A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1886 พบมารครั้งแรก

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1886 พบมารครั้งแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ที่นี่ก็อยู่ห่างจากทางนั้นไม่มากนัก สหายลี่น่าจะกลับมาแล้วถึงจะถูก ไม่ใช่ว่าพบปัญหาอันใดระหว่างทางหรือ?” ท่านหลันยกมือขึ้นลูบรอยมารบนแก้ม แล้วเอ่ยพึมพำอย่างใช้ความคิด

“พบปัญหา จะเป็นไปได้อย่างไร! จากอิทธิฤทธิ์ของตัวประหลาดเฒ่าลี่ นอกเสียจากจะพบกับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เช่นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนอื่นๆ จะไปกล้าล่วงเกินเขาได้อย่างไร” เผ่ามารระดับสูงหัวโล้นมุมปากมีหนวดสองสามเส้นสะบัดไปมา สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง

“นั่นก็ไม่แน่ ในเผ่ามนุษย์อาจจะมีสมบัติลับอยู่สองสามชิ้นที่สามารถพังทลายเขตแดนหรือมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองสามคนที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาการร่วมมือกันก็รับมือยากได้เช่นกัน” ท่านหลันหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

“ยามนี้ฐานที่มั่นของเผ่ามนุษย์ถูกพวกเราล้อมเอาไว้แล้ว ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นได้” เผ่ามารหัวโล้นหัวเราะร่า ท่าทางไม่คิดเช่นนั้น

และเมื่อสิ้นเสียงฉับพลันนั้นก็มีเสียงวิหคต่ำๆ ดังออกมาจากร่างของมารตนนั้น ทำให้มารทั้งสองตกตะลึง

แต่เผ่ามารหัวโล้นพลันใช้มือหนึ่งโบกไปมาทันใด มือมีลำแสงสีดำไหลวนโคจร จานอาคมสีขาวปรากฏขึ้นในมือ นิ้วหนึ่งชี้ไปด้านบนเบาๆ

ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นโปร่งใสก็กระเพื่อม จานทรงกลมเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ใบหน้าชายชราที่เคร่งขรึมดุจสายธารปรากฏขึ้น

นั่นคือตัวประหลาดเฒ่าลี่ที่พวกเขากำลังพูดถึง!

“พี่ลี่ ท่านไม่ได้กลับมาตรงเวลา แต่ใช้อาวุธตาข่ายป่าติดต่อกับพวกเราสองคน มีเจตนาอันใด?” เผ่ามารหัวโล้นเอ่ยกับใบหน้าของชายชราบนจานทรงกลมด้วยความไม่พอใจ

“ใช่แล้ว อาวุธนี้ต้องใช้ศิลามารลวงตา แม้พวกเราเตรียมจะใช้ไม่เยอะ แต่หากพี่ลี่ใช้สิ่งนี้ซี้ซั้ว ก็ไม่เหมาะจริงๆ” เมื่อเห็นชายชราไม่เป็นอันใด ใบหน้าของท่านหลันก็ผ่อนคลายลง แต่ก็เอ่ยด้วยความโมโห

“หึ สหายทั้งสองไม่รู้อันใด หลานรักของข้าเพิ่งจะถูกมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสังหารไป ยามนี้ข้ากำลังตามฆาตกรอยู่ ทว่าผู้ที่ลงมืออาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ ข้าคนเดียวอาจจะแก้แค้นไม่ได้ ต้องให้สหายทั้งสองมาช่วยข้าอีกแรง หลังจากเสร็จเรื่องข้ายอมมอบรางวัลของการบวงสรวงนี้ให้ครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นของตอบแทนของสหายทั้งสองคน” แววตาของชายชราเขาเดียวเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่องขณะเอ่ย ท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“อันใดนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ทว่าพี่ลี่รู้ได้อย่างไรว่าผู้ลงมือคือมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์?” เผ่ามารหัวโล้นพลันตกตะลึง หนวดที่มุมปากม้วนกลับขณะเอ่ยถาม

“หึ ข้าไปถึงจุดที่หลานของข้าถูกสังหารแล้ว ยามที่หลานรักของข้าและลูกน้องถูกสังหารกลิ่นอายการต่อสู้ยังไม่เผยออกมาเลยสักนิด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั่วไปไม่อาจทำเช่นนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าฆาตกรจะจากไประยะหนึ่งแล้ว ก็มีโอกาสเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สูงมาก” ชายชราเขาเดียวมุมปากกระตุกขณะตอบ

“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เจ้ารู้จำนวนที่แท้จริงของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นหรือไม่?” ท่านหลันเอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม

“อืม ข้าสัมผัสแล้ว มีกลิ่นอายของมนุษย์สองคนเท่านั้น” ชายชราเขาเดียวตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

“อ่า หากเป็นเช่นนั้น พวกเราสามคนก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เดิมพวกเรามีภารกิจสำคัญอยู่กับตัว หากยามที่ไล่สังหารเกิดความผิดพลาด เกรงว่าใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จะลงโทษเอา” เผ่ามารหัวโล้นกลับลังเล

“ในเมื่อมนุษย์ระดับผสานอินทรีย์ออกจากที่มั่นในยามนี้ จะต้องมีแผนการกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราแน่ หากพวกเราสังหารผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนได้ ก็จะทำลายแผนการร้ายของพวกเขา ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกรางวัลให้พวกเราอย่างหนัก จะลงโทษเจ้ากับข้าได้อย่างไร อีกอย่างพวกเราสามคนร่วมมือกัน มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้นก็อาจจะมีแค่คนเดียว ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ พวกเราก็สู้ได้ จะมีอันตรายอันใด เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอแค่สหายทั้งสองช่วยข้าแก้แค้น นอกจากรางวัลในการบวงสรวงที่จะแบ่งให้พวกเจ้าครึ่งหนึ่งแล้ว เห็ดหลินจือไหมเน่าที่ล้ำค่าของข้า ก็จะมอบให้สหายทั้งสองเป็นของตอบแทนเช่นกัน” ชายชราเขาเดียวกัดฟัน เพิ่มผลประโยชน์ให้ไม่น้อย

“อ๋อ ดูแล้วท่านลี่คงอยากแก้แค้นจริงๆ ถึงได้เอาสมบัติชิ้นนี้ออกมา หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ครั้งนี้ผู้แซ่หมี่ไม่ลงมือไม่ได้แล้ว พี่หลัน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เผ่ามารหัวโล้นแววตาเปล่งประกาย พร้อมกับใจเต้นแรง

“สหายลี่เจ้ามั่นใจว่าฆาตกรมีสองคนจริงหรือไม่?” ท่านหลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง

“หึ สหายหลันไม่มั่นใจในความสามารถของผู้แซ่ลี่หรือ? หากถึงยามนั้นจำนวนคนผิดพลาด ข้าน้อยจะไม่บังคับให้สหายลงมือ” ชายชราเขาเดียวแค่นเสียงหึ ใบหน้าเผยสีหน้าโกรธขึ้งขึ้นมา แต่ก็ฝืนระงับเอาไว้

“เยี่ยม หากสหายพูดคำนี้ก็ตกลง ข้าสองคนจะรีบไปรวมตัวกันสหายลี่ทันที แต่สหายห้ามปล่อยให้มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองหลุดมือไปนะ” ท่านหลันเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย

“ในเมื่อมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนสังหารชนรุ่นหลังสายเลือดของข้าได้ นอกเสียจากจะบินรวดเดียวออกไปหลายร้อยล้านลี้ มิเช่นนั้นต่อให้วิ่งออกไปสุดขอบฟ้าก็หนีเคล็ดวิชาตามรอยของข้าไม่ได้” ชายชราเขาเดียวหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมออกมา แล้วเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจมาก

จากนั้นจานอาคมก็เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ภาพลวงตาของท่านลี่ผู้นี้สลายหายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะตัดขาดการเชื่อมต่อไปทันที

“หึๆ ข้าก็ว่าเหตุใดตัวประหลาดเฒ่าลี่ถึงล่าช้าเช่นนี้ ที่แท้ก็มีเรื่องนี้เอง มิน่าล่ะหากชนรุ่นหลังเพียงคนเดียวของข้าถูกสังหาร ก็ต้องจับฆาตกรมาทรมานสักปีครึ่งปีค่อยสังหารทิ้งให้ได้” เผ่ามารหัวโล้นหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา

“พลังยุทธ์อย่างข้าปกติแล้วก็ไม่อาจมีชนรุ่นหลังได้อีก แน่นอนว่าย่อมต้องให้ความสำคัญกับชนรุ่นหลังเดิมมาก หากมีชนรุ่นหลังมาก ก็ยังดีหน่อย แต่สถานการณ์ของตัวประหลาดเฒ่าลี่มีชนรุ่นหลังแค่คนเดียว ระหว่างพวกเราคงไม่ค่อยเห็นพบเห็นนัก มิน่าล่ะเขาถึงได้ระเบิดขนาดนี้ ยอมทุ่มเทอย่างไม่เสียดาย” ท่านหลันเองก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

“หากเป็นแค่เผ่ามนุษย์สองคน ก็น่าจะไม่มีปัญหา เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางเถิด! ในเมื่อเป็นมนุษย์ระดับผสานอินทรีย์ สังหารทิ้งก็อาจจะได้ตกรางวัลใหญ่!” เผ่ามนุษย์หัวโล้นฉายแววตาละโมบออกมาขณธเอ่ย

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อตกลงกับตัวประหลาดเฒ่าลี่แล้ว พวกเราก็พยายามเต็มที่เถิด ไป!”

ท่านหลันพยักหน้า ทันใดนั้นสองแขนก็พลิ้วไหว ประจุไฟฟ้าสีฟ้าส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นปีกเนื้อสีฟ้า

ปีกนี้ดูอัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง แต่ผิวมีกระดูกแหลมๆ สีฟ้างอกออกมา และมีประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดเอาไว้ ราวกับว่าอัสนีจะฟาดลงมาจากฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

มารตนนี้แค่กระพือปีกสองหน เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นเพียงประจุไฟฟ้าสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ยามที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง

เผ่ามารหัวโล้นเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีแดงพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นหมอกสีแดงสดห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้

จากนั้นลำแสงสีแดงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เมฆสีแดงพุ่งไล่ตามประจุไฟฟ้าไปราวกับสายฟ้า

อันหนึ่งอยู่หน้าอันหนึ่งอยู่หลัง ชั่วพริบตาทั้งสองก็บินออกมาได้ร้อยลี้เศษ สุดท้ายก็สลายหายไปจากกลางอากาศ

ส่วนชายชราเขาเดียวอีกคนหนึ่ง กลับไม่มีเจตนาจะหยุดรอลำแสงหลีกหนีของสหายทั้งสองเลยสักนิด แต่ภายใต้การสำแดงเคล็ดวิชาลับออกมา ก็เพิ่มขึ้นความเร็วขึ้นอีกสามส่วน

เพราะว่าเผ่ามารผู้นี้รู้ดีว่าแม้จะมีความสัมพันธ์ทางเคล็ดวิชาลับชีพจรโลหิต เขาก็รู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้แค่ชั่วคราว เวลาย่อมมีจำกัด หรือหากอีกฝ่ายสัมผัสได้ จะใช้เขตอาคมส่งตัวส่งตัวออกไปร้อยล้านลี้ ก็ไม่อาจไล่ตามเป้าหมายได้อีก

ดังนั้นก่อนที่จะไล่ตามเป้าหมายทัน เขาไม่มีทางละความพยายามแน่

ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่มีกองหนุน แม้ว่าเป้าหมายจะรับมือยาก ไม่อาจสังหารเพียงลำพังได้ แต่รั้งอีกฝ่ายไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

ในใจคิดเช่นนั้นชายชราเขาเดี่ยวก็ไล่ตามต่อด้วยความแค้นเต็มอก

และในยามนี้หานลี่ย่อมไม่รู้ทุกอย่าง ยังคงเร่งเดินทางไปเมืองอี่เทียนพร้อมกับเซียนหยินกวง เพราะว่าไม่ได้หนีตาย ดังนั้นแม้ว่าความเร็วจะไม่เชื่องช้า แต่ก็ช้ากว่าเผ่ามารสามตนที่อยู่ด้านหลังไม่ต่ำกว่าเท่าหนึ่ง

เมื่อเวลาผ่านไป ระยะห่างระหว่างทั้งสองย่อมเข้าใกล้กันมากขึ้น

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อหานลี่และเซียนหยินกวงพูดคุยกันถึงเรื่องสี่พรรคที่ยิ่งใหญ่ของเมืองอี่เทียน ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อ ไม้สั้นสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏออกมา กลายเป็นเงาไม้ยักษ์ขนาดสิบจั้งเศษสับลงมาที่ด้านหลัง

เสียง “ตึง” ดังขึ้น กระบองสีดำขนาดยักษ์เช่นกันยืดออกมาจากกลางอากาศและชนเข้าอย่างจัง

เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น!

ชั่วขณะนั้นรัศมีลำแสงเจิดจ้าจนแสบตา ระลอกคลื่นที่น่าตกตะลึงราวกับว่าจะทำลายอากาศได้แผ่ออกมา ราวกับชั้นบรรยากาศทั้งหมดพังทลายลงก็ไม่ปาน

เซียนหยินกวงพลันตกตะลึงร่างกายโผล่ออกมาจากเมฆสีขาวเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยขณะมองจุดที่ระลอกคลื่นระเบิด

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงสีหน้าฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้วยกมือขึ้นกวักเรียก

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ไม้บรรทัดสั้นสีเงินพุ่งแหวกอากาศมาปรากฏในฝ่ามืออีกครั้ง

รัศมีลำแสงเจิดจ้าหม่นแสงลงในที่สุดระลอกคลื่นทั้งหมดก็สลายหายไป อากาศตรงนั้นเผยเงาร่างของชายชราเขาเดียวออกมา

แต่แค่เขาในยามนี้มีร่างกายขนาดห้าหกจั้ง มือถือกระบองสีดำสนิทเอาไว้พลางถลึงตาใส่หานลี่อย่างดุดัน

“จอมมาร!”

เซียนหยินกวงกวาดจิตสัมผัสไปทางอีกฝ่าย ใบหน้างดงามมีสีหน้าตกตะลึงมือหนึ่งร่ายอาคมอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ผิวมีลำแสงสีเงินไหลโคจรไปมาแล้วตะขอสีเงินสองอันก็ปรากฏออกมา

ลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ เล่มหนึ่งเป็นอาวุธมีดสลักลายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีขาว เล่มหนึ่งสลักลายพระอาทิตย์สีแดงสด

อาวุธมีดทั้งสองพลิ้วไหวบริเวณรอบมีดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปเผยให้เห็นสมบัติที่สุดยอดชิ้นหนึ่ง

หานลี่เห็นชายชราเขาเดียวแววตาก็เปล่งประกายสว่างวาบ มือหนึ่งตบมาที่หน้าอกของตนเองโดยไม่พูดอันใด

เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!

ร่างของเขาเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ อ้าปากออกพ่นไอหมอกสีเขียวที่มีเส้นไหมสีดำปะปนอยู่

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 1886 พบมารครั้งแรก

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 1886 พบมารครั้งแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ที่นี่ก็อยู่ห่างจากทางนั้นไม่มากนัก สหายลี่น่าจะกลับมาแล้วถึงจะถูก ไม่ใช่ว่าพบปัญหาอันใดระหว่างทางหรือ?” ท่านหลันยกมือขึ้นลูบรอยมารบนแก้ม แล้วเอ่ยพึมพำอย่างใช้ความคิด

“พบปัญหา จะเป็นไปได้อย่างไร! จากอิทธิฤทธิ์ของตัวประหลาดเฒ่าลี่ นอกเสียจากจะพบกับสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เช่นเดียวกัน ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์คนอื่นๆ จะไปกล้าล่วงเกินเขาได้อย่างไร” เผ่ามารระดับสูงหัวโล้นมุมปากมีหนวดสองสามเส้นสะบัดไปมา สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง

“นั่นก็ไม่แน่ ในเผ่ามนุษย์อาจจะมีสมบัติลับอยู่สองสามชิ้นที่สามารถพังทลายเขตแดนหรือมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาสองสามคนที่เชี่ยวชาญเคล็ดวิชาการร่วมมือกันก็รับมือยากได้เช่นกัน” ท่านหลันหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย

“ยามนี้ฐานที่มั่นของเผ่ามนุษย์ถูกพวกเราล้อมเอาไว้แล้ว ไหนเลยจะมีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นได้” เผ่ามารหัวโล้นหัวเราะร่า ท่าทางไม่คิดเช่นนั้น

และเมื่อสิ้นเสียงฉับพลันนั้นก็มีเสียงวิหคต่ำๆ ดังออกมาจากร่างของมารตนนั้น ทำให้มารทั้งสองตกตะลึง

แต่เผ่ามารหัวโล้นพลันใช้มือหนึ่งโบกไปมาทันใด มือมีลำแสงสีดำไหลวนโคจร จานอาคมสีขาวปรากฏขึ้นในมือ นิ้วหนึ่งชี้ไปด้านบนเบาๆ

ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นโปร่งใสก็กระเพื่อม จานทรงกลมเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ใบหน้าชายชราที่เคร่งขรึมดุจสายธารปรากฏขึ้น

นั่นคือตัวประหลาดเฒ่าลี่ที่พวกเขากำลังพูดถึง!

“พี่ลี่ ท่านไม่ได้กลับมาตรงเวลา แต่ใช้อาวุธตาข่ายป่าติดต่อกับพวกเราสองคน มีเจตนาอันใด?” เผ่ามารหัวโล้นเอ่ยกับใบหน้าของชายชราบนจานทรงกลมด้วยความไม่พอใจ

“ใช่แล้ว อาวุธนี้ต้องใช้ศิลามารลวงตา แม้พวกเราเตรียมจะใช้ไม่เยอะ แต่หากพี่ลี่ใช้สิ่งนี้ซี้ซั้ว ก็ไม่เหมาะจริงๆ” เมื่อเห็นชายชราไม่เป็นอันใด ใบหน้าของท่านหลันก็ผ่อนคลายลง แต่ก็เอ่ยด้วยความโมโห

“หึ สหายทั้งสองไม่รู้อันใด หลานรักของข้าเพิ่งจะถูกมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสังหารไป ยามนี้ข้ากำลังตามฆาตกรอยู่ ทว่าผู้ที่ลงมืออาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ ข้าคนเดียวอาจจะแก้แค้นไม่ได้ ต้องให้สหายทั้งสองมาช่วยข้าอีกแรง หลังจากเสร็จเรื่องข้ายอมมอบรางวัลของการบวงสรวงนี้ให้ครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็นของตอบแทนของสหายทั้งสองคน” แววตาของชายชราเขาเดียวเปล่งแสงสว่างวาบอย่างต่อเนื่องขณะเอ่ย ท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“อันใดนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ทว่าพี่ลี่รู้ได้อย่างไรว่าผู้ลงมือคือมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์?” เผ่ามารหัวโล้นพลันตกตะลึง หนวดที่มุมปากม้วนกลับขณะเอ่ยถาม

“หึ ข้าไปถึงจุดที่หลานของข้าถูกสังหารแล้ว ยามที่หลานรักของข้าและลูกน้องถูกสังหารกลิ่นอายการต่อสู้ยังไม่เผยออกมาเลยสักนิด ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาทั่วไปไม่อาจทำเช่นนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าฆาตกรจะจากไประยะหนึ่งแล้ว ก็มีโอกาสเป็นมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สูงมาก” ชายชราเขาเดียวมุมปากกระตุกขณะตอบ

“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่เจ้ารู้จำนวนที่แท้จริงของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นหรือไม่?” ท่านหลันเอ่ยถามด้วยความเคร่งขรึม

“อืม ข้าสัมผัสแล้ว มีกลิ่นอายของมนุษย์สองคนเท่านั้น” ชายชราเขาเดียวตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

“อ่า หากเป็นเช่นนั้น พวกเราสามคนก็น่าจะไม่มีปัญหาอันใด แต่สิ่งที่สำคัญก็คือ เดิมพวกเรามีภารกิจสำคัญอยู่กับตัว หากยามที่ไล่สังหารเกิดความผิดพลาด เกรงว่าใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จะลงโทษเอา” เผ่ามารหัวโล้นกลับลังเล

“ในเมื่อมนุษย์ระดับผสานอินทรีย์ออกจากที่มั่นในยามนี้ จะต้องมีแผนการกับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราแน่ หากพวกเราสังหารผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนได้ ก็จะทำลายแผนการร้ายของพวกเขา ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จะต้องตกรางวัลให้พวกเราอย่างหนัก จะลงโทษเจ้ากับข้าได้อย่างไร อีกอย่างพวกเราสามคนร่วมมือกัน มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ผู้นั้นก็อาจจะมีแค่คนเดียว ต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ พวกเราก็สู้ได้ จะมีอันตรายอันใด เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอแค่สหายทั้งสองช่วยข้าแก้แค้น นอกจากรางวัลในการบวงสรวงที่จะแบ่งให้พวกเจ้าครึ่งหนึ่งแล้ว เห็ดหลินจือไหมเน่าที่ล้ำค่าของข้า ก็จะมอบให้สหายทั้งสองเป็นของตอบแทนเช่นกัน” ชายชราเขาเดียวกัดฟัน เพิ่มผลประโยชน์ให้ไม่น้อย

“อ๋อ ดูแล้วท่านลี่คงอยากแก้แค้นจริงๆ ถึงได้เอาสมบัติชิ้นนี้ออกมา หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ครั้งนี้ผู้แซ่หมี่ไม่ลงมือไม่ได้แล้ว พี่หลัน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?” เผ่ามารหัวโล้นแววตาเปล่งประกาย พร้อมกับใจเต้นแรง

“สหายลี่เจ้ามั่นใจว่าฆาตกรมีสองคนจริงหรือไม่?” ท่านหลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็เอ่ยถามย้ำอีกครั้ง

“หึ สหายหลันไม่มั่นใจในความสามารถของผู้แซ่ลี่หรือ? หากถึงยามนั้นจำนวนคนผิดพลาด ข้าน้อยจะไม่บังคับให้สหายลงมือ” ชายชราเขาเดียวแค่นเสียงหึ ใบหน้าเผยสีหน้าโกรธขึ้งขึ้นมา แต่ก็ฝืนระงับเอาไว้

“เยี่ยม หากสหายพูดคำนี้ก็ตกลง ข้าสองคนจะรีบไปรวมตัวกันสหายลี่ทันที แต่สหายห้ามปล่อยให้มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองหลุดมือไปนะ” ท่านหลันเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย

“ในเมื่อมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนสังหารชนรุ่นหลังสายเลือดของข้าได้ นอกเสียจากจะบินรวดเดียวออกไปหลายร้อยล้านลี้ มิเช่นนั้นต่อให้วิ่งออกไปสุดขอบฟ้าก็หนีเคล็ดวิชาตามรอยของข้าไม่ได้” ชายชราเขาเดียวหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมออกมา แล้วเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจมาก

จากนั้นจานอาคมก็เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ภาพลวงตาของท่านลี่ผู้นี้สลายหายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะตัดขาดการเชื่อมต่อไปทันที

“หึๆ ข้าก็ว่าเหตุใดตัวประหลาดเฒ่าลี่ถึงล่าช้าเช่นนี้ ที่แท้ก็มีเรื่องนี้เอง มิน่าล่ะหากชนรุ่นหลังเพียงคนเดียวของข้าถูกสังหาร ก็ต้องจับฆาตกรมาทรมานสักปีครึ่งปีค่อยสังหารทิ้งให้ได้” เผ่ามารหัวโล้นหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา

“พลังยุทธ์อย่างข้าปกติแล้วก็ไม่อาจมีชนรุ่นหลังได้อีก แน่นอนว่าย่อมต้องให้ความสำคัญกับชนรุ่นหลังเดิมมาก หากมีชนรุ่นหลังมาก ก็ยังดีหน่อย แต่สถานการณ์ของตัวประหลาดเฒ่าลี่มีชนรุ่นหลังแค่คนเดียว ระหว่างพวกเราคงไม่ค่อยเห็นพบเห็นนัก มิน่าล่ะเขาถึงได้ระเบิดขนาดนี้ ยอมทุ่มเทอย่างไม่เสียดาย” ท่านหลันเองก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

“หากเป็นแค่เผ่ามนุษย์สองคน ก็น่าจะไม่มีปัญหา เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางเถิด! ในเมื่อเป็นมนุษย์ระดับผสานอินทรีย์ สังหารทิ้งก็อาจจะได้ตกรางวัลใหญ่!” เผ่ามนุษย์หัวโล้นฉายแววตาละโมบออกมาขณธเอ่ย

“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อตกลงกับตัวประหลาดเฒ่าลี่แล้ว พวกเราก็พยายามเต็มที่เถิด ไป!”

ท่านหลันพยักหน้า ทันใดนั้นสองแขนก็พลิ้วไหว ประจุไฟฟ้าสีฟ้าส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ดังลั่น คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นปีกเนื้อสีฟ้า

ปีกนี้ดูอัปลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง แต่ผิวมีกระดูกแหลมๆ สีฟ้างอกออกมา และมีประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดเอาไว้ ราวกับว่าอัสนีจะฟาดลงมาจากฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

มารตนนี้แค่กระพือปีกสองหน เสียงฟ้าผ่าก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เห็นเพียงประจุไฟฟ้าสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ยามที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง

เผ่ามารหัวโล้นเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา สะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีแดงพุ่งออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นหมอกสีแดงสดห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้

จากนั้นลำแสงสีแดงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ เมฆสีแดงพุ่งไล่ตามประจุไฟฟ้าไปราวกับสายฟ้า

อันหนึ่งอยู่หน้าอันหนึ่งอยู่หลัง ชั่วพริบตาทั้งสองก็บินออกมาได้ร้อยลี้เศษ สุดท้ายก็สลายหายไปจากกลางอากาศ

ส่วนชายชราเขาเดียวอีกคนหนึ่ง กลับไม่มีเจตนาจะหยุดรอลำแสงหลีกหนีของสหายทั้งสองเลยสักนิด แต่ภายใต้การสำแดงเคล็ดวิชาลับออกมา ก็เพิ่มขึ้นความเร็วขึ้นอีกสามส่วน

เพราะว่าเผ่ามารผู้นี้รู้ดีว่าแม้จะมีความสัมพันธ์ทางเคล็ดวิชาลับชีพจรโลหิต เขาก็รู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้แค่ชั่วคราว เวลาย่อมมีจำกัด หรือหากอีกฝ่ายสัมผัสได้ จะใช้เขตอาคมส่งตัวส่งตัวออกไปร้อยล้านลี้ ก็ไม่อาจไล่ตามเป้าหมายได้อีก

ดังนั้นก่อนที่จะไล่ตามเป้าหมายทัน เขาไม่มีทางละความพยายามแน่

ถึงอย่างไรเสียหลังจากที่มีกองหนุน แม้ว่าเป้าหมายจะรับมือยาก ไม่อาจสังหารเพียงลำพังได้ แต่รั้งอีกฝ่ายไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

ในใจคิดเช่นนั้นชายชราเขาเดี่ยวก็ไล่ตามต่อด้วยความแค้นเต็มอก

และในยามนี้หานลี่ย่อมไม่รู้ทุกอย่าง ยังคงเร่งเดินทางไปเมืองอี่เทียนพร้อมกับเซียนหยินกวง เพราะว่าไม่ได้หนีตาย ดังนั้นแม้ว่าความเร็วจะไม่เชื่องช้า แต่ก็ช้ากว่าเผ่ามารสามตนที่อยู่ด้านหลังไม่ต่ำกว่าเท่าหนึ่ง

เมื่อเวลาผ่านไป ระยะห่างระหว่างทั้งสองย่อมเข้าใกล้กันมากขึ้น

หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เมื่อหานลี่และเซียนหยินกวงพูดคุยกันถึงเรื่องสี่พรรคที่ยิ่งใหญ่ของเมืองอี่เทียน ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี สะบัดแขนเสื้อ ไม้สั้นสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏออกมา กลายเป็นเงาไม้ยักษ์ขนาดสิบจั้งเศษสับลงมาที่ด้านหลัง

เสียง “ตึง” ดังขึ้น กระบองสีดำขนาดยักษ์เช่นกันยืดออกมาจากกลางอากาศและชนเข้าอย่างจัง

เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น!

ชั่วขณะนั้นรัศมีลำแสงเจิดจ้าจนแสบตา ระลอกคลื่นที่น่าตกตะลึงราวกับว่าจะทำลายอากาศได้แผ่ออกมา ราวกับชั้นบรรยากาศทั้งหมดพังทลายลงก็ไม่ปาน

เซียนหยินกวงพลันตกตะลึงร่างกายโผล่ออกมาจากเมฆสีขาวเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยขณะมองจุดที่ระลอกคลื่นระเบิด

หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลงสีหน้าฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้วยกมือขึ้นกวักเรียก

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ไม้บรรทัดสั้นสีเงินพุ่งแหวกอากาศมาปรากฏในฝ่ามืออีกครั้ง

รัศมีลำแสงเจิดจ้าหม่นแสงลงในที่สุดระลอกคลื่นทั้งหมดก็สลายหายไป อากาศตรงนั้นเผยเงาร่างของชายชราเขาเดียวออกมา

แต่แค่เขาในยามนี้มีร่างกายขนาดห้าหกจั้ง มือถือกระบองสีดำสนิทเอาไว้พลางถลึงตาใส่หานลี่อย่างดุดัน

“จอมมาร!”

เซียนหยินกวงกวาดจิตสัมผัสไปทางอีกฝ่าย ใบหน้างดงามมีสีหน้าตกตะลึงมือหนึ่งร่ายอาคมอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ผิวมีลำแสงสีเงินไหลโคจรไปมาแล้วตะขอสีเงินสองอันก็ปรากฏออกมา

ลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ เล่มหนึ่งเป็นอาวุธมีดสลักลายพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีขาว เล่มหนึ่งสลักลายพระอาทิตย์สีแดงสด

อาวุธมีดทั้งสองพลิ้วไหวบริเวณรอบมีดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปเผยให้เห็นสมบัติที่สุดยอดชิ้นหนึ่ง

หานลี่เห็นชายชราเขาเดียวแววตาก็เปล่งประกายสว่างวาบ มือหนึ่งตบมาที่หน้าอกของตนเองโดยไม่พูดอันใด

เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น!

ร่างของเขาเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ อ้าปากออกพ่นไอหมอกสีเขียวที่มีเส้นไหมสีดำปะปนอยู่

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+