วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน 341 แตกความสามัคคี
บทที่ 341 แตกความสามัคคี
จิ่งเสี่ยวหย่าพยักหน้า
“คุณตา ฉันเคยแต่งงานมาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ฉันกลัวว่า…”
ทันใดนั้น ใบหน้าของชายชราก็ฉายแววจริงจัง
“นั่นมันก็เป็นเรื่องของอดีต สิ่งที่แล้วไปแล้วก็ปล่อยให้มันแล้วไป หลานไม่จำเป็นต้องเก็บมันมาใส่ใจ เด็กกู้เล็กคนนั้นเป็นคนใจกว้าง ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องพวกนี้ ดังนั้นหลานก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลกับเรื่องนี้อีก”
จิ่งเสี่ยวหย่ากัดริมฝีปากของเธอ พร้อมกับส่ายหน้าอย่างหนักหน่วง
“ไม่ค่ะ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของหลาน ถ้าตอนนั้นหลานไม่ได้จำคนผิด ถ้าตอนนั้นหลานรู้เรื่องของคุณพ่อและคุณย่าเร็วกว่านี้ เรื่องทั้งหมดนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น แม้ว่าตอนนี้หลานจะกลับมายังตระกูลกวนแล้ว แต่ในใจหลานก็รู้ดีว่า ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม อดีตของหลาน ก็เป็นเหมือนจุดด่างพร้อยที่ไม่มีทางลบออกได้
หลานทำให้คุณตาอับอาย แล้วตอนนี้จะต้องให้หลานทำร้ายคนเพิ่มอีกหรือ? ถ้านายน้อยตะกูลกู้ใส่ใจเรื่องนี้ ก็ถือว่าแล้วไป แต่ถ้าหากเขาไม่ใส่ใจ เขาดีมากขนาดนี้แล้ว หลานยิ่งไม่อยากทำร้ายเขา หลานไม่อยากให้คนอื่นครหาเขาได้ในภายหลังว่า เขาแต่งงานกับลูกสาวของฆาตกร หลานทำอย่างนั้นไม่ได้.! ”
จิ่งเสี่ยวหย่าพูดพร้อมกับนำมือมาทาบที่จมูกของเธอ และร้องไห้อย่างเงียบๆ
สีหน้าของนายท่านใหญ่กวนเปลี่ยนไป ใบหน้าของเขาเรียบตึง ความกดดันภายในห้องเพิ่มสูงขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดด้วยความโกรธ:“ไร้สาระ! ลูกสาวของฆาตกรคนอะไร?หลานเป็นแค่ลูกสาวบุญธรรมของพวกเขา!แม่ผู้ให้กำเนิดของหลานเป็นลูกสาวของตระกูลจี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลจิ่งของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย! เรื่องชั่วร้ายที่คนของตระกูลจิ่งทำ เกี่ยวอะไรกับหลานด้วย? ”
อาจเป็นเพราะนายท่านใหญ่กวนใส่อารมณ์มากเกินไป พูดยังไม่ทันจบ เขาก็เริ่มไอขึ้นอย่างหนัก
จิ่งเสี่ยวหย่าพยายามให้เขาสงบสติอารมณ์ เธอส่งน้ำให้ และลูบหลังให้เขา ใช้เวลาสักพักว่าเขาจะใจเย็นลง
จิ่งเสี่ยวหย่ามองเขาอย่างเป็นห่วง “คุณตา คุณตาโอเคหรือเปล่าคะ?หลานขอโทษด้วย หลานผิดเอง หลานไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้กับคุณตา… ”
นายท่านใหญ่กวนโบกมืออย่างไม่ยี่หระ พร้อมกับพูดเสียงแผ่ว
“ตาไม่เป็นไร เด็กดี หลานไม่ต้องกังวล ตาจะจัดการเรื่องนี้เอง เสียงจากข้างนอกก็เป็นเพียงคำพูดของคนทั่วไป หลานไม่ต้องไปเก็บมาใส่ใจ ตารู้ว่าหลานเคยมีเรื่องกับสะใภ้ตระกูลลู่มาก่อน และเพราะเหตุนี้ ตาจึงอยากให้หลานแต่งงานกับกู้เล็กมีตระกูลกู้คอยหนุนหลัง เวลาที่ตาไม่อยู่แล้ว สะใภ้ตระกูลลู่จะได้ไม่กล้ารังแกหลาน
อีกเรื่อง หุ้น 15% ที่แม่ของหลานทิ้งไว้ให้ ตาได้โอนหุ้นนั้นเป็นชื่อของหลานเรียบร้อยแล้ว จำเอาไว้ว่า ไม่ว่ากู้เล็กจะพูดอย่างไร หลานห้ามโอนหุ้นให้เขาเด็ดขาด นี่คือเงินตั้งตัวของหลาน หลานต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี อย่าเชื่อใจใครง่ายๆ”
ขณะที่พูด นายท่านใหญ่กวนก็มีอาการไอขึ้นอีกสองสามที จิ่งเสี่ยวหย่าน้ำตาไหลพราก
“คุณตา …”
“เสี่ยวหย่า ตาต้องขอโทษแม่ของหลานด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะตา ที่บังคับให้เธอจะแยกจากผู้ชายคนนั้น หลานคงจะไม่ถูกคนลักพาตัวไป และคงไม่ต้องตกระกำลำบากอยู่ข้างนอก รับกรรมหลายปีขนาดนี้
เป็นเพราะตาที่ทำให้แม่ของหลานเป็นโรคซึมเศร้าจนตาย ตาแค่อยากให้หลานมีชีวิตที่ดี เพื่อชดเชยให้กับแม่ของหลาน และชดเชยสิ่งที่หลานขาดไป”
จิ่งเสี่ยวหย่าจับมือเขา และร้องไห้อย่างหนัก
ขณะเดียวกัน ด้านนอกประตู
ใบหน้าของกวนจี้หลี่หม่นลง ขณะที่เขาฟังการสนทนาในห้อง
เขาทำเสียงแดกดันอย่างเย็นชา และหันหลังจากไป
บ้านเก่าของตระกูลกวนเป็นวิลล่าที่เชื่อมต่อกันสามหลัง นายท่านใหญ่กวนอาศัยอยู่หลังหนึ่ง ส่วนลูกคนโตและลูกคนที่สองของตระกูลกวนอาศัยอยู่อีกหลัง
ทันทีที่ออกจากบ้านเขาก็เห็นสวีหุ้ยที่กำลังคล้องแขนกวนจี้หมิงอยู่ไม่ไกล ทั้งสองกำลังเดินมาทางนี้
เมื่อทั้งสองเห็นกวนจี้หลี่ออกมาด้วยท่าทีโมโห สวีหุ้ยจึงทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ ดึกขนาดนี้ ยังไม่หลับไม่นอนอีกเหรอคะ!”
กวนจี้หลี่ทำเสียงประชดประชัน “ไม่ใช่พี่คนเดียวหรอกมั้งที่ไม่หลับไม่นอน?ดูท่าน้องชายสองและน้องสะใภ้สองจะอารมณ์ดีมาก ถึงออกมาเดินเล่นเวลากลางคืน ท้าลมหนาวแบบนี้
กวนจี้หมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขายิ้มน้อยๆ และพูดขึ้นว่า:“พวกเราเป็นห่วงพ่อ อยากรอให้ดึกกว่านี้อีกหน่อยแล้วค่อยเข้านอน”
กวนจี้หลี่เปล่งเสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “พอเถอะ ในใจของพวกเธอคิดอะไรอยู่ คิดว่าพี่ไม่รู้เหรอ?คงกลัวว่าถ้าพ่อตายไปอย่างกะทันหัน แล้วจะไม่ได้รับมรดกหรือได้ส่วนแบ่งจากสมบัติของตระกูลน้อยล่ะสิ พูดจาแสนจะดูดีแต่กลับคิดเรื่องน่าละอาย คิดว่าคนเค้าดูไม่ออกเหรอ?"
ใบหน้าของกวนจี้หมิงเรียบตึง
“พี่ใหญ่ ถ้าในใจพี่คิดอย่างนั้น ผมก็ช่วยไม่ได้ แต่พี่อย่าใช้ความคิดแย่ๆของคนพาล ไปตัดสินความคิดของคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง พี่ห่วงสมบัติของพ่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นแบบพี่นะ”
กวนจี้หลี่ขบฟันพูดอย่างเกรี้ยวกราด “พอแล้ว! นายคิดว่านายมีคุณธรรมสูงส่งเหรอ?นายเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งที่สามารถหาอีตัวมาหลอกล่อพ่อได้ใช่ไหม?ถ้านายเป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่ง จะยอมให้อีตัวนั่นหลอกเอาหุ้น 15% ไปจากมือพ่อหรือเปล่า? พี่ขอบอกนายไว้เลยนะว่า หุ้นส่วนนี้เป็นของพวกเราตระกูลกวน คนตระกูลกวนทุกคนมีส่วนแบ่งในหุ้นนี้ อย่าคิดจะฉกไปคนเดียว! ไม่เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าใครจะได้ไป พี่ไม่มีวันปล่อยให้พวกนายได้ไปหรอก!”
กวนจี้หมิงนิ่วหน้า
“พี่ชายใหญ่ พ่อยกหุ้นส่วนนั้นให้เสี่ยวหย่า มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเราเลย”
“ฮ่า!” ราวกับว่ากวนจี้หลี่ได้ยินเรื่องตลกอะไรบางอย่าง “จิ่งเสี่ยวหย่า?หวังพึ่งเธอเหรอ?เธอมันจะไปสำคัญอะไร?ตอนนี้พ่อเชื่อคำพูดของนาย คิดว่าเธอเป็นลูกของเสี่ยวหวั่น เลยยกหุ้นให้กับเธอ ถ้าพ่อรู้ว่า อันที่จริงเธอไม่ใช่ลูกของเสี่ยวหวั่น นายคิดว่าหุ้นส่วนนี้จะตกอยู่ในมือใคร?”
ท่าทีของกวนจี้หมิงดูเคร่งเครียดขึ้นทันใด
“พี่ชายใหญ่ พี่อย่าพูดอะไรไร้สาระ!”
“นายว่าฉันพูดเรื่องไร้สาระเหรอ หรือเป็นพวกนายต่างหากที่เป็นวัวสันหลังหวะ?! พี่รู้เรื่องนี้มานานแล้ว แต่พอเห็นพ่อดูมีความสุขขึ้น ก็เลยช่วยนายปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก็เท่านั้น นายคิดว่าหลอกพี่ได้จริงๆ หรือ ฝันไปเถอะ! พี่บอกไว้ก่อน นายคิดจะทำอะไรไม่มีใครห้ามนายอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นเรื่องหุ้นส่วน พี่จะไม่ยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว ถ้าไม่เชื่อก็คอยดู ดูว่าพวกเราสุดท้ายแล้วใครจะชนะ!”
พูดเสร็จ เขาก็เดินจากไปอย่างเดือดดาล
สวีหุ้ยขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล เธอจับแขนของกวนจี้หมิง และพูดเบาๆ ว่า:“จี้หมิง เป็นแบบนี้แล้ว พี่ชายใหญ่จะบอกความจริงเรื่องตัวตนที่แท้จริงของจิ่งเสี่ยวหย่าไหม?”
กวนจี้หมิงสั่นศีรษะ
“ไม่หรอก พินัยกรรมของพ่อยังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ ถ้าเขาลงมือในตอนนี้ จะไม่เป็นผลดีต่อเขาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะอยากเปิดโปงตัวตนของจิ่งเสี่ยวหย่ามากก็ตาม แต่เขาก็ต้องรอให้พ่อประกาศพินัยกรรมออกมาอย่างเป็นทางการเสียก่อน”
สวีหุ้ยถอนหายใจ
“ที่พวกเราทำแบบนี้ ก็เพราะอยากให้พ่อมีกำลังใจอยู่ต่อนานกว่านี้อีกหน่อย คุณไม่สังเกตเหรอ?ตั้งแต่ที่จิ่งเสี่ยวหย่ากลับมา สุขภาพของพ่อก็ดีขึ้นมาก เขาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น สาเหตุของการเจ็บป่วยกะทันหันนี้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง”
กวนจี้หมิงพยักหน้า
“ใช่ ตอนนี้ตระกูลกวนยังมีพ่อเป็นเสาหลักอยู่ ถ้าพ่อจากไปแล้ว ตระกูลกวนก็จะแตกความสามัคดีกันไป เหมือนกับเศษทรายอย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลกวนก็จะไม่สามารถสู้กับใครได้อีก กลัวเพียงอย่างเดียวคือชื่อของตระกูลกวนจะถูกลบออกจากรายชื่อของสี่ตระกูลใหญ่นี่สิ”
เมื่อสวีหุ้ยได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกกังวลเช่นกัน
กวนจี้หมิงตบมือเธอเบาๆ และพูดปลอบใจเธอ:“โชคดีที่ตอนนี้พ่อยังสบายดี พวกเราไม่ต้องวิตกกังวลมากจนเกินไป รออีกสักพัก ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็กลับไปพักผ่อนกัน”
สวีหุ้ยพยักหน้ารับ
Comments