรู้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อคอยอุทิศตนเพื่อสำนัก ทั้งสองยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยผู้อาวุโสของสำนัก ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงความจงรักภักดีของสหายแห่งเต๋าโยวหรันที่มีต่อสำนัก แต่หวังเป่าเล่อก็อดระแวงเขาไม่ได้ สหายแห่งเต๋าโยวหรันเป็นคนพูดถึงกลไกการป้องกันตัวของเรือบินรบซึ่งเป็นเหตุให้ทุกคนถูกนิมิตมายาเข้าครอบงำได้อย่างง่ายดาย

แม้จะทราบแรงจูงใจของพวกเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็นด้วยกับภารกิจนี้ สถานการณ์อาจจะไม่แย่ขนาดนี้หากมีคนร่วมภารกิจไม่มาก แต่คณะมาปฏิบัติภารกิจนี้ประกอบด้วยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคนและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกจำนวนมาก ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนนี้คือกำลังรบสำคัญของสำนักวังเต๋าไพศาล

หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสำนักวังเต๋าไพศาลจนยากเกินจะเยียวยาได้ ทางสหพันธรัฐอาจจะไม่ได้รับผลกระทบในทันที แต่จะต้องเผชิญกับปัญหาที่ตามมาในระยะยาว

ถึงกระนั้น เขาก็ถือว่าเป็นคนนอก จึงไม่มีสิทธิ์ห้ามการตัดสินใจของพวกเขา ทำได้เพียงลดทอนจำนวนผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่จะมาเข้าร่วมในภารกิจ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋านั้นมีสถานะในสำนักไม่เหมือนคนอื่นจึงต้องเข้าร่วมภารกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะเหตุนี้ หน้าที่หลักของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการดูแลความปลอดภัยของพวกเขา ส่วนการตามหาบิดาของเฟิ่งชิวหรันนั้นเป็นเรื่องรอง เขาแอบถอนใจและเดินไปหากงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ภัยอันตรายที่เพิ่งพบเจอทำให้พวกเขาสั่นกลัว ถึงกระนั้น กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ พวกเขารีบปัดความกลัวทิ้งไป ดวงตาของทั้งคู่ฉายแววดุดันขึ้นในทันใด

“กงเต๋า ลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้าดู” หวังเป่าเล่อกระซิบบอกหลังจากเดินไปใกล้ทั้งสอง

กงเต๋าส่ายหัว

“ข้าลองดูแล้ว…ไม่ได้”

หวังเป่าเล่อไม่ใช่เพียงคนเดียวที่คิดอยากกลับออกจากที่แห่งนี้ มีหลายๆ คนในหมู่พวกเขาที่คิดเหมือนกัน แม้แต่เฟิ่งชิวหรันยังคิดเช่นนั้น พวกเขาแอบลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายดูก่อนแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จเป็นผลให้พวกเขารู้สึกหดหู่ใจ

เฟิ่งชิวหรันแอบถอนใจด้วยความขมขื่นเมื่อรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ก้มหัวให้ทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครั้งนี้ข้าอาจจะตัดสินใจพลาดไป…แต่โปรดเชื่อในตัวข้า ข้าจะพายามทุกวิถีทางเพื่อพาทุกคนออกจากที่นี่!”

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้แข็งขันดุดันเหมือนเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ความใจเย็นและการปรับตัวต่อสถานการณ์ได้ไวในแบบฉบับผู้หญิงของนางก็ถือเป็นข้อดี

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดขณะที่นางก้มหัวและเอ่ยยืนยันรับปากกับทุกคน ทุกคนก้มหัวตอบอย่างเงียบเชียบ เลือกแล้วว่าจะเชื่อคำสัญญาของนาง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะลักษณะนิสัยของนาง พวกเขารู้ดีว่าเฟิ่งชิวหรัน…ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้พวกตนตายในยามอันตราย

“ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่จำเป็นต้องขอโทษ ในฐานะผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเราต้องคอยปกป้องผู้อาวุโสของเรา นอกจากนี้ พวกเราได้เลือกเดินเส้นทางการฝึกตนแล้ว ถ้ามากลัวตายเอาเสียตอนนี้ พวกเราก็ไม่ควรเลือกเดินทางนี้ตั้งแต่ต้น!” ชี่หลินกล่าวเสียงแหบห้าวท่ามกลางฝูงชน เขาหันมองผู้คนรอบๆ ด้วยแววตาดุดัน

“เราไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้ ดังนั้นก็เหลือเพียงแค่ทางเดียวคือเดินหน้าต่อไป!”

“ผู้อาวุโสเฟิ่ง พวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบันทึกเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นมากเท่าใดนัก ท่านทราบเกี่ยวกับดอกปีศาจราเขียว แล้วมีสิ่งประหลาดอย่างอื่นบนเรือบินรบนี้อีกไหมที่เราต้องระวัง” ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณถามขึ้น พวกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในค่อยๆ เงียบเสียงไป หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองเฟิ่งชิวหรัน

เฟิ่งชิวหรันสูดหายใจลึก ข่มความกังวลในใจ นางรู้ดีว่าตนจะตกใจกลัวไปไม่ได้ มิเช่นนั้น นางอาจนำทางทุกคนไปตายและกลายเป็นคนบาปของสำนักวังเต๋าไพศาล

“ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันได้ตัดสินใจผิดพลาดไป พอข้าได้เห็นกองศพและฝูงดอกปีศาจราเขียว ข้าก็นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา นั่นก็คือ…เรือบินรบพิเศษของตระกูลไม่สิ้น!

“เรือบินรบพิเศษลำนี้มีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเรือบินรบลำอื่นๆ ของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่มีกลไกการทำงานแตกต่างกัน รู้จักกันในชื่อวังสังเวย!

“วังสังเวยโดยพื้นฐานแล้วคือแท่นบูชาสำหรับสังเวย ทุกครั้งที่ตระกูลไม่รู้สิ้นครองดาราจักรแห่งหนึ่งได้ พวกนั้นจะสังหารผู้ฝึกตนมากมายมาและโยนศพเข้าวังสังเวย เลือดเนื้อพลังชีวิตของเหล่าผู้ฝึกตนจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับกองเรือบินรบเพื่อใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของพวกตระกูลไม่รู้สิ้น!

“ข้าคิดว่าเรือบินรบลำนี้คือวังสังเวย ศพที่กองอยู่คือผู้ฝึกตนจากอารายธรรมที่เรือบินรบลำนี้เคยไปถล่ม!

“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ที่นี่จะต้องมีแท่นสังเวยเล็กอยู่ในโลกแต่ละแห่งในแผ่นวงแหวน แท่นสังเวยเล็กทั้งสามนั้นเชื่อมโยงกันกับแท่นสังเวยหลักที่อยู่ด้านใต้!”

“ถ้าอยากออกจากที่นี่ พวกเราต้องเข้าไปในแท่นสังเวยหลัก…ก็จะพบกับทางออกให้เราใช้หนีไป!” เฟิ่งชิวหรันอธิบายให้ฟังอย่างจริงใจ ฝูงชนเงียบไป

หวังเป่าเล่อแอบถอนใจ ก่อนจะหยิบเอาสมบัติเวท โอสถ และหุ่นเชิดจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเวท จากนั้นก็ยื่นให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า

เขารู้ว่าสิ่งที่จะต้องพบเจอต่อไปนั้น…น่าจะยากหนักหนาเลยทีเดียว

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้มองเหล่าผู้ฝึกตน แต่เลือกหันมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว ในบริเวณหลายพันเมตรรอบๆ ปราศจากดอกปีศาจราเขียวแล้ว แต่นอกบริเวณนี้ออกไปยังมีกองซากศพและดอกปีศาจอีกนับไม่ถ้วน

โชคดีที่ส่วนใหญ่ยังตูมอยู่ ไม่เหมือนฝูงดอกที่บานสะพรั่งก่อนหน้า

“พวกเราพักกันก่อน อีกครึ่งชั่วโมงค่อยเคลื่อนทัพ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ เฟิ่งชิวหรันก็หันกลับมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงเบา ชี่หลินและคนอื่นๆ นั่งลง เริ่มปลดปล่อยพลังปราณกันเงียบๆ พยายามกระตุ้นตนเองให้อยู่ในสภาพพร้อมรบตลอด แต่ละคนนั้นหยิบเอาเกสรตัวเมียของดอกปีศาจราเขียวไปไว้ติดตัว

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ฟื้นพลังกันเรียบร้อย พร้อมออกปฏิบัติภารกิจต่อ ทันใดนั้น ผืนดินก็เริ่มสั่นไหว!

แม้จะไม่ได้ไหวแรงมาก แต่ใบหน้าทุกคนกลับฉายชัดถึงความหวาดระแวง พวกเขารีบลุกยืน หันมองกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผืนพสุธาเริ่มสั่นไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเสียงกระทืบพื้นดังขึ้นจากไกลๆ ราวกับมียักษากำลังเคลื่อนกายเข้ามาหา!

เสียงหอบหายใจหนักดังตามมาดั่งเสียงหวีดของลมกรรโชก ก่อนเสียงโลหะกระทบกันจะดังขึ้นขัด หวังเป่าเล่อ เฟิ่งชิวหรัน และเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีสีหน้าระแวดระวัง ไม่ต้องให้ใครหันบอก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็หันมองบนฟ้าตรงทิศต้นทางของเสียง

พวกเขาจ้องเขม็งอยู่อย่างนั้น ทันใด ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง หลายคนถึงกับหลุดพูดออกมาเสียงดัง

“นั่น…”

“นั่นมันอะไรกัน”

เสียงจากไกลห่างออกไปเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดหวีดแรง ร่างสูงชะลูดเฉียดฟ้า…เริ่มปรากฏให้เห็นในสายตา!

ตอนแรกได้ยินเพียงแค่เสียง จากนั้นก็เริ่มเห็นเป็นเงา ร่างเงาเริ่มเด่นชัดขึ้นจนหวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ สามารถมองเห็นได้ชัดว่ามันคืออสูรชั่วร้ายขนาดใหญ่ยักษ์เกินคำบรรยาย!

รูปลักษณ์ของมันคล้ายคลึงกับวานรเพชร เพียงแต่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ทั่วร่างมีขนหนารุนรัง เว้าแหว่งเผยให้เห็นกระดูกสีดำเป็นหย่อมๆ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้งอยู่รอบกาย

ร่างของมันถูกโซ่หนาเจาะผ่านล่ามไว้กับท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เบื้องหลัง!

ท่อนไม้ที่ว่า…กว้างหลายหมื่นเมตร หากเอาผู้ฝึกตนไปยืนเทียบคงดูราวกับเป็นมด แต่เมื่อเทียบกับอสูรตนนี้แล้ว ท่อนไม้กลับดูเล็กลงไปมาก!

ที่น่าตกใจไม่ใช่ความกว้างของท่อนไม้แต่เป็นความยาว…ที่ไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด อสูรเบื้องหน้าถูกล่ามไว้กับปลายด้านหนึ่งของท่อนไม้ ส่วนปลายอีกด้านนั้นอยู่ไกลออกไปจนมองได้ไม่เห็น ท่อนไม้ใหญ่ยักษ์ยืดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา เหมือนว่าเชื่อมกับสุดขอบโลกเอาไว้!

อสูรยักษ์ตนนี้เป็นเหมือนลาที่กำลังลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความยากลำบาก!

หากชะลอฝีเท้าลงแม้แต่นิด โซ่ล่ามจะเปล่งแสงเป็นตัวอักขระ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแส้หนาฟาดใส่อสูรจนต้องร้องลั่น บังคับให้มันก้าวเดินต่อไปไม่หยุด

มันดูจะไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้ฝึกตน เสียงเหล็กกระทบและเสียงฝีเท้าดังกึกก้อง เริ่มได้ยินเสียงหอบหายใจใกล้เข้ามา ห่างออกไปหลายหมื่นเมตร อสูรร่างยักษ์กำลังเดินลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าว ค่อยๆ ถอยห่างออกไปไกล!

ทุกก้าวที่ลงเหยียบพื้นทำให้ผืนพสุธาสั่นไหว ทุกก้าวที่ยกกลับคืนสร้างลมปั่นป่วน ฟากฟ้าร้องคำราม ลมพัดกรรโชกเมื่อมันเคลื่อนตัวผ่านไป!

บทที่ 637 ลากท่อนไม้!
หวังเป่าเล่อหยิบเอาเกสรตัวเมียมาเงียบๆ เขารู้ว่าเฟิ่งชิวหรันอยากช่วยบิดาตนใจจะขาดและรู้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อคอยอุทิศตนเพื่อสำนัก ทั้งสองยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยผู้อาวุโสของสำนัก ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงความจงรักภักดีของสหายแห่งเต๋าโยวหรันที่มีต่อสำนัก แต่หวังเป่าเล่อก็อดระแวงเขาไม่ได้ สหายแห่งเต๋าโยวหรันเป็นคนพูดถึงกลไกการป้องกันตัวของเรือบินรบซึ่งเป็นเหตุให้ทุกคนถูกนิมิตมายาเข้าครอบงำได้อย่างง่ายดาย

แม้จะทราบแรงจูงใจของพวกเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็นด้วยกับภารกิจนี้ สถานการณ์อาจจะไม่แย่ขนาดนี้หากมีคนร่วมภารกิจไม่มาก แต่คณะมาปฏิบัติภารกิจนี้ประกอบด้วยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคนและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกจำนวนมาก ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนนี้คือกำลังรบสำคัญของสำนักวังเต๋าไพศาล

หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสำนักวังเต๋าไพศาลจนยากเกินจะเยียวยาได้ ทางสหพันธรัฐอาจจะไม่ได้รับผลกระทบในทันที แต่จะต้องเผชิญกับปัญหาที่ตามมาในระยะยาว

ถึงกระนั้น เขาก็ถือว่าเป็นคนนอก จึงไม่มีสิทธิ์ห้ามการตัดสินใจของพวกเขา ทำได้เพียงลดทอนจำนวนผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่จะมาเข้าร่วมในภารกิจ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋านั้นมีสถานะในสำนักไม่เหมือนคนอื่นจึงต้องเข้าร่วมภารกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะเหตุนี้ หน้าที่หลักของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการดูแลความปลอดภัยของพวกเขา ส่วนการตามหาบิดาของเฟิ่งชิวหรันนั้นเป็นเรื่องรอง เขาแอบถอนใจและเดินไปหากงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ภัยอันตรายที่เพิ่งพบเจอทำให้พวกเขาสั่นกลัว ถึงกระนั้น กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ พวกเขารีบปัดความกลัวทิ้งไป ดวงตาของทั้งคู่ฉายแววดุดันขึ้นในทันใด

“กงเต๋า ลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้าดู” หวังเป่าเล่อกระซิบบอกหลังจากเดินไปใกล้ทั้งสอง

กงเต๋าส่ายหัว

“ข้าลองดูแล้ว…ไม่ได้”

หวังเป่าเล่อไม่ใช่เพียงคนเดียวที่คิดอยากกลับออกจากที่แห่งนี้ มีหลายๆ คนในหมู่พวกเขาที่คิดเหมือนกัน แม้แต่เฟิ่งชิวหรันยังคิดเช่นนั้น พวกเขาแอบลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายดูก่อนแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จเป็นผลให้พวกเขารู้สึกหดหู่ใจ

เฟิ่งชิวหรันแอบถอนใจด้วยความขมขื่นเมื่อรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ก้มหัวให้ทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง

“ครั้งนี้ข้าอาจจะตัดสินใจพลาดไป…แต่โปรดเชื่อในตัวข้า ข้าจะพายามทุกวิถีทางเพื่อพาทุกคนออกจากที่นี่!”

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้แข็งขันดุดันเหมือนเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ความใจเย็นและการปรับตัวต่อสถานการณ์ได้ไวในแบบฉบับผู้หญิงของนางก็ถือเป็นข้อดี

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดขณะที่นางก้มหัวและเอ่ยยืนยันรับปากกับทุกคน ทุกคนก้มหัวตอบอย่างเงียบเชียบ เลือกแล้วว่าจะเชื่อคำสัญญาของนาง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะลักษณะนิสัยของนาง พวกเขารู้ดีว่าเฟิ่งชิวหรัน…ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้พวกตนตายในยามอันตราย

“ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่จำเป็นต้องขอโทษ ในฐานะผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเราต้องคอยปกป้องผู้อาวุโสของเรา นอกจากนี้ พวกเราได้เลือกเดินเส้นทางการฝึกตนแล้ว ถ้ามากลัวตายเอาเสียตอนนี้ พวกเราก็ไม่ควรเลือกเดินทางนี้ตั้งแต่ต้น!” ชี่หลินกล่าวเสียงแหบห้าวท่ามกลางฝูงชน เขาหันมองผู้คนรอบๆ ด้วยแววตาดุดัน

“เราไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้ ดังนั้นก็เหลือเพียงแค่ทางเดียวคือเดินหน้าต่อไป!”

“ผู้อาวุโสเฟิ่ง พวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบันทึกเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นมากเท่าใดนัก ท่านทราบเกี่ยวกับดอกปีศาจราเขียว แล้วมีสิ่งประหลาดอย่างอื่นบนเรือบินรบนี้อีกไหมที่เราต้องระวัง” ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณถามขึ้น พวกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในค่อยๆ เงียบเสียงไป หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองเฟิ่งชิวหรัน

เฟิ่งชิวหรันสูดหายใจลึก ข่มความกังวลในใจ นางรู้ดีว่าตนจะตกใจกลัวไปไม่ได้ มิเช่นนั้น นางอาจนำทางทุกคนไปตายและกลายเป็นคนบาปของสำนักวังเต๋าไพศาล

“ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันได้ตัดสินใจผิดพลาดไป พอข้าได้เห็นกองศพและฝูงดอกปีศาจราเขียว ข้าก็นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา นั่นก็คือ…เรือบินรบพิเศษของตระกูลไม่สิ้น!

“เรือบินรบพิเศษลำนี้มีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเรือบินรบลำอื่นๆ ของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่มีกลไกการทำงานแตกต่างกัน รู้จักกันในชื่อวังสังเวย!

“วังสังเวยโดยพื้นฐานแล้วคือแท่นบูชาสำหรับสังเวย ทุกครั้งที่ตระกูลไม่รู้สิ้นครองดาราจักรแห่งหนึ่งได้ พวกนั้นจะสังหารผู้ฝึกตนมากมายมาและโยนศพเข้าวังสังเวย เลือดเนื้อพลังชีวิตของเหล่าผู้ฝึกตนจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับกองเรือบินรบเพื่อใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของพวกตระกูลไม่รู้สิ้น!

“ข้าคิดว่าเรือบินรบลำนี้คือวังสังเวย ศพที่กองอยู่คือผู้ฝึกตนจากอารายธรรมที่เรือบินรบลำนี้เคยไปถล่ม!

“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ที่นี่จะต้องมีแท่นสังเวยเล็กอยู่ในโลกแต่ละแห่งในแผ่นวงแหวน แท่นสังเวยเล็กทั้งสามนั้นเชื่อมโยงกันกับแท่นสังเวยหลักที่อยู่ด้านใต้!”

“ถ้าอยากออกจากที่นี่ พวกเราต้องเข้าไปในแท่นสังเวยหลัก…ก็จะพบกับทางออกให้เราใช้หนีไป!” เฟิ่งชิวหรันอธิบายให้ฟังอย่างจริงใจ ฝูงชนเงียบไป

หวังเป่าเล่อแอบถอนใจ ก่อนจะหยิบเอาสมบัติเวท โอสถ และหุ่นเชิดจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเวท จากนั้นก็ยื่นให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า

เขารู้ว่าสิ่งที่จะต้องพบเจอต่อไปนั้น…น่าจะยากหนักหนาเลยทีเดียว

เฟิ่งชิวหรันไม่ได้มองเหล่าผู้ฝึกตน แต่เลือกหันมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว ในบริเวณหลายพันเมตรรอบๆ ปราศจากดอกปีศาจราเขียวแล้ว แต่นอกบริเวณนี้ออกไปยังมีกองซากศพและดอกปีศาจอีกนับไม่ถ้วน

โชคดีที่ส่วนใหญ่ยังตูมอยู่ ไม่เหมือนฝูงดอกที่บานสะพรั่งก่อนหน้า

“พวกเราพักกันก่อน อีกครึ่งชั่วโมงค่อยเคลื่อนทัพ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ เฟิ่งชิวหรันก็หันกลับมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงเบา ชี่หลินและคนอื่นๆ นั่งลง เริ่มปลดปล่อยพลังปราณกันเงียบๆ พยายามกระตุ้นตนเองให้อยู่ในสภาพพร้อมรบตลอด แต่ละคนนั้นหยิบเอาเกสรตัวเมียของดอกปีศาจราเขียวไปไว้ติดตัว

เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ฟื้นพลังกันเรียบร้อย พร้อมออกปฏิบัติภารกิจต่อ ทันใดนั้น ผืนดินก็เริ่มสั่นไหว!

แม้จะไม่ได้ไหวแรงมาก แต่ใบหน้าทุกคนกลับฉายชัดถึงความหวาดระแวง พวกเขารีบลุกยืน หันมองกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผืนพสุธาเริ่มสั่นไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเสียงกระทืบพื้นดังขึ้นจากไกลๆ ราวกับมียักษากำลังเคลื่อนกายเข้ามาหา!

เสียงหอบหายใจหนักดังตามมาดั่งเสียงหวีดของลมกรรโชก ก่อนเสียงโลหะกระทบกันจะดังขึ้นขัด หวังเป่าเล่อ เฟิ่งชิวหรัน และเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีสีหน้าระแวดระวัง ไม่ต้องให้ใครหันบอก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็หันมองบนฟ้าตรงทิศต้นทางของเสียง

พวกเขาจ้องเขม็งอยู่อย่างนั้น ทันใด ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง หลายคนถึงกับหลุดพูดออกมาเสียงดัง

“นั่น…”

“นั่นมันอะไรกัน”

เสียงจากไกลห่างออกไปเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดหวีดแรง ร่างสูงชะลูดเฉียดฟ้า…เริ่มปรากฏให้เห็นในสายตา!

ตอนแรกได้ยินเพียงแค่เสียง จากนั้นก็เริ่มเห็นเป็นเงา ร่างเงาเริ่มเด่นชัดขึ้นจนหวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ สามารถมองเห็นได้ชัดว่ามันคืออสูรชั่วร้ายขนาดใหญ่ยักษ์เกินคำบรรยาย!

รูปลักษณ์ของมันคล้ายคลึงกับวานรเพชร เพียงแต่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ทั่วร่างมีขนหนารุนรัง เว้าแหว่งเผยให้เห็นกระดูกสีดำเป็นหย่อมๆ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้งอยู่รอบกาย

ร่างของมันถูกโซ่หนาเจาะผ่านล่ามไว้กับท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เบื้องหลัง!

ท่อนไม้ที่ว่า…กว้างหลายหมื่นเมตร หากเอาผู้ฝึกตนไปยืนเทียบคงดูราวกับเป็นมด แต่เมื่อเทียบกับอสูรตนนี้แล้ว ท่อนไม้กลับดูเล็กลงไปมาก!

ที่น่าตกใจไม่ใช่ความกว้างของท่อนไม้แต่เป็นความยาว…ที่ไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด อสูรเบื้องหน้าถูกล่ามไว้กับปลายด้านหนึ่งของท่อนไม้ ส่วนปลายอีกด้านนั้นอยู่ไกลออกไปจนมองได้ไม่เห็น ท่อนไม้ใหญ่ยักษ์ยืดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา เหมือนว่าเชื่อมกับสุดขอบโลกเอาไว้!

อสูรยักษ์ตนนี้เป็นเหมือนลาที่กำลังลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความยากลำบาก!

หากชะลอฝีเท้าลงแม้แต่นิด โซ่ล่ามจะเปล่งแสงเป็นตัวอักขระ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแส้หนาฟาดใส่อสูรจนต้องร้องลั่น บังคับให้มันก้าวเดินต่อไปไม่หยุด

มันดูจะไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้ฝึกตน เสียงเหล็กกระทบและเสียงฝีเท้าดังกึกก้อง เริ่มได้ยินเสียงหอบหายใจใกล้เข้ามา ห่างออกไปหลายหมื่นเมตร อสูรร่างยักษ์กำลังเดินลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าว ค่อยๆ ถอยห่างออกไปไกล!

ทุกก้าวที่ลงเหยียบพื้นทำให้ผืนพสุธาสั่นไหว ทุกก้าวที่ยกกลับคืนสร้างลมปั่นป่วน ฟากฟ้าร้องคำราม ลมพัดกรรโชกเมื่อมันเคลื่อนตัวผ่านไป!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด