กลยุทธ์เด็ด เสพติดรักภรรยาของผม 202 อาจารย์ที่ทำผ้าไหมกวางตุ้งได้
" ผมกับฉินยากำลังคบกันอยู่ครับ "
เมื่อถึงมื้ออาหารเช้า ทุกคนก็เริ่มทยอยมาที่ห้องอาหาร ซูจ้านจึงดึงเธอให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกเป็นการป่าวประกาศไปในตัว
ฉินยาที่รู้สึกไม่ชินกับท่าทีสนิทชิดเชื้อที่เขาทำ เธอจึงพยายามดันตัวออกมาจากอ้อมอกของเขา ซูจ้านเอียงตัวไปแล้วกระซิบเธอเป็นการเตือน " ถ้าไม่อยากให้คนอื่นสงสัย ก็ตั้งใจทำตามที่ผมบอก "
ไม่มีวิธีอื่น ฉินยาจึงทำได้แค่ไหลไปตามบท' รักที่ลึกซึ้ง 'กับซูจ้าน
" จุ๊ๆ " เสิ่นเผยซวนจิ๊ปากแซว " เร็วอะไรปานนั้นเนี่ย "
เมื่อคืนตอนที่ดื่มเหล้ากัน ฉินยายังพยายามตีตัวออกจากซูจ้านอยู่เลย ไหงผ่านไปคืนเดียวก็กลายเป็นคู่รักกันเสียละ
จะหลอกกันก็พูดมาเหอะ
ท่าทางเสิ่นเผยซวนดูก็รู้ว่ากำลังสงสัยอยู่ จงจิ่งห้าวที่ฟังหลินซินเหยียนบอกมาอีกที ก็รู้ว่าซูจ้านกำลังเล่นละครอยู่
แต่ก็ขี้เกียจจะไปนั่งจับผิดไอ้เด็กนั่น
เขากำลังอุ้มหลินลุ่ยซีไว้ ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วป้อนอาหารให้ลูกสาวกิน
เรื่องของพวกนั้น เขาไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ในตอนนี้ใจของเขาทั้งหมดกำลังโฟกัสอยู่กับลูกสาวเท่านั้น
เสิ่นเผยซวนก็ดูออกเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ก่อนจะนั่งตรงโต๊ะข้างหน้า มองจงจิ่งห้าวที่กำลังป้อนข้าวลูกสาวอย่างอ่อนโยน อดไม่ได้ที่จะชักมุมปากขึ้น
ตอนที่ยังไม่มีหลินลุ่ยซี เขาไม่เคยเห็นใบหน้าของจงจิ่งห้าวที่แสดงความอ่อนโยนเช่นนี้มาก่อน
เป็นพ่อที่คลั่งรักลูกสาวสินะ
ณ เวลานี้ ไม่มีคำไหนที่จะมาจำกัดความเป็นจงจิ่งห้าวได้เท่านี้มาก่อน
" เสี่ยวลุ่ย " เสิ่นเผยซวนหยิบไข่ต้มขึ้นมา " ลุงปอกให้หลานไงล่ะ "
หลินลุ่ยซีส่ายหัว แล้วโถมตัวเข้าไปในอ้อมอกของจงจิ่งห้าว " ไม่เอา พ่อของหนูบอกให้แล้ว "
เสิ่นเผยซวนกะพริบตาปริบๆ เขารู้สึกว่าตัวเองถูกทอดทิ้งภายในคืนเดียว จงจิ่งห้าวมีภรรยาและลูกๆ เป็นครอบครัวที่อบอุ่นสี่คน มีลูกสาวที่สวยและน่ารัก และลูกชายที่ฉลาดเป็นกรด ในจะภรรยาที่หน้าตาสะสวย แล้วยังอายุน้อยกว่าเขามาก นับได้ว่าเป็นภรรยาที่ทั้งสาวและสวยเลยทีเดียว
ตอนนี้ขนาด' เพลย์บอย 'อย่างซูจ้านยังมีความรักจริงๆ กับคนอื่นไปเสียแล้ว แต่ตัวเขายังคงเป็น ' ไอ้คนหัวเดียวกระเทียมลีบ ' อยู่เหมือนเดิม
นี่เขาถูกทอดทิ้งจริงๆ เหรอเนี่ย
เขาเลยย้ายไปนั่งข้างๆ หลินซีเฉิน ซื้อที่ตรงนี้เป็นที่ที่ผู้ชายอย่างพวกเขาไม่มีหญิงคนไหนมาเกี่ยวข้อง
หลินซีเฉินก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องมานั่งใกล้ตัวเอง จึงหยิบไข่ต้มที่ตัวเองปอกเสร็จวางลงไปในจานของเขา
" คุณลุงเสิ่น กินนี่สิครับ "
ใบหน้าของเสิ่นเผยซวนที่เพิ่งบูดเบี้ยวไปเมื่อกี้ ก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นออกมาเล็กน้อย ที่แท้เขาก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้งนี่เอง อย่างน้อยก็ยังมีคนเป็นห่วงเขานะเนี่ย
เขาหยิบมันขึ้นมากิน " ขอบใจนะเสี่ยวซี "
หลินลุ่ยซีมองไปที่เขา แล้วขำออกมาอย่างไม่ลดละ " ผมแค่เห็นลุงน่าสงสารอยู่คนเดียว ก็เลยแบ่งให้ครับ "
เสิ่นเผยซวน " ….. "
ไข่ต้มในปากที่เขาเพิ่งกินข้าวไปรสชาติก็เปลี่ยนไปในทันที
ในใจของหลินซินเหยียน เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในใจของเธอก็ยังคงคิดหาความจริงจากประโยคที่ซูจ้านพูด
" พวกคุณคงสงสัยว่าทำไมฉินยากับผมเราถึงมาอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นเพราะว่าพวกเรารักกันและคบกัน ผมเลยพาเธอมาด้วย ผมรู้สึกว่าวันนี้ท้องฟ้าสดใสอากาศกำลังดี มันจะต้องเป็นวันที่ดีแน่ ดังนั้นก็เลยอยากจะเลือกวันนี้เพื่อบอกทุกคนว่าผมกับฉินยาเรารักกัน "
ซูจ้านพูดออกมาได้อย่างมีความสัตย์จริง ท่าทีนั้นดูมุ่งมั่นเลยฮึกเหิมมาก
เมื่อเขาพูดแบบนั้นแล้ว หลินซินเหยียนก็ไม่อยากพูดอะไรมาก คำพังเพยบอกไว้ว่า ' รื้อวัดสักสิบวัด ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากีดกันความรักของคนหนึ่งคู่ ' เธอและพูดออกมาประโยคหนึ่ง " ถ้าพวกเธอตัดสินใจกันดีแล้วแล้วก็ ก็ลืมเรื่องที่ผ่านมาก็แล้วกัน ดูแลฉินยาดีๆ "
ฉินยารู้สึกอึดอัดใจไปชั่วขณะ เธอก็หัวลง " พี่หลิน…ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดเรื่องนี้กับพี่… "
" ไม่เป็นไร นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว กินข้าวกันเถอะ "
เธอคงไม่โทษฉินยา แกก็โตแล้ว คงจะรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เธอแค่เป็นห่วงกลัวว่าซูจ้านจะทำร้ายแก
เพราะสองคนนี้รู้จักกันได้ไม่นาน วันๆ ซูจ้านก็เอาแต่กะล่อนไปทั่ว แค่กลัวว่าฉินยาจะเสียเปรียบก็เท่านั้น
ฉินยาปัดมือของซูจ้านออก ก่อนจะเดินไปหน้าหลินซินเหยียน " พี่หลิน "
หลินซินเหยียนโอบไหล่เธอ ไว้ก่อนจะให้นั่งที่โต๊ะอาหารเดียวกัน เพื่อไม่ให้ตัวแกรู้สึกผิด เรื่องของความรู้สึกก็ให้มันเป็นไปตามที่ใจของตัวเองต้องการก็พอแล้ว
ฉินยาไม่กล้าแม้แต่จะสบตาหลินซินเหยียน เธอรู้สึกว่าอายแก่ใจเหลือเกิน
เพราะว่าเธอกับซูจ้านไม่ได้รักกันเลยจริงๆ
จงจิ่งห้าวยื่นมือลงไปใต้โต๊ะแล้วกุมมือของหลินซินเหยียนไว้ ขณะที่กุมมือนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า " ทุกคนต่างมีโชคชะตาของตัวเอง "
เขาไม่อยากให้หลินซินเหยียนต้องเครียดเพราะเรื่องของคนอื่น
เขาเลยเอานมหนึ่งแก้ววางตรงหน้าเธอ " ดื่มซะสิ "
หลินซินเหยียนเข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ เธอไม่ได้คิดจะก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของตัวเธอเองกับฉินยา เธอแหละอดที่จะกังวลแทนเด็กคนนั้นเท่านั้นเอง
เธอหยิบนมแก้วนั้นที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่ม
" หม่ามี๊ " หลินลุ่ยซีเอาไข่ที่จงจิ่งห้าวปอกให้เมื่อกี้ยกให้หลินซินเหยียน " อันนี้หนูให้ "
เด็กหญิงตัวน้อยชูมือไปมา ในมือนั้นจับ ' ลูกบอลกลมๆ สีขาว ' ใส่เข้าไปในปากหลินซินเหยียน
ช่างเป็นเด็กที่กตัญญูเสียจริงๆ
หลินซินเหยียนก็กัดไข่ต้มในมือของลูกสาวเข้าไปหนึ่งคำ กินยังไงก็รู้สึกว่านี่คือรสชาติของไข่ไก่ แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าไข่ไก่ที่กินวันนี้รสชาติมันถึงอร่อยเป็นพิเศษ
เธอรูปหัวของลูกสาวอย่างอ่อนโยน มุมปากของเธอมีใครแดงเหลืออยู่โดยไม่รู้ตัว จงจิ่งห้าวจึงหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วเช็ดปากให้เธอ
หลินซินเหยียนทำตัวไม่ถูก คนเยอะขนาดนี้ เธอเลยยกมือขึ้นมาเตรียมที่จะเช็ดเอง แต่ ถูกสายตาของจงจิ่งห้าวยั้งเอาไว้
ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเคยพูดว่าเมื่ออยู่ข้างนอก ' ต้องรักกัน ' หลินลุ่ยซีก็เข้าไปซุกในอ้อมอกของจงจิ่งห้าว ทำท่าทีชอบอกชอบใจที่เห็นพ่อกับหม่ามี๊เป็นแบบนี้
เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ
ซูจ้านที่เห็นดังนั้นก็ถลึงตา เขากระแอมเบาๆ จนนมแทบจะพุ่งออกมาจากปาก " ให้มันได้งี้สิ โชว์หวานกันแต่เช้า นายไม่สงสารเผยซวนเลยหรือยังไง อายุก็ปาเข้าไปตั้งเท่าไหร่แล้ว แฟนสักคนก็ไม่เคยมี "
พูดจบเขาก็ขำออกมากมาอย่างสะใจ
เสิ่นเผยซวนมองเขาอย่างคาดโทษ พอกินไข่เข้าไปคำนึงก็ลุกขึ้นมา
หลินซีเฉินก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน" ผมก็กินเสร็จแล้ว "
" มา ลุงจูงมือหนูเอง " เสิ่นเผยซวนเริ่มรู้สึกว่านับวันตัวเองยิ่งเข้าขาเจ้าเด็กคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
พอพวกเขาเดินไปที่ประตู ก็สวนเข้ากับไป๋ยิ่นหนิงที่กำลังจะเดินเข้ามา
เสิ่นเผยซวนหยุดฝีเท้าตัวเอง " คุณไป๋มาได้ไงครับเนี่ย "
" ผมมาหาคุณหลินน่ะครับ " ใบหน้าของไป๋ยิ่นหนิงปรากฏรอยยิ้มบางๆ
เสิ่นเผยซวนยิ้มตอบ " ตอนนี้เธอกำลังกินข้าวอยู่ ถ้าไม่งั้นคุณไป๋ก็รอตรงนี้สักพักได้ไหมครับ "
" ได้สิครับ " ไป๋ยิ่นหนิงกลับไม่ได้โต้แย้งอะไร
แต่สายตาของเขาเหลือบลงไปยังหลินซีเฉิน เจ้าเด็กน้อยคนนี้ก็ไม่ได้ดูโตมาก หน้าตาก็ใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย ทั้งตาและรูปหน้าก็เหมือนกับจงจิ่งห้าวไม่มีผิด มองยังไงก็แทบจะเป็นคนเดียวกัน
" หนูคือเสี่ยวซีสินะ " ไป๋ยิ่นหนิงถามแบบยิ้มๆ
หลินซีเฉินตอบกลับอย่างมีมารยาท " ใช่ครับ ผมชื่อหลินซีเฉิน คุณเรียกผมว่าเสี่ยวซีก็ได้ฮะ "
ไป๋ยิ่นหนิงชะงักไป หลินซีเฉินเหรอ
นามสกุลเดียวกับแม่นี่
อย่าว่าแต่ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจงเลย ขนาดตระกูลธรรมดาทั่วไป ลูกก็ไม่ได้ใช้นามสกุลของแม่ด้วยซ้ำ แล้วยังเป็นลูกชาย
เหมือนเค้าจะได้กินตุๆ ที่ผิดปกติอะไรบางอย่างของครอบครัวนี้
น่าสนุกดี
ใบหน้าของไป๋ยิ่นหนิงค่อยๆ ผุดรอยยิ้มออกมา ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นยิ้มที่ดูสดใสและเป็นมิตร " ชื่อของหนูเพราะมากเลย ซีเฉิน การเริ่มใหม่ การเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง หรือว่าจะหมายถึงการเริ่มต้นวันใหม่ล่ะ พ่อตั้งชื่อให้หนูเหรอ "
" ไม่ใช่ครับ หม่ามี๊เป็นคนตั้ง " หลินซีเฉินตอบ
ไม่รู้สึกถึงสัญชาตญาณการระวังตัวของเด็กน้อยเลย
เขามักจะยิ้มแบบนี้ โดยที่คนอื่นไม่เคยรู้เลยว่าเขานั้นเป็นคนไม่ดี
สกิลการระวังตัวของหลินซีเฉินต่ำเกินไปสินะ
" โว้ว แสดงว่าหม่ามี๊ของหนูนี่เก่งจริงๆ เลยนะ.. "
ขณะที่เขาพูดอยู่ก็เห็นหลินซินเหยียนกับจงจิ่งห้าว กำลังเดินออกมาพอดี
" วันนี้ผมจะพาคุณไปพบอาจารย์คนนั้น "
" ได้ค่ะ " หลินซินเหยียนตอบกลับทันที "งั้นคุณรอฉันสักครู่นะคะ "
เธอหันไปมองจงจิ่งห้าว แต่ยังไม่ทันจะได้เปิดปากพูด เขาก็โพร่งขึ้นมาว่า " ผมจะไปกับคุณ "
ไอ้คนที่ชื่อไป๋ยิ่นหนิงนี่มันดูดี๊ด๊าใส่หลินซินเหยียนเป็นพิเศษ มันทำให้จงจิ่งห้าวไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
จะยอมให้เขาอยู่กับหลินซินเหยียนสองต่อสองได้ไงกัน
นอกจากเขาจะบ้าไปแล้วอ่ะนะ
" แล้วลูกสองคนจะทำยังไง " หลินซินเหยียนตา แปลกใจที่จงจิ่งห้าวจะไปกับตัวเอง
" ก็พาไปด้วยไง " ถ้าให้ทิ้งสองคนนั้นไว้ที่นี่เขาคงไม่สบายใจ ยังไงก็ต้องเอาลูกๆ ทั้งสองคนไปด้วย
นิสัยของจงจิ่งห้าวหลินซินเหยียนก็รู้ดี เมื่อเขาตัดสินใจไปแล้วเธอก็คงจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
" ไกลไหมคะ วันนี้ไปกลับได้ไหม "หลินซินเหยียนถาม ถ้าเกิดว่าไกลเธอจะได้เตรียมของใช้ของลูกไปด้วย
" ถ้าเดินทางตอนนี้ อาจจะไปกลับได้ครับ "ไป๋ยิ่นหนิงตอบ ขนาดที่เขาพูดสายตาของเขาก็มองไปที่จงจิ่งห้าว " ประธานจงไม่ไว้ใจผมเหรอครับ "
จงจิ่งห้าวหัวเราะอย่างเย็นชา น้ำเสียงไม่ได้สูงหรือต่ำเกินไปแต่กลับทำให้คนฟังสะเทือน เขาเอามือไปโอบไหล่ของหลินซินเหยียนเอาไว้ " ผมไม่เคยมองประธานไป๋เป็นอริเลยนะครับ "
ความหมายที่พูดไปจะสื่อว่า เขาไม่มีคุณสมบัติจะคู่ควรต่างหาก
ไป๋ยิ่นหนิงก็รู้สึกโกรธเป็นเนืองๆ แต่กลับยิ้มออกมายังเป็นมิตร " ถ้างั้นผมขอรอข้างนอกนะครับ "
เขายกมือขึ้นออกคำสั่ง ให้เกาหยวนเข็นเขาออกไป
" ผู้ชายคนนั้นเป็นใครอ่ะ " ซูจ้านเดินไปข้างๆ เสิ่นเผยซวนแล้วถาม
" เจ้าของที่ดินไป๋เฉิง "
เสิ่นเผยซวนเลี่ยงที่จะพูดอธิบายมันออกมา
" ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ ที่คนพิการคนหนึ่งจะทำให้ผู้คนนับถือได้ แสดงว่าเค้าต้องมีกึ๋นอะไรบางอย่าง "ซูจ้านจับคางทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะละสายตาจากไป๋ยิ่นหนิง แล้วหันไปมองเสิ่นเผยซวน " ที่บอกว่าจะออกไป คือไปไหนกัน "
" ไปหาอาจารย์ที่ทำผ้าไหมกวางตุ้งได้ "
" ว้าว ผ้าไหมกวางตุ้งเหรอ "ฉินยาที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินคำนี้ออกมาก็ตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดเสียให้ได้
ซูจ้านมองเธออย่างตกใจ " ให้ของนี่มันล้ำค่าหรือเปล่า ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินชื่อมันมาก่อน "
ฉินยามองหน้าเขายังไม่ค่อยสนใจไยดีเท่าไหร่นัก " คุณจะไปรู้อะไรล่ะ "
ซูจ้าน" …… "
" ผม…. "
ฉินยาไม่ได้ฟังคำพูดใดๆ ที่หลุดออกมาจากปากเขา ก่อนจะสะบัดขาเดินออกไป เพื่อตามไปช่วยหลินซินเหยียนเก็บของ จากนั้นทุกคนก็ออกจากโรงแรม
ทั้งหมดที่ไปกัน พวกเขาใช้รถทั้งหมดสามคัน ข้างหน้าคือรถของไป๋ยิ่นหนิงสองคันที่นำทางไป
ยิ่งรถขับ ไปไกลเท่าไหร่ทางที่ผ่านก็เริ่มห่างไกลความเจริญขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ถนนก็เต็มไปด้วยพื้นผิวที่ขรุขระ
เมื่อรถขับเข้าไปในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีทิวทัศน์สวยงามแห่งหนึ่ง หลินซินเหยียนก็โดนวิวข้างทางดึงดูดโดยที่ไม่รู้ตัว นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ท่ามกลางสายน้ำและภูเขาแห่งหนึ่ง การสร้างบ้านเรือนที่ดูเป็นเอกลักษณ์ที่ ที่ดูตัดสะท้อนกับทิวเขา อีกทั้งสวนองุ่นที่เป็นแพกระจายไปทั่วผืนดินของเทือกเขาที่หันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ หลังจากที่รถขับเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ทุกคนก็ได้สัมผัสกับกลิ่นดินและใบองุ่นที่ลอยตามลมมากระทบเข้าที่ใบหน้า
ลดก็ได้ขับต่อไปเรื่อยๆ แต่โดยรอบก็เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างโบราณที่มีความโดดเด่นของชนเผ่าที่มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวของมัน บ้านไม้หลังน้อยที่ยังคงสภาพของความเป็นยุคกลางถูกโอบล้อมไปด้วยสวนองุ่นที่เรียงรายกันอย่างไม่ขาดสาย หน้าประตูบ้านแต่ละหลังถูกแขวนไปด้วยกรรไกรและตะกร้าเก็บองุ่นที่ถูกสานด้วยต้นไผ่ของชาวสวน……
บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ทำให้หลินลุ่ยซีตื่นเต้นเล็กน้อย ก่อนจะเคาะไปที่หน้าต่างรถ " ว้าว มีต้นองุ่นเยอะจัง ถ้าหน้าร้อนแล้วก็ต้องมีองุ่นเต็มไปหมดแน่เลย…. "
ขณะนั้นรถของไป๋ยิ่นหนิงก็จอดลง และรถของพวกเขาก็จอดตาม
จากนั้นทุกคนก็ค่อยๆ ทยอยลงจากรถ
ไป๋ยิ่นหนิงชี้ไปยังหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไป " ถึงได้แค่ตรงนี้แหละ เพราะว่าข้างหน้ารถไม่สามารถเข้าไปได้แล้วต้องเดินเข้าไปอย่างเดียวเท่านั้น "
" บรรยากาศรอบข้างดีขนาดนี้ ถึงเดินหน่อยก็คงไม่เหนื่อยหรอกค่ะ " ฉินยา ชื่นชมบรรยากาศที่นี่เป็นอย่างมาก
ในยุคนี้หมู่บ้านที่มีอากาศบริสุทธิ์ปราศจากมลภาวะเช่นนี้มีน้อยนักที่จะเห็น
" ถ้างั้นไปกันเถอะ " ไป๋ยิ่นหนิงยังคงเดินนำไปข้างหน้า
จงจิ่งห้าว มองไปรอบๆ นี่มันหมู่บ้านในป่าในเขาจริงๆ แฮะ ก่อนที่เขาจะโอบไปที่ไหล่ของหลินซินเหยียน แล้วพูดว่า " ไปกันเถอะ "
" อื้ม "
ผ่านการเดินเท้ามาครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านนี้คนไม่เยอะนักบางทีก็เห็นเพียงแค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้น แล้วยังเป็นคนที่มีอายุราวๆ กลางคนอีกด้วย พวกเขายังไม่เห็นว่าจะมีเด็กอายุเราราววัยรุ่นอาศัยอยู่เลย
" บ้านหลังนั้นน่ะ " ไป๋ยิ่นหนิงชี้ไปยังบ้านไม้ที่ถูกสร้างอยู่ตรงหัวสะพาน ที่มีแม่น้ำใสสะอาดไหลผ่านอยู่ด้านล่าง บ้านหลังนี้ใช้กิ่งไม้มาทำเป็นราวกั้นอย่างเสมอกัน ไม่มีประตูด้านหน้า ในลานบ้านนั้นก็ยังมีบ้านไม้สองชั้นอีกหนึ่งหลัง ด้านขวาของตัวบ้านก็มีเก้าอี้ไผ่สาน และบนเก้าอี้นั้นก็มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่ ในมือของเขากำลังแกะสลักต้นไผ่ออกมาให้เป็นเส้นเล็กละเอียด ก่อนจะสานออกมาเป็นตะกร้าไผ่ เมื่อได้ยินเสียงบางอย่างเขาก็เงยหน้าขึ้นมาดู หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยลึกตามวัย ดวงตาที่กำลังจ้องมานั้นตกลงมาอยู่บนตัวของจงจิ่งห้าว
เขาวางมือลงจากงานฝีมือตรงหน้า ก่อนจะลุกขึ้นมา
Comments