พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย 99

Now you are reading พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย Chapter 99 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ดะ ดิฉันถูกใส่ร้ายค่ะ! ดิฉันไม่ใช่คนร้ายตัวจริงนะคะ!”

เอ็มม่าตะโกนด้วยใบหน้าซีดเผือด มิเอลที่จับแขนเธออยู่ก็เห็นพ้องด้วย และเผยถึงความไม่เป็นธรรม

“ใช่แล้วค่ะ! เอ็มม่าไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ! ไม่มีทางที่เอ็มม่าจะทำแบบนั้นได้ไม่ใช่หรือคะ เบอร์รี่! เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร!”

ผู้คนมารวมกันต่างทำสีหน้าตะลึงงุนงง เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่มิเอลขึ้นเสียงดังขนาดนั้น

ภายในนั้นมีเพียงอาเรียคนเดียวที่มีรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ

‘เธอกำลังคลานเข้าไปในขุมนรกด้วยตัวเองเลยไม่ใช่หรือนี่’

นี่มันแปลกมากเลยไม่ใช่หรือ ทำไมเธอถึงทำขนาดที่ขึ้นเสียงยืนยันว่าเอ็มม่าบริสุทธิ์กันนะ

เคนเองก็คงรู้สึกว่ามันแปลก เขาจึงเอ่ยปากถามมิเอล

“มิเอล ทำไมน้องถึงยืนกรานว่าเอ็มม่าไม่ใช่คนร้ายล่ะ หรือว่าน้องรู้ว่าคนร้ายตัวจริงเป็นใครอื่นอย่างนั้นหรือ”

“มะ ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ แต่… ท่านพี่เองก็รู้นิสัยใจคอของเอ็มม่าไม่ใช่หรือคะว่าเธอนิสัยดีไหน! เอ็มม่าไม่มีทางเป็นคนแบบนั้นหรอกค่ะ!”

เคนถอนหายใจเมื่อได้ยินคำกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลที่ถูกพ่นออกมาด้วยความดื้อรั้นของเธอ

ท่านเคานต์ยังคงเค้นความจริงจากเอ็มม่าต่อไป โดยไม่สนใจที่มิเอลร้องโวยว่าเธอบริสุทธิ์ ราวกับเขาคิดว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นไร้สาระ

“เอ็มม่า ฉันเองก็ไม่อยากคิดว่าเธอทำอย่างนั้นหรอก แต่เธอคงต้องอธิบายให้พวกเรายอมรับและเข้าใจ เพราะคนที่ทำก็คือสาวใช้ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอ”

เธอจะอธิบายอะไรได้ในเมื่อเธอถูกกล่าวหาว่าเป็นคนร้ายตัวจริงที่วางยาพิษ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้สมรู้ร่วมคิดยืนกรานและชี้ตัวมาที่เธอโดยตรง ถ้าเธอทำอะไรลงไปจริง เธอก็คงจะไม่รู้สึกไม่ยุติธรรมแบบนี้ และมันไม่มีใครที่สามารถต้านทานคำกล่าวหาที่เธอได้รับคำสั่งมาให้ทำได้

เอ็มม่าไม่สามารถแก้ตัวใดๆ ได้ในเมื่อเธอถูกบอกให้พิสูจน์ในสิ่งที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ เธอได้แต่พูดด้วยใบหน้าซีดเผือดว่า ‘ดิฉันไม่ได้ทำค่ะ… ไม่ใช่ดิฉันจริงๆ นะคะ…’ ซ้ำไปซ้ำมาราวกับนกแก้ว

มิเอลผู้เป็นคนเดียวที่จะสามารถช่วยเธอได้เองก็ทำได้เพียงแค่ยืนกรานว่า ‘เอ็มม่าไม่ใช่คนแบบนั้นนะ’ โดยไม่มีแผนการอื่น

สำหรับอาเรียแล้ว นี่เป็นโอกาสทองที่จะส่งทั้งสองไปลงนรก

“จริงเหรอ… เอ็มม่าเป็นคนสั่งให้เบอร์รี่ทำแบบนั้นจริงๆ เหรอ… หืม เบอร์รี่ เธอพูดออกมาด้วยปากของเธอเองสิ เธอรู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ ฉันล่ะไม่อยากจะเชื่อเลย…!”

อาเรียไม่ยอมปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เธอถามทั้งน้ำตา ราวกับไม่เชื่อ ไม่สิ ราวกับไม่อยากจะเชื่อ

มันเป็นการแสดงที่ผุดขึ้นมาในหัวเป็นสิบๆ ครั้ง เพียงเพื่อช่วงเวลาตอนนี้มาเป็นเวลานาน

น้ำตาแห่งการแสดงที่ใครบางคนแสดงให้เธอเห็นเป็นครั้งแรก เพื่อให้เธอตกลงไปในหลุมพรางร่องลึกในอดีต ตอนนั้นเองก็มีเหล่าผู้ชมที่ดูอยู่รอบๆ เหมือนกับตอนนี้

ทว่าบทบาทของพรีมาดอนนาที่ทำการแสดงนั้นแตกต่างกัน แม้ว่าตอนนี้จะร้องไห้อยู่ แต่คนที่จะได้หัวเราะยิ้มร่าในอนาคตก็คือเธอ ส่วนคนที่จะต้องตกนรกลงไปดิ้นรนตะเกียกตะกาย โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังค่อยๆ ตายไปอย่างช้าๆ นั้นก็คือมิเอล

เบอร์รี่เองก็คว้าโอกาสไว้ และทุ่มตัวเล่นไปตามการแสดงของเธอ

“…ใช่ค่ะ เลดี้ เพราะแรกเริ่มเดิมทีดิฉันก็ไปเป็นสาวรับใช้ให้เลดี้ตามคำสั่งของคุณเอ็มม่าค่ะ คุณเอ็มม่าเป็นคนสั่งให้ทำเรื่องทั้งหมดนี้ค่ะ”

“นางสารเลวนี่! ตอแหล!”

เอ็มม่าทนอดกลั้นความโกรธให้เบอร์รี่พูดจนจบไม่ไหว ก็กระโจนเข้าใส่เธอ มันเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของหญิงสาวผู้ไม่มีทางให้หนีอีกแล้ว

ทันใดนั้นเอ็มม่าก็วิ่งเข้าไปจับผมของเธอ แล้วกระชากอย่างรุนแรง ห้องโถงนั้นเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของเบอร์รี่

“กรี๊ด! คะ คุณเอ็มม่า! โอ้ย!”

“แกคิดว่าแกจะตอแหลแล้วหนีเอาตัวรอดไปได้อย่างนั้นหรือ!”

“เอ็มม่า! เอ็มม่า!”

เนื่องจากเอ็มม่าสติหลุดแล้ววิ่งออกไปอย่างนั้น มิเอลที่เกาะเธออยู่ข้างๆ จึงล้มลงไปบนพื้น แล้วตะโกนเรียกชื่อเธอ

หลังจากนั้นเธอก็ทำได้แค่ตะโกนเรียกชื่อเอ็มม่าตัวสั่นระริก ราวกับตกใจที่ได้เห็นท่าทีอันน่ากลัวของเอ็มม่าเป็นครั้งแรก สภาพของเธอดูน่าสงสารเหลือทน ประหนึ่งนกตัวน้อยที่สูญเสียมารดาของตัวเองไป

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

“หยุดนะ!”

เหล่าชายรับใช้ที่ร่างกายแข็งแกร่งจับเอ็มม่าที่กำลังบีบคอเบอร์รี่อยู่แยกออกจากกัน

ทว่าเอ็มม่าที่เสียสติไปแล้วครึ่งหนึ่งไม่ยอมคลายแรงที่มือที่กำลังทำร้ายเบอร์รี่อยู่ และห้องโถงก็ตกอยู่ในความโกลาหลทันที

“เอ็มม่า! ทำบ้าอะไรนี่!”

“คุณพระคุณเจ้า…!”

“เอ็มม่า! พอได้แล้ว! ขอร้องล่ะ…!”

ท่านเคานต์และเคาน์ติสต่างร้องเสียงสูง คร่ำครวญกับภาพอันหน้าสลดตรงหน้า

มิเอลร้องไห้โฮอย่างไม่สนใจว่าใบหน้าสวยๆ ของเธอจะเละเทะแค่ไหน

บรรดาสาวใช้ของเธอต่างก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทำให้มิเอลผู้ไม่เคยโดนเมินมาก่อนในชีวิตนั้น ต้องหลั่งน้ำตาไปทั่วพื้นอันเย็นเฉียบ

‘ใช่แล้ว ต้องขนาดนี้สิถึงจะคุ้มค่าในการรับชม’

ต้องบอกให้ทุกคนรู้อย่างชัดเจนว่าใครทำอะไรและอย่างไรไม่ใช่หรือ ทันทีที่เธอสารภาพว่าทำอะไรลงไปบ้าง ก็เกิดภาพอันน่าสลดนี้ ภาพอันน่าสลดที่มิเอลหญิงผู้สูงส่งลงไปนอนร้องไห้กับพื้น และเอ็มม่าผู้ที่คอยปกป้องเธอกลายร่างเป็นปีศาจ

ในเหตุการณ์อันสับสนอลหม่านที่เธอปรารถนานี้ อาเรียแสร้งทำเป็นกลัว แล้วหลบอยู่ด้านหลังของเคน พลางจับเสื้อเชิ้ตของเขา แม้จะไม่รู้ว่าเคนตีความไปว่าอย่างไร แต่เขาก็หันกลับไปดูสถานการณ์นั้นอีกครั้ง แล้วกัดฟันแน่น

“ทะ ท่านพี่…”

“ไม่เป็นไรนะ อาเรีย จากนี้จะไม่มีใครมาทำร้ายเธออีกแล้ว”

เขารับบทแสดงเป็นพี่ชายผู้แสนดีกับอาเรียที่ตกอยู่ในความหวาดกลัว

เธอกลืนคำหัวเราะเยาะเย้ยเขาลงไป และภายในของเธอก็ชี้ให้เห็นว่าเขาโง่เขลาแค่ไหน

‘คนที่ฆ่าฉันในอดีตก็คือแกไม่ใช่หรือไง’

เคนเป็นคนที่สั่งให้ตัดคอของหญิงชั่วโดยตรง แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ เขากำลังผลักน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองและสาวใช้สุดที่รักของเธอไปที่ปลายหน้าผา ตรงข้ามกับในอดีตเลยไม่ใช่หรือนี่

น่าเสียดายเหลือเกินที่ในอดีตเธอมีอาวุธที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้อยู่ แต่ไม่รู้วิธีใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม ตัวเธอที่ไม่ทันได้สังเกตอะไรนั้นช่างโง่เขลาเหลือเกิน ตอนนี้ตัวเธอมีอดีตอันน่าเศร้าที่ไม่ควรได้สัมผัสเลยไม่ใช่หรือ

ถึงอย่างนั้น เธอก็รู้สึกขอบคุณสวรรค์ที่ให้โอกาสเธอได้สลัดความแค้นนั้นออกไป

นี่ต้องขอบคุณประสบการณ์ในอดีตที่ทำให้เธอกลายเป็นหญิงชั่วผู้เลวทรามขนาดนี้ไม่ใช่หรือ

“ปล่อยนะ! สิ่งที่นังนั่นพูดมันเป็นเรื่องเรื่องโกหกทั้งหมดนะคะ! ได้โปรดเชื่อดิฉันเถอะค่ะ!”

เอ็มม่าที่ถูกเหล่าคนรับใช้จับตัวเธอไว้อยู่ ตะเกียกตะกายดิ้นรนและตะโกนอย่างสุดแรงที่มี ได้โปรด ได้โปรดเชื่อฉันเถอะ ก็บอกว่าฉันไม่ได้ทำไง! ก็บอกว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิดไง!

เหมือนกับอาเรียในอดีต

“ดะ ดิฉันได้ยินเรื่องที่ว่าคุณเอ็มม่าเอายาพิษนั้นมาได้อย่างไรค่ะ!”

ทว่าเบอร์รี่มีกุญแจดอกสุดท้ายที่จะไล่ต้อนเอ็มม่าเข้าไป และกุญแจดอกนั้นก็เปิดประตูอ้ากว้างไปสู่คำตอบ ประตูสู่นรกที่เอ็มม่าต้องก้าวเข้าไป เอ็มม่าหยุดดิ้นรนตะเกียกตะกาย

“ฮึก เอ็มม่า…”

มีเพียงเสียงร้องไห้ของมิเอลที่ดังขึ้นท่ามกลางห้องโถงอันเงียบสงัด ราวกับเป็นการบรรเลงเพลงไปสู่เพลงบทสุดท้ายที่ชื่อว่าความตาย

อาเรียที่ฝากร่างของเธอให้คล้อยไปตามท่วงทำนองอันละมุนละไมนั้น ปล่อยมือจากเสื้อของเคน แล้วลงไปนั่งกับพื้น

“เรื่องทั้งหมด… เป็นเพราะดิฉันผิดเอง…”

เฮ่อ ถ้าใช้นาฬิกาทรายได้ก็คงจะดี ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะหลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมา แล้วเธอก็จะได้กลายเป็นนางเอกหนังรักอันเศร้าโศก

เจสซี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก็ร้องไห้พลางกอดอาเรีย เสียงร้องไห้ของเคาน์ติสก็ดังออกมาเช่นกัน มือของเคนค้างอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นท่าทีอันน่าสงสารของอาเรีย

“เลดี้คะ…!”

ความคมของสายตาผู้คนที่หันไปทางเอ็มม่านั้นเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกของเจสซี่ ผู้คนต่างกัดฟันแน่น และคิดว่าต่อให้พวกเขาฉีกแขนขาเธอทิ้งก็คงจะไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้นได้

ท่ามกลางสถานการณ์ที่คำพูดอันโหดร้ายถูกพ่นใส่กันไปมานั้น ท่านเคานต์ผู้ชอบธรรมก็ยกมือขึ้นเพื่อเป็นการหยุดสถานการณ์

“เอ็มม่า ฉันคงต้องลงโทษเธออย่างช่วยไม่ได้ เพราะเธอไม่มีหลักฐานแหละนะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะทำเรื่องแบบนี้ แต่… อย่างไรก็ตาม ความผิดบาปของการที่พยายามจะทำร้ายเจ้านายนั้นใหญ่หลวงนัก เธอคงจะหนีความตายไม่พ้น ส่วนเบอร์รี่”

พอชื่อของตัวเองถูกเรียก เบอร์รี่ก็สะดุ้งอย่างแรง

“ไม่ว่าเธอจะมีเหตุผลมากมายแค่ไหน แต่ที่เธอทำผิดนั้นก็เป็นเรื่องจริง และมันก็มีราคาที่เธอต้องจ่าย”

“ทะ ท่านเคานต์คะ…!”

เธอลนลานไม่หยุดเมื่อได้ยินคำพิพากษา แล้วมองไปที่อาเรีย บุคคลเดียวที่จะสามารถช่วยเธอได้ ใบหน้าอันแข็งกร้าวของเธอนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง ความไม่เป็นธรรม และความรู้สึกถูกหักหลัง

‘ไม่เห็นต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้’

ฉันต้องช่วยเธออยู่แล้วไม่ใช่หรืออย่างไร หากหักหลังเบอร์รี่ตอนนี้ ทั้งหมดที่ทำมาก็จะสูญเปล่า

อาเรียเช็ดน้ำตาของเธอจากการจ้องมองด้วยสายตากระตือรือร้น วิงวอนขอให้ยกโทษอันผิดบาปให้แทนเธอ

“ท่านพ่อคะ ลูกเข้าใจความรู้สึกของเบอร์รี่เป็นอย่างดีเลยค่ะ แม้แต่ลูกเอง หากท่านพ่อกับท่านแม่ มิเอลหรือพี่เคนถูกจับเป็นตัวประกัน ลูกก็คงต้องทำเรื่องเลวร้ายเหมือนกันค่ะ ไม่ว่าใครก็คงทำแบบนั้นใช่ไหมละคะ… กลับกัน ลูกว่าคนที่เลวคือคนที่ทิ้งครอบครัวของตัวเองไปเสียอีกค่ะ ไม่ใช่หรือคะ ท่านพ่อ”

เคนตอบสีหน้าอันเศร้าสร้อยของอาเรียที่ถามหาความเห็นกลับไปว่าใช่แล้ว

“ยิ่งไปกว่านั้น เธอลังเลอยู่หลายครั้ง แต่ลูกก็เป็นคนยินยอมให้เธอทำเช่นนั้นเอง… มันต้องรู้สึกเจ็บปวดทรมานเจียนตายแน่ๆ เลยค่ะ คงเพราะอย่างนั้นเธอก็เลยมาหาที่นี่เช่นนี้ค่ะ ดังนั้นได้โปรด… อย่าลงโทษเบอร์รี่เลยนะคะ…”

ท่านเคานต์กระแอมไอให้กับความทุ่มเทนั้น เหล่าสาวใช้ที่เคยได้รับของขวัญและความเมตตาจากอาเรียอยู่หลายครั้ง และเป็นพวกของเธออยู่แล้ว ต่างก็ชื่นชมและประทับใจนิสัยใจคอของเธอ

“ทำไมเลดี้ถึงใจดีอะไรขนาดนี้…”

“ทั้งที่เธอเป็นคนที่พยายามจะฆ่าตัวเองแท้ๆ…”

ในสถานการณ์ที่เอ็มม่าจะต้องรับความผิดบาปทั้งหมดไว้ที่ตัวเธอเองคนเดียวนี้ มิเอลชำเลืองมองอาเรียอย่างแรงจนเผยให้เห็นส่วนตาขาวของเธอ

อาเรียที่ประจันหน้ากับเธอ มองไปรอบๆ แล้วยกมุมปากขึ้น เพื่อให้มีแค่เธอเท่านั้นที่สังเกตเห็น

‘ทำไมเธอถึงไม่ยอมออกมาช่วยลบล้างความผิดบาปให้เอ็มม่าเสียเองล่ะ’

ไม่ใช่นะคะ! เอ็มม่าไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ! ฉันเป็นคนสั่งให้เอ็มม่าทำเองค่ะ! ฉันเป็นคนขู่ว่าจะทำร้ายคนสำคัญของเธอเองค่ะ! ถ้าพูดอย่างนั้นไปเสียก็หมดเรื่อง

ทว่าสำหรับมิเอลผู้ซึ่งคนที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ก็คือตัวเธอเองแล้วนั้น ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเอ็มม่าที่จนมุม หาทางออกไม่เจอได้เลย และสุดท้ายก็มีเพียงแค่เอ็มม่าคนเดียวเท่านั้นที่ถูกเหล่ากองทหารที่มาถึงคฤหาสน์นำตัวไป

* * *

“เลดี้คะ… ขอบพระคุณ ขอบพระคุณจริงๆ ค่ะ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณเลดี้เลยค่ะ”

เบอร์รี่ที่เป็นคนช่วยเพิ่มน้ำหนักให้แก่ความผิดบาปของเอ็มม่าด้วยคำโกหกหลอกลวง กล่าวขอบคุณอาเรียอย่างไม่หยุดหย่อน ก่อนจะออกเดินทาง เธอโค้งตัวลงไปต่ำจนผมของเธอแทบจะลากยาวไปกับพื้น

“ต่อจากนี้ก็ใช้ชีวิตให้ดีล่ะ เพราะโอกาสมันไม่มีมาให้อีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ”

อาเรียตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางปัดเผ้าผมสกปรกของเธอให้

“ค่ะ…! ดิฉันโง่จริงๆ ที่ไม่รู้ว่าควรรับใช้ใคร และไม่มีอะไรจะพูดแก้ตัวสำหรับที่ดิฉันได้ก่อความผิดบาปอันใหญ่หลวงขนาดนี้…”

“ดีแล้วที่เธอมานั่งคิดเสียใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ เดินทางดีๆ ล่ะ ถ้าส่งจดหมายว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ดีมาบ้าง ฉันก็คงจะสบายใจ”

เบอร์รี่ที่ซาบซึ้งกับคำพูดของเธอที่ว่าจะไม่ตัดความสัมพันธ์ในอนาคต ก็พยักหน้าอย่างแรง

“ค่ะ! ค่ะ! เลดี้! แล้วจะส่งมาแน่นอนค่ะ! ถ้าอย่างนั้น… รักษาสุขภาพด้วยนะคะ!”

เบอร์รี่กล่าวลาทิ้งท้าย เช็ดน้ำตาก่อนจะขึ้นรถม้าไป รถม้าออกตัวทันทีที่เธอก้าวขึ้นไป เพราะจุดหมายปลายทางได้ถูกบอกเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว

อาเรียที่มองไปยังรถม้าที่ค่อยๆ เล็กลงและหายไปนั้น ก็หมุนตัวกลับเข้าไปยังคฤหาสน์ แอนนี่ที่คอยเฝ้าระวังอยู่ข้างๆ และเพ่งเล็งเบอร์รี่อยู่ตลอดมา ก็ถามอาเรียราวกับว่าเธอไม่เข้าใจ

“เลดี้คะ ทำไมถึงให้อภัยเบอร์รี่ละคะ เบอร์รี่ก็เป็นคนเลวเหมือนกับคุณเอ็มม่าไม่ใช่หรือคะ!

เจสซี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย อาเรียจึงเผยยิ้ม แล้วอธิบายให้พวกเธอฟังอย่างใจดี

“แอนนี่ เดิมทีแล้วคนชั่วน่ะก็ต้องเตรียมชดใช้ความผิดบาปที่ได้ก่อลงไป แม้ฉันจะไม่ใช่คนลงโทษก็ตาม เพราะพระเจ้ากำลังมองดูเราทุกคนอยู่ยังไงล่ะ”

แอนนี่กับเจสซี่เอียงหัวเหมือนกับไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูด

บางทีพวกเธออาจจะไม่มีวันเข้าใจไปทั้งชีวิตก็ได้ อาเรียคิดดังนั้นแล้วขึ้นบันไดไปทางห้องของเธอ

รถม้าที่ตัวไปนั้นมุ่งหน้าไปยังทิศทางอื่นที่ต่างจากอาณาจักรโครอาที่แอนนี่บอกอาเรียว่าอยากไปโดยสิ้นเชิง และกว่าเบอร์รี่จะรู้สึกตัวก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวันนับจากวันที่ออกจากเมืองหลวงมา

“ทะ ที่นี่ที่ไหน “ทำไมผ่านไปหนึ่งวันแล้ว แต่ยังอยู่ในป่าทึบแบบนี้…”

หลังจากผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงที่คนขับรถม้าหยุดรถและบอกกับเธอว่าเขาจะตรวจดูรอบๆ สักพัก เบอร์รี่ที่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ ก็ออกมานอกรถม้าอย่างระมัดระวัง

“…!”

เบอร์รี่ที่มองดูด้านนอกให้แน่ใจแล้วก็ตกใจล้มพับลงไปนั่งกับพื้นอย่างแรง แล้วร้องคร่ำครวญอย่างไร้เสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา เพราะคนขับรถม้าและม้าหายไปด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เหลือทิ้งไว้แต่เพียงตัวรถม้าตั้งตระหง่านอยู่ในป่า

“ปะ เป็นไปไม่ได้…!”

ฉันวิ่งออกจากเมืองหลวงมาตั้งหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว แต่ถ้ายังอยู่ในป่าทึบละก็…! เห็นได้ชัดว่ามันเป็นป่าวงกตที่ไร้จุดจบไม่ว่าจะตัดหรือเผาไป ที่แม้แต่จักรพรรดิเองก็ยังต้องยอมแพ้

ป่าที่ไม่มีใครสามารถออกไปได้หากไม่มีเข็มทิศหรือพาหนะ เพราะอย่างนั้นถึงไม่มีใครเดินเท้าเข้ามาในป่าง่ายๆ

เมื่อเธอคิดได้ว่าเธอถูกทิ้งไว้ตรงนั้น เบอร์รี่ก็ร้องไห้ครวญครางออกมาอย่างประหลาดให้กับความหวาดกลัวที่จู่ๆ ก็ไล่เข้ามาอย่างไม่ทันได้เตรียมใจ เหมือนเธอได้ยินเสียงร้องระงมของสัตว์ป่าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

หลังจากที่ทุกอย่างโดนขโมยไปแม้แต่กระเป๋าที่วางไว้หลังรถม้านั้น สิ่งเดียวที่เหลือให้เธอในตอนนี้ มีเพียงรถม้าที่จะพังลงทันทีที่โดนสัตว์ป่าเข้ามาจู่โจม และร่างอันบอบบางเท่านั้น

…………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด