สาวใช้ส่วนตัวของนายซาตาน 1419 หญิงรับใช้ของคุณชายเย่ 1319
“เนี่ยนโม่ ฉันหิวจังเลย” อ้าวเสว่เอ่ยปากอย่างใจเย็นอยู่ข้างๆ เย่เนี่ยนโม่รู้สึกตัวแล้วก็หันมายิ้มให้ จากนั้นคีบอาหารใส่ถ้วยอ้าวเสว่
อ้าวเสว่ทานอย่างมีความสุข ติงยียีที่ตักข้าวใส่ปากคำเล็กๆที่ละคำๆ สายตาจ้องไปยังจานหมูตุ๋นที่อยู่ข้างๆ อยากจะทานหมูตุ๋นจัง!
ตะเกียบสองคู่คีบอยู่ที่จานหมูตุ๋นในเวลาเดียวกัน เย่ชูหวินสบตากับเย่เนี่ยนโม่ เย่เนี่ยนโม่ดึงตะเกียบกลับ เย่ชูหวินคีบหมูตุ๋นใส่ถ้วยของติงยียี
ติงยียีมองเย่ชูหวินด้วยสายตาที่ซาบซึ้งใจและพึงพอใจ ทันใดนั้นเย่ชูหวินจู่ๆมีความรู้สึกเหมือนกำลังป้อนอาหารสัตว์น้อย จึงยิ่งคีบอาหารก็ยิ่งมีความสุข จนลืมไปว่าทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายใต้สายตาของคนทุกคน
“ คุณติงนั้นเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยZเหรอ”ไห่ฉิงฉิงที่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
ติงยียีรีบร้อนกลืนหมูตุ๋นที่อยู่ในปากลงคอ จนทำให้สำลักขึ้น เย่ชูหวิน รินน้ำลูกท้อแล้วจะยื่นไปให้ติงยียี
“เธอแพ้ลูกน้ำท้อ” เย่เนี่ยนโม่ห้ามอยู่ข้างๆ สายตาของคนบนโต๊ะทั้งหมดมองไปยังเย่เนี่ยนโม่ “ยียีแพ้อะไรทำไมเนี่ยนโม่ถึงรู้ล่ะ” ไห่โจ๋ซวนกล่าวขำๆ
เย่ชูหวินจึงเปลี่ยนจากน้ำลูกท้อเป็นน้ำส้มให้ตีงยียีอย่างเงียบๆ อ้าวเสว่ที่อยู่ข้างๆไม่มีกะจิตกะใจทานอาหารแล้ว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ากระเพาะตัวเองเจ็บจี๊ดขึ้นเป็นครั้งคราว ถึงแม้ว่าจะไม่ทรมานมาก แต่อ้าวเสว่ก็ทำแสดงออกมาได้อย่างเวอร์วัง
“ฉันเจ็บกระเพาะจังเลย”อ้าวเสว่โน้มตัวลง เย่เนี่ยนโม่จึงอุ้มอ้าวเสว่แล้วกล่าวขึ้น:“ผมจะส่งคุณไปพักผ่อนที่ห้องนอนรับรองแขกก่อน”
เมื่อมาถึงที่ห้องนอน เย่เนี่ยนโม่วางอ้าวเสว่ลง มือทั้งสองข้างของอ้าวเสว่ก็คล้องโอบเข้าที่คอของเย่เนี่ยนโม่ไว้ไม่ปล่อย เย่เนี่ยนโม่จึงต้องโน้มตัวลง
“อ้าวเสว่ปล่อย ผมจะไปหยิบยามาให้คุณ” เย่เนี่ยนโม่โอบกอดอ้าวเสว่ไว้อย่างจำใจ อ้าวเสว่ส่ายหน้า :“ไม่ค่ะ”
เย่เนี่ยนโม่ลูบศีรษะของอ้าวเสว่แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า:“ ทำไมวันนี้ถึงได้เกาะแจอย่างนี้ล่ะ ก่อนหน้าเชื่อฟังจะตายไม่ใช่เหรอ”
อ้าวเสว่ค่อยๆปล่อยมือตัวเองลง จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับเย่เนี่ยนโม่:“เมื่อสักครู่นั้นฉันแค่ล้อเล่นเองค่ะ ไม่ต้องทานยาหรอก อีกสักพักก็จะดีเอง คุณรีบไปทานอาหารเป็นเพื่อนทุกคนเถอะ”
เย่เนี่ยนโม่มองอ้าวเสว่อย่างลังเลใจ พยักหน้าแล้วจากไปหลังแน่ใจว่าอ้าวเสว่ไม่มีอะไรให้กังวล เมื่อปิดประตูลง แสงสุดท้ายจางหายไป อ้าวเสว่จึงค่อยๆซุกตัวเองเข้าไปในผ้าห่มแล้วกดที่กระเพาะไว้อย่างเงียบๆ
เนี่ยนโม่ชอบตัวเองที่เชื่อฟังมีเหตุผล ตัวเองจะต้องประพฤติตัวให้เชื่อฟัง ไม่สร้างปัญหาให้กับเนี่ยนโม่ถึงจะถูก! น้ำตาค่อยๆไหลลงอาบแก้ม ผ้าห่มถูกเลิกออก
เย่เนี่ยนโม่ถือยาเม็ดและน้ำเปล่ามองอ้าวเสว่ที่ร้องไห้น้ำตาออกมาเป็นสาย จึงได้รีบนำน้ำและยาวางไว้บนโต๊ะ “เป็นอะไรไป ถ้าปวดมากผมจะให้คุณหมอมาตรวจดูอาการ”
อ้าวเสว่ส่ายหน้าร้องไห้ แล้วซบเข้าไปที่ทรวงอกของเย่เนี่ยนโม่ แล้วก็ยิ้มพูดทั้งน้ำตา :“ไม่เจ็บแล้ว คุณมาก็ไม่เจ็บแล้ว” เย่เนี่ยนโม่ไม่ได้ลงไปและอยู่ที่ห้องนอนตลอดเวลา จนทุกคนทานอาหารกันเสร็จแล้วก็ย้ายมาที่ห้องรับแขก “ในเมื่อวันนี้ทุกคนต่างมากันพร้อมแล้วก็เริ่มปาร์ตี้เต้นรำได้เลย”
หลินหลิงที่ยังคงเก่งกาจสามารถ หลังจากได้รับคำอนุญาตจากเย่เชินหลินแล้ว ความดุเดือดเผ็ดมันก็ได้เริ่มขึ้น สักพักในห้องรับแขกก็มีเสียงเฮฮาดังขึ้น แสงไฟก็หรี่ให้สลัวลง ติงยียีมองมองชุดอุปกรณ์ในบ้านตระกูลเย่ แล้วแอบทอดถอนใจ คนรวยช่างมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันจริงๆ
เย่ชูฉิงแอบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มา ติงยียีมองเย่ชูฉิงด้วยความตื่นเต้น เห็นเย่ชูฉิงเดินไปที่ด้านหน้าของไห่โจ๋ซวน ไห่โจ๋ซวนจูงเย่ชูฉิงแล้วสไลด์ตัวเข้าไปที่ฟลอร์เต้นรำ
“กำลังดูอะไรอยู่” เย่ชูหวินนั่งลงที่ข้างๆของติงยียีแล้วถามขึ้น ติงยียีดึงสายตากลับ แล้วหันไปสบตากับเย่ชูหวิน
เย่ชูหวินยื่นมือไปทางติงยียี แล้วกล่าวติดตลกขึ้น:“ผมไม่เพียงแข่งรถเก่ง เต้นผมก็เก่งด้วยนะ”
ติงยียียิ้มแล้ววางมือลงที่มือของเย่ชูหวิน พลางเต้นพลางสังเกตความเคลื่อนไหวของเย่ชูฉิงกับไห่โจ๋ซวนอย่างไม่ละสายตา
“คุณเต้นเก่งเลยทีเดียวนะ ถ้าคุณไม่เหยียบโดนผม” เย่ชูหวินหัวเราะขึ้น ติงยียีรีบดึงความสนใจกลับมาและจดจ่อกับการเต้นรำกับเย่ชูหวิน
“คุณแม่ของฉันเป็นที่รักการเต้น วอลทซ์ของฉันก็ได้คุณแม่เป็นคนสอนให้” ติงยียีกล่าวเฉยๆ เย่ชูหวินขมวดคิ้วขึ้น:“เดี๋ยวต้องหาวันไปคารวะสักหน่อยแล้ว”
สีหน้าติงยียีหม่นลง :“คุณแม่ไม่อยู่แล้ว” เย่ชูหวินสะอึก กดเสียงแล้วกล่าวขึ้น:“ขอโทษ”
ติงยียีส่ายหน้าแล้วฝืนยิ้ม ทำการเต้นกับเย่ชูหวินต่อไป เต้นๆอยู่เย่ชูหวินก็ถูกคุณป้าดึงตัวไป ติงยียีอาศัยจังหวะนี้เดินออกมา
แล้วมานั่งอยู่บนพื้นหญ้า ติงยียีถอนหายใจขึ้น ไม่ว่าข้างในนั้นเพลงเต้นจะเป็นแบบไหน ตัวเองก็ยังไม่คุ้นชินกับชีวิตแบบนั้น
“กุลสตรีผู้ดีงามจะไม่นั่งบนพื้นหญ้า” เสียงเย่เนี่ยนโม่ดังมาจากด้านหลัง ติงยียีกล่าวขึ้นโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง:“ฉันก็แค่กุลสตรีจอมปลอมเท่านั้น”
เย่เนี่ยนโม่หัวเราะออกมาอย่างหน่วงๆ แล้วก็นั่งลงตาม จากนั้นมองติงยียีแล้วก็หันหน้าไปถามขึ้น:“ทำไมถึงไม่มีความสุขอีกล่ะ”
“ฉันคิดถึงคุณแม่ของฉัน” ติงยียีชี้ไปที่พระจันทร์แล้วหันหน้ามายิ้ม เป็นยิ้มที่ค่อนข้างเศร้า:“คุณดูสิ แม่ของฉันอยู่ไกลขนาดนั้น จะเจอกันสักครั้งช่างยากเย็นเหลือเกิน”
เย่เนี่ยนโม่เงียบไปสักพัก จากนั้นเอ่ยปากขึ้น:“ไม่ต้องยิ้มแล้ว ยิ้มมายังดูน่าเกลียวดกว่าร้องไห้เสียอีก” มุมปากของติงยียีที่ยกขึ้นนั้นได้หุบลงทันใด
เย่เนี่ยนโม่ลุกขึ้นแล้วยื่นมือไปที่ด้านหน้าของติงยียี เลิกคิ้วแล้วกล่าวขึ้น:“วันนี้แต่งตัวมาสวยขนาดนี้ ไม่คิดที่จะโชว์การเต้นรำให้คุณป้าชมหน่อยเหรอ”
ติงยียีชะงัก คว้ามือของเย่เนี่ยนโม่แล้วลุกยืนขึ้น มือของเย่เนี่ยนโม่จึงโอบเข้ามาที่เอว ติงยียีหัวเราะแล้วทำการหลบ:“จักจี้จังเลย ฉันอยากจะหัวเราะมาก”
เย่เนี่ยนโม่จึงเพิ่มแรงขึ้น แล้วกัดฟันพูด:“เมื่อกี้ผมเห็นนะว่าเย่ชูหวินก็โอบคุณแบบนี้ ไม่เห็นคุณจะหัวเราะเลย”
ติงยียีเม้มปาก พึมพำเบาๆ:“คุณกับเขาไม่เหมือนกันนิหน่า” เย่เนี่ยนโม่จ้องแก้มติงยียีที่แดงเล็กน้อย แล้วพาติงยียีเต้นรำภายใต้แสงจันทรา
ชั้นสอง เซี่ยชีหรั่นแนบชิดอยู่บนตัวของเย่เชินหลิน ยิ้มแล้วกล่าวขึ้น:“ฉันจำได้ว่าตอนนั้นพวกเราก็เคยเต้นรำอยู่บนพื้นหญ้า แสงจันทร์ในคืนนั้นก็ไม่ต่างไปจากคืนนี้ที่สว่างเต็มดวง”
“อืม” เย่เชินหลินทอดถอนใจ เซี่ยชีหรั่นมองดูเงาร่างกายที่อยู่ใต้แสงจันทรา แล้วกล่าวขึ้นด้วยความเป็นห่วง :“ถ้าหากสองคนนี้ลงเอยด้วยกัน แล้วอ้าวเสว่จะทำอย่างไร”
“ไม่หรอก ในสายตาของผู้หญิงคนนั้น สิ่งที่เธอมองไม่ใช่เนี่ยนโม่” เย่เชินหลินล้มลุกคลุกคลานในแวดวงนี้มานาน ถึงแม้ว่าไม่ได้สนใจเรื่องราวของหนุ่มสาววัยรุ่นตรงหน้านี้เหล่านี้ แต่ก็มองทุกอย่างออกได้อย่างถี่ถ้วน
การเต้นรำที่ไม่มีดนตรี ติงยียีมองดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็ร้องจ๊ากขึ้น:“ตายแล้ว ไม่ทันแล้ว”
“อะไรไม่ทัน” เย่เนี่ยนโม่ถามขึ้นด้วยความมึนงง ติงยียีลากกระโปรงขึ้นแล้วก็วิ่งจากไป ในใจร้อนรน ตายแล้วๆ รับปากชูฉิงซะดิบดีว่าจะไปจุดพลุให้ตอนที่เต้นรำ
บ้านตระกูลเย่มีสระน้ำที่กว้างใหญ่ มีเสียงเล็กๆกำลังเต้นระบำอยู่ที่ข้างสระน้ำ สระน้ำสีฟ้าใสสะท้อนท่าทางการเต้นที่อ่อนช้อยงดงามอย่างธรรมชาติ
เมื่อติงยียีมาถึง ถึงกับตะลึงท่าทางการเต้นของเย่ชูฉิง จากนั้นรีบหาดอกไม้ไฟที่ได้ซ่อนไว้ในพงดอกไม้ จัดการเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ รอพร้อมจุดตอนที่เย่ชูฉิงทำการสารภาพรัก
เย่ชูฉิงเต้นอย่างสุดความสามารถ ไห่โจ๋ซวนยืนมองอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก เต้นรำกันจนจบ เย่ชูฉิงที่เต้นรำเสร็จแล้วก็ได้เดินมาที่ด้านหน้าของไห่โจ๋ซวน
:“ตอนนั้นพี่เคยถามฉัน ถ้าพี่ไม่ได้อ่อนโยนยังชอบพี่ไหม ตอนนี้ฉันอยากจะบอกว่า ไม่ว่าพี่จะเป็นแบบไหนฉันก็ชอบหมด พี่โจ๋ซวนฉันชอบพี่จริงๆ” ติงยียีรีบทำการจุดดอกไม้ไฟ ดอกไม้ไฟหลากสีสันพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าและส่องประกายกลายเป็นดอกไม้
“เหรอ” ไห่โจ๋ซวนถามกลับเบาๆ เย่ชูฉิงพยักหน้าอย่างจริงจัง ไห่โจ๋ซวนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไม่รู้ว่าพูดอะไร จากนั้นสักพัก ซ่งเมิ่นเจ๋ก็ได้เข้ามาภายใต้การนำของพ่อบ้าน
“พี่โจ๋ซวน” เย่ชูฉิงถามด้วยความตกใจ ไห่โจ๋ซวนมองซ่งเมิ่นเจ๋แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน:“ชูฉิง ผมเห็นคุณเป็นน้องสาวมาโดยตลอด”
“พี่โกหก สายตาอ่อนโยนเช่นนั้นจะเป็นน้องสาวได้อย่างไร!” เย่ชูฉิงรีบปฏิเสธทันควัน ใบหน้าเล็กๆแกงก่ำภายใต้ดอกไม้ไฟที่สว่างเต็มท้องฟ้า
ไห่โจ๋ซวนมองเย่ชูฉิง แล้วหันไปโอบตัวซ่งเมิ่นเจ๋ แล้วประทับจูบลงที่ริมฝีปากของซ่งเมิ่นเจ๋ จากนั้นดอกไม้ไฟดอกสุดท้ายก็ได้ปะทุขึ้น ความสว่างไสวได้สาดส่องใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อของเย่ชูฉิง สาดส่องแววตาที่หรี่ลงของซ่งเมิ่นเจ๋และแววตาของไห่โจ๋ซวนที่มองซ่งเมิ่นเจ๋อย่างอ่อนโยน
“ทำไมเป็นแบบนี้!” เย่ชูฉิงถอยหลังไปกี่ก้าว มองไห่โจ๋ซวนกับซ่งเมิ่นเจ๋ที่ใกล้ชิดกันอย่างผิดหวัง จึงร้องไห้แล้ววิ่งจากไป
ไห่โจ๋ซวนคลายตัวซ่งเมิ่นเจ๋ออก แล้วหันไปมองแผ่นหลังของเย่ชูฉิง โชคดีที่อ้าวเสว่นั้นบอกเรื่องราวทั้งหมดกับตัวเองก่อน ตัวเองถึงใช้เวลาตั้งหลายวันในการทำให้ตัวเองเย็นชาและเตรียมการ วันนี้ถึงได้ทำออกมาดีเยี่ยงนี้
เย่ชูฉิงร้องไห้อย่างเสียใจ วิ่งเข้าที่ห้องของเย่เชินหลินกับเซี่ยชีหรั่น เซี่ยชีหรั่นตกใจขึ้น รีบก้าวมาข้างหน้า:“ชูฉิงเป็นอะไร ทำไมร้องไห้เสียใจขนาดนั้น”
“แม่ พี่โจ๋ซวนไม่ชอบหนู ทำอย่างไรก็ไม่ชอบหนู” เย่ชูฉิงเสียใจมาก ร่างอันบอบบางรับกับความรู้สึกด้านลบแบบนี้ไม่ไหว จึงได้มาระบายกับคุณแม่
เซี่ยชีหรั่นรู้สึกมาโดยตลอดว่าชูฉิงชอบโจ๋ซวนมาก และคิดว่ารอให้ชูฉิงโตขึ้นมาอีกหน่อยก็คงจะดีขึ้น แต่ที่ไหนได้กลับยิ่งถลำลึกเข้าไปอีก
“เรียกโจ๋ซวนมาเดี๋ยวนี้” เซี่ยชีหรั่นเช็ดคราบน้ำตาของลูกสาวที่อาบนองแก้ม มองดูใบหน้าที่นอนสลบไสลไปแล้ว แล้วก็ถอนหายใจขึ้น
“น้าเชี่ย น้าเรียกผมเหรอครับ” ไห่โจ๋ซวนเห็นเย่ชูฉิงที่นอนอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา จมูกแดงก่ำ ทำใจหนักแน่น บังคับให้ตัวเองเบือนหน้าหนี
“โจ๋ซวน ยังจำได้ตอนเด็กๆที่ชูฉิงเห็นเธอครั้งแรก ก็ใช้มือจับคว้าเธอไว้ คิดไม่ถึงว่าการจับคว้านั้นจะคว้ามาถึงตอนนี้” เซี่ยชีหรั่นกล่าวอย่างอ่อนโยน
ไห่โจ๋ซวนพยักหน้า ความทรงจำเหล่านี้เขาจำได้เสมอ แต่ว่าในตัวเขามีความแค้น กำหนดให้ไม่สามารถลงเอยกับลูกสาวของศัตรู
“โจ๋ซวน เธอไม่ชอบชูฉิงจริงเหรอ” เซี่ยชีหรั่นก็รู้สึกตึงเครียดนิดหน่อย สาเหตุที่เธอปล่อยให้ความรู้สึกของชูฉิงที่มีต่อโจ๋ซวนไหลไปอย่างตามใจอย่างนั้น เพราะหลงคิดว่าโจ๋ซวนนั้นก็ชอบชูฉิงเหมือนกัน
Comments