A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1684 สำแดงอิทธิฤทธิ์ครั้งแรก
ชั่วขณะนั้นผีเสื้อสีดำเหล่านั้นพลันสั่นเทา ราวกับได้พบกับดาวตกอันใดสักอย่างอย่างไรอย่างนั้น แตกออกเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้งแล้วกลายเป็นดวงแสงสีดำ
ยามนี้ยอดเขาค่อยๆ หมุนตัว พลังแรงดูดมหาศาลกลุ่มหนึ่งกลายเป็นหมอกลำแสงสีเทาบินออกมา ม้วนเอาลำแสงสีดำเข้าไปข้างใน จากนั้นเสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น จมหายเข้าไปในตีนยอดเขาอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
คาดไม่ถึงว่าอสูรลับตัวนี้จะถูกภูเขาเทวะดูดปราณสูบเข้าไปกลางอากาศ ส่วนจะเป็นหรือตายนั้น ก็มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้
ส่วนขนแข็งๆ ของอสูรตัวนี้ที่กลายเป็นลำแสงสีดำรวมทั้งร่างแยกสีดำสามตัวที่กำลังโจมตีสือคุนนั้น หลังจากสูญเสียการควบคุมพลังปราณไป ก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปทันที
ชั่วพริบตาที่อสูรสองตัวที่เหลือที่เพิ่งจะอ้าปากพ่นเสาลำแสงใส่ค้อนเพลิงยักษ์คู่นั้นของสือคุนเห็นฉากนี้ แน่นอนว่าย่อมตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่ง ปากก็เปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันผิวก็เปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ร่างกายเริ่มขยายใหญ่ขึ้น
ชั่วพริบตานั้นอสูรลับทั้งสองตนที่เดิมมีขนาดแค่สองสามจั้ง ก็ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสิบกว่าจั้ง ในเวลาเดียวกันนั้นขนทั่วร่างของมันก็เปลี่ยนจากสีดำเป็นสีเงินอ่อน กลิ่นอายบนเรือนร่างขยายใหญ่ขึ้นมากกว่าเท่าตัว
ร่างแยกเงาสีดำเหล่านั้นมีอานุภาพเพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกันร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าครึ่ง
เมื่อเห็นฉากนี้สือคุนก็หน้าเปลี่ยนสี แต่ทันใดนั้นก็ร้องตะโกนออกมาอย่างไม่แสดงความอ่อนแอ เกราะสงครามสีเหลืองบนเรือนร่างเปล่งแสงเจิดจ้า ยกแขนขึ้นอีกครั้ง แล้วชี้ไปที่ค้อนยักษ์สีแดงสดสองอันที่อยู่กลางอากาศ
มังกรวารีสีแดงเพลิงที่เดิมเลื้อยวนอยู่รอบกาย พลันเปล่งเสียงร้องคำรามราวกับมังกรออกมา คาดไม่ถึงว่าจะจมหายเข้าไปในค้อน
ค้อนคู่เปล่งแสงสีแดงสดออกมา แล้วทุบไปที่อสูรทั้งสอง
ยังไม่ทันได้กระโจนมาตรงหน้า เปลวเพลิงสีแดงก็ม้วนวนเข้ามาอย่างดุดัน
หลังจากที่อสูรทั้งสองเปลี่ยนร่างจนมีพละกำลังเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าย่อมไม่หวาดกลัวใดๆ เลยสักนิด ทันใดนั้นก็ชูคอขึ้นร้องคำราม กรงเล็บทั้งสี่สะบัดไปมากลางอากาศ
เสียง “ฟับๆ” ดังขึ้น กรงเล็บลำแสงยาวสองสามจั้งสี่อันบินออกมาจากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วรวมตัวกัน กลายเป็นจันทรามืดมิดสีดำยาวสองสามจั้ง
จันทรามืดมิดเปล่งแสงสว่างวาบก็ทะลวงผ่านเปลวเพลิงที่พุ่งเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ในเวลาเดียวกันก็สับค้อนยักษ์สีแดงสองอัน
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น! ลำแสงสีดำและลำแสงสีแดงตัดสลับกันไปมาอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
อสูรลับสองตัวอ้าปากออกในทันใด พ่นเสาลำแสงสีดำหนาๆ สองสายออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นร่างแยกเงาสีดำเหล่านั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบ ถือโอกาสนี้กระโจนไปหาสือคุน
สือคุนยิ่งไม่แสดงความอ่อนแอ หัวเราะอย่างเยือกเย็น สองมือกำหมัด ฉับพลันนั้นพลันมีลำแสงสีเหลืองเจิดจ้าปรากฏขึ้นทั้งสองกำปั้น จากนั้นก็ขยับแขน ชั่วขณะนั้นเงากำปั้นพลันพุ่งออกมาจากร่างจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งตรงไปหาเสาลำแสงและเงาสีเหล่านั้น
ในขณะที่อสูรทั้งสองและสือคุนต่อสู้กันอีกครั้ง งูเหลือมยักษ์สีขาวก็เปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า ฉับพลันนั้นพลันกลายเป็นหญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นสวมชุดสีขาวคนหนึ่ง ใบหน้างดงามดุจภาพวาด แต่ก็องอาจสง่างาม
เมื่อหญิงสาวผู้นี้ปรากฏตัว ก็ตะปบมือไปทางพัดหยกสีฟ้าเล่มนั้นทันที
พัดเล่มนี้สั่นเทาแล้วพุ่งกลับมา ถูกดูดเอาไว้ในมือ
มือเรียวขยับ พัดหยกสีฟ้าโบกสะบัดไปทางอสูรทั้งสองอย่างต่อเนื่อง
ครู่ต่อมาหมอกสีฟ้าก็ม้วนวนออกมา แล้วผนึกรวมกับก่อนหน้า สุดท้ายก็กลายเป็นคลื่นยักษ์สีฟ้าสูงสิบจั้งเศษ ม้วนไปทางอสูรทั้งสองอย่างรุนแรง
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้น ยอดเขาสีดำที่ลอยอยู่กลางอากาศก็พลิ้วไหว สลายหายไปอย่างเงียบเชียบ
แต่ครู่ต่อมาอสูรลับสองตัวนั้นก็เปล่งแสงสีเทา ยอดเขาสีดำปรากฏขึ้นอีกครั้ง
มันหมุนติ้วๆ หมอกลำแสงสีดำม้วนวนแผ่คลุมลงมา
ในเมื่ออสูรทั้งสองเพิ่งจะมองเห็นจุดจบของสหาย จะกล้าลอบโจมตีอย่างไม่เตรียมการป้องกันได้อย่างไร ทันใดนั้นเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นก็ดังขึ้น อสูรทั้งสองเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ กระโจนเข้าไปตรงกลางพร้อมกัน
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
คาดไม่ถึงว่าอสูรยักษ์สองตัวจะเปล่งแสงสีดำออกมา รวมตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นอสูรยักษ์สีเงินสองหัว
อสูรที่รวมตัวกันร่างกายสูงยี่สิบจั้งเศษ หว่างคิ้วของทั้งสองหัวมีดวงตาที่สามปรากฏอยู่ ใหญ่กว่าก่อนหน้าสองสามเท่า ราวกับตะเกียงเงินเปล่งแสงเรืองๆ
และเมื่ออสูรลับปรากฏตัว หัวทั้งสองก็สะบัดไปมาพร้อมกัน ตาที่สามเปิดออก ต่างพ่นลำแสงสีเงินขนาดเท่าหัวแม่มือออกมา
สายหนึ่งพุ่งไปหาคลื่นยักษ์สีฟ้า สายหนึ่งกลับพุ่งไปหายอดเขาสีดำที่อยู่กลางอากาศ
ลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วแยกออกโจมตีทั้งสอง
ลำแสงสีเงินที่ดูเหมือนบอบบาง กลับดูเหมือนว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าเหลือเชื่อ คลื่นสีฟ้าและยอดเขาสั่นเทา จากนั้นก็ลอยอยู่กลางอากาศไม่เคลื่อนไหวอีกราวกับแข็งตัวอย่างไรอย่างนั้น
“เอ๋”
ฉับพลันเสียงประหลาดใจก็ดังขึ้นไม่ไกลจากอสูรยักษ์
เดิมอสูรยักษ์สองหัวเห็นว่าอิทธิฤทธิ์ของตนได้ผล ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้ยินคำว่า “เอ๋” ที่ดูเหมือนจะอยู่ใกล้แค่คืบแววตาก็เคร่งขรึม ขาหน้าข้างหนึ่งมีเสียงดังขึ้น และตะปบออกไปอย่างรวดเร็ว
จากร่างกายอันใหญ่โตของอสูรตัวนี้ แม้ว่าจะแค่ตะปบออกไปข้างหนึ่ง แต่กลับมีขนาดสองสามจั้ง กรงเล็บลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็ห่อหุ้มบริเวณรอบทั้งหมดเอาไว้
ในเวลาเดียวกันนั้นหัวอสูรยักษ์หัวหนึ่งพลันหันมา ดวงตาสีเงินตรงหว่างคิ้วเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงสีเงินอีกสายหนึ่งพุ่งออกมา
หลังจากที่อสูรตัวนี้รวมร่างกัน คาดไม่ถึงว่าดวงตาปีศาจที่สามจะสามารถพ่นลำแสงสีเงินออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
หากคนที่ต่อสู้กับอสูรลับตาสีเงินเหล่านี้ก่อนนั้นไม่ทันระวังตัวก็อาจจะถูกโจมตีได้
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้น กลางอากาศที่เดิมดูเหมือนไร้ผู้คนพลันมีเงาร่างคนเปล่งแสงสีทองปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะชูแขนขึ้นปล่อยตราประทับสีเงินระยิบระยับออกมา หมุนวนรอบหนึ่งแล้วกลายเป็นลำแสงสีเงิน คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานกรงเล็บยักษ์ของอสูรสองหัวได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเผชิญหน้ากับลำแสงสีเงินที่เปล่งแสงสว่างวาบ เงาร่างคนก็แค่นเสียงอย่างเย็นชา ตรงหน้ามีโล่เล็กๆ ปรากฏขึ้น มันเปล่งแสงแวววาว แค่กะพริบวาบก็กลายเป็นโล่ยักษ์ขนาดสองสามจั้งต้านทานไว้เบื้องหน้า
เมื่อลำแสงสีเงินนั้นสัมผัสกับโล่ผลึกวารี กลับเปล่งแสงสว่างวาบ คอของเงาร่างคนสีทองหันไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีประโยชน์เลยสักนิด
อสูรยักษ์สองหัวอดที่จะตกตะลึงไม่ได้
แน่นอนว่าเงาร่างคนสีทองเพิ่งจะกำจัดผ้าไหมสีดำไป หานลี่ก็ปรากฏกายขึ้น
งูเหลือมสีขาวตัวนั้นคือหุ่นเชิดสะท้านฟ้า ‘หวาหวา’
เมื่อครู่เขาเห็นอสูรยักษ์ตะปบเล็บ ก็ปล่อยสมบัติตราประทับดาวเหนือที่ตนเพิ่งได้มาออกไป คิดจะลองทดสอบประสิทธิภาพของสมบัตินี้ว่าเป็นอย่างไร
ยามนี้เมื่อเห็นตราประทับนี้เปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะต้านทานการโจมตีของอสูรยักษ์ได้อย่างง่ายดาย ในใจย่อมเกิดความรู้สึกดีใจ ทันใดนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงแผ่วเบาออกมา
ถูกปีกที่แผ่นหลังคู่นั้นกระพือใส่ คนก็กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งหายวับไปจากที่เดิม
อสูรยักษ์พลันตกตะลึง ดวงตาทั้งหกเปล่งแสงสว่างวาบ กวาดมองรอบด้านไม่หยุด
แต่ผลคือเหนือศีรษะพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นเหนือยอดเขาสีดำนิ่ง
เขามองไปยังสมบัติใต้ร่างอย่างเย็นชา ฉับพลันนั้นก็ยื่นเท้าออกไปเหยียบลงบนยอดเขา
ยอดเขาที่เดิมนิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อน พลันมีอักขระสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบ จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่า และผิวที่เผยออกมาก็ดูเหมือนของจริงอย่างไรอย่างนั้น เปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
แทบจะในเวลาเดียวกันยอดเขาก็หนักอึ้ง บรรยากาศรอบๆ บิดเบี้ยว เสียงฉีกขาดดังขึ้น
ยอดเขารวมทั้งหานลี่ที่อยู่ด้านบนพลันหายวับไป
ร่างของอสูรยักษ์เปล่งแสงสีเทาสว่างวาบ ยอดเขาสีดำปรากฏขึ้นตรงที่เดิมอย่างแปลกประหลาด และกดลงบนร่างของมันอย่างแน่นหนา
อสูรยักษ์สองหัวร้องคำรามด้วยความตกตะลึง แต่ไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็ถูกยอดเขากดทับลงมาราวกับดาวตก
ระหว่างทางอักขระสีเงินบนยอดเขาเปล่งแสงสว่างวาบ ยอดเขาสีดำรวมทั้งอสูรยักษ์ด้านล่างพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศ
แต่ทันใดนั้นบนพื้นพลันมีเสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!
ยอดเขาสีดำย้ายมาปรากฏตรงนั้นในชั่วพริบตา!
แทบจะในเวลาเดียวกันหลุมยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางสองร้อยจั้งพลันปรากฏขึ้นใต้ยอดเขา
อสูรยักษ์สองหัวถูกกดลงไปในหลุมอย่างแรง เผยแค่หัวสองหัวออกมา แต่ใบหน้าพลันมีโลหิตไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ล้วนไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
หานลี่เหยียบไปบนก้อนหินที่สูงที่สุดบนยอดเขา เห็นลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ ฉับพลันนั้นก็สะบัดชุดคลุม
ชั่วขณะนั้นกระบี่เล่มเล็กความยาวสองสามชุ่นสองเล่มก็บินออกมาจากแขนเสื้อ พลิ้วไหวเล็กน้อยแล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสองสายความยาวเจ็ดแปดจั้ง เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมาอยู่ใต้ยอดเขา
ลำแสงสีเขียวม้วนวนไป หัวยักษ์สองหัวพลันหมุนวน
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือคอของอสูรยักษ์ตัดขาด ลำแสงสีดำเป็นผืน คาดไม่ถึงว่าโลหิตสดๆ จะไม่ไหลออกมา
ทว่าหานลี่กลับมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แค่ยกเท้าขึ้นเหยียบไปบนยอดเขาด้านล่างอีกครั้ง
เสียง “ตูม” ดังสนั่นขึ้น คาดไม่ถึงว่ายอดเขาจะพลิ้วไหว ทำให้หลุมยักษ์ด้านล่างเป็นหลุมลึกลงไปสามส่วน และขยายใหญ่ขึ้นกว่าครึ่ง
ส่วนร่างอสูรยักษ์ใต้ยอดเขาพลันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชั่วพริบตานั้นลำแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพลันแตกกระจายไปรอบด้าน
แต่ลำแสงสีดำเหล่านั้นไม่ทันได้บินออกมาได้สิบจั้งเศษ ก็ถูกหมอกลำแสงสีเทาที่แผ่ออกมาจากยอดเขาม้วนวน แล้วดูดเข้าไปในภูเขาเช่นกัน
ยามนี้หานลี่ถึงได้ฉีกยิ้มบางๆ แล้วหมุนวนบินขึ้นไปอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันฝ่ามือสีดำสนิทพลันตะปบไปกลางอากาศ
หลังจากที่ยอดเขามีเสียงอึกทึกดังขึ้น ก็หดเล็กลงหลายเท่าอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นลำแสงสีดำบินออกมาจากมือของเขา แล้วก็ฟื้นฟูกลับมามีขนาดสองสามชุ่นเช่นเดิม
ตั้งแต่ที่งูเหลือมสีขาวซึ่งแปลงมาจากหุ่นเชิดสะท้านฟ้าปรากฏตัวขึ้น จนถึงที่หานลี่สำแดงอิทธิฤทธิ์สังหารอสูรลับสามตาสามตัวในรวดเดียว ดูแล้วดูเหมือนจะใช้เวลานาน แต่ความจริงแล้วกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่
ทางด้านสือคุนนั้น ก่อนหน้านี้ยังพยายามกระตุ้นค้อนเพลิงคู่นั้นให้ทุบลงมาไม่หยุด ครู่ต่อมาคู่ต่อสู้หายวับไป อิทธิฤทธิ์ทั้งหมดที่อสูรยักษ์สำแดงออกมา ย่อมหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เขาพลันตกตะลึง รีบร้อนเก็บค้อนทั้งสองกลับมา สายตาที่มองไปยังหานลี่อดที่จะเต็มไปด้วยแววตกตะลึงไม่ได้ ทันใดนั้นก็เหลือบตามองไป แน่นอนว่าย่อมเห็น ‘หวาหวา’ ในครรลองสายตา
แต่หานลี่กลับฉีกยิ้มบางๆ ให้เขา แล้วกวักมือเรียกหวาหวา
ชั่วขณะนั้นหุ่นเชิดสะท้านฟ้าก็เก็บพัดหยกสีฟ้า กลายเป็นลำแสงสีขาวสายหนึ่งบินออกมา หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบ มันก็กลายเป็นอสรพิษสีขาวยาวสองสามฉื่อตัวหนึ่ง จมหายเข้าไปในแขนเสื้อของหานลี่อย่างไร้ร่องรอย
หานลี่เก็บหุ่นเชิดสะบัดปีกที่แผ่นหลังอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ในขณะนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น กลายเป็นประจุไฟฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกไป
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น เขาก็มาปรากฏตัวเหนือสงครามการต่อสู้อีกแห่ง
ยามนี้สือคุนถึงได้ได้สติกลับมาแล้วเปล่งแสงสีเหลืองออกมาบนเรือนร่างเช่นกัน กะพริบวาบสองสามครั้งแล้วหนีมาอยู่ใกล้ๆ กับหานลี่ แววตาโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นขณะมองลงไปด้านล่าง
ด้านล่างนั้นไม่เหมือนกับเมื่อครู่เลยสักนิด
หลิวสุ่ยเอ๋อร์ที่เดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบ คาดไม่ถึงว่าจะกำลังตกอยู่ในอันตราย
อสูรลับตาสีเงินสี่ตัวฝั่งตรงข้ามพลันรวมตัวกลายเป็นอสูรยักษ์สีเงินสี่หัว ร่างกายยาวสี่สิบห้าสิบจั้ง กลิ่นอายแข็งแกร่งเทียบได้กับระดับศักดิ์สิทธิ์
Comments