A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2389 หวนพบหน้าอีกครั้งครา (1)

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2389 หวนพบหน้าอีกครั้งครา (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บรรพชนฮวาสือโค้งตัวตอบรับคำสั่ง เปลี่ยนเป็นลำแสงบินกลับไปยังเรือยักษ์ในทันที

หานลี่ก้าวออกมาลอยตัวอยู่กลางอากาศ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในเวลาถัดมา ที่ว่างด้านข้างของหลิงเฟยเซียนเกิดความผันผวนขึ้น หานลี่ปรากฏกายขึ้นที่ด้านหน้านางอย่างไร้เสียง “ผู้อาวุโส เชิญ!”

หญิงสาวตกใจเล็กน้อย ทว่ารีบนำทางไปด้วยความเคารพ

ในชั่วพริบตา รัศมีแสงส่องสว่างบนกำแพงหิน ทั้งสามคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในเวลาเดียวกัน เนินเขาที่อยู่ใกล้เคียง ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนรวมตัวกันในห้องโถงใหญ่ เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกทั้งหมดผ่านกระจกอาคมที่ส่องประกาย

“เป็นเจ้าหนูจูกั่วเอ๋อร์นั่นเอง! ที่แท้นางก็ลงมาจากเรือเหาะสีดำนั่น เช่นนี้แล้ว อีกคนก็คงเป็นมหาเมธีที่ร่ำลือกันผู้นั้นสินะ” ชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดนักปราชญ์ละสายตาจากกระจกอาคม เอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ

“น้องสาวกั่วเอ๋อร์จากบ้านไปนาน ไม่คิดเลยว่ากลับมาครานี้จะพามหาเมธีผู้นั้นมาด้วย ตอนนี้จะทำเช่นไรดี ให้แจ้งไปยังผู้อาวุโสของเผ่าหรือไม่” ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ดูแล้วอายุไม่มากที่อยู่ด้านข้างถามขึ้นอย่างลังเล

“หึ เรือนี้เคลือนไหวอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ เจ้าคิดหรือว่าพวกเราไม่ส่งข่าวไปแล้วผู้อาวุโสพวกนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ ช่างมันเถอะ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานท่านนี้มีสัมพันธ์อันดีกับจูกั่วเอ๋อร์ สำหรับพวกเราแล้วถือเป็นโอกาสอันดีครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเราสังเกตการณ์อยู่ที่นี่อีกสักหน่อยค่อยหารือกันอีกที” สีหน้าของนักปราชญ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันแค่นเสียงหัวเราะ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีถอดถอนใจ

เมื่อได้ยินดังนั้น คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

ภาพที่คล้ายกันนี้ ก็เกิดขึ้นเหมือนกันที่ยอดเขาแห่งหนึ่งใกล้เคียง

ในเวลานี้ หญิงสาวได้นำหานลี่เดินทางผ่านศิลาสีเขียวไปยังห้องโถงหินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงาม

ที่มุมทั้งสี่ของห้องโถงใหญ่ มีเตาหินที่ดูโบราณตั้งอยู่ ซึ่งแต่ละเตามีธูปไม้จันทร์ที่ไม่รู้นามสีดำเหลืองจุดอยู่หนึ่งเล่ม

เมื่อหานลี่นั่งลงบนเก้าอี้หินที่ตั้งถัดจากโต๊ะไม้ หญิงสาวตบมือสองข้างเข้าด้วยกันเกิดเสียง แปะ!

ทันใดนั้นมีแสงสีขาวส่องสว่างมาจากประตูข้างของห้องโถงใหญ่ กระรอกสีขาวราวกับหิมะที่สูงไม่กี่ฉื่อเดินเข้ามาพร้อมเทินจานผลไม้ขนาดใหญ่บนศีรษะด้วยขาหน้าของมัน

ดวงตาของอสูรวิญญาณตนนี้มีวิญญาณสีดำทมิฬเคลื่อนไหวอยู่ภายใน แม้ว่าร่างกายจะโงนเงนเล็กน้อย แขนขาตกลงพื้นอย่างไร้เสียง เพียงสั่นไม่กี่ที ก็มาถึงโต๊ะอย่างรวดเร็วและนำจานผลไม้บนศีรษะวางลงอย่างชำนาญ

จากนั้นอสูรตนนี้ก็จ้องไปที่หานลี่ ส่งเสียงร้องแหลมและพวงหางขนาดใหญ่ด้านหลังสะบัดไปมาไม่หยุด

“เซวี่ยเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท รีบไปเถิด หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจะให้โอสถทะลวงปราณแก่เจ้า” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็มืดครึ้มลง กล่าวตำหนิออกมา

“ฮ่าๆ น่าสนใจ นี่คงเป็นอสูรกระรอกหิมะ แม้แต่ที่แดนวิญญาณเองก็พบเจอได้ยาก ดูจากท่าทางของมันแล้ว ดูเหมือนว่าอีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถเปิดปัญญาของมันได้สำเร็จ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง” หานลี่หัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้

ทันทีที่พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ เม็ดยาขนาดเท่าหัวแม่มือกลายเป็นควันยาพุ่งออกมา

เมื่ออสูรกระรอกหิมะที่อยู่บนโต๊ะได้กลิ่นยานี้ แววตาพลันเป็นประกาย ดีดตัวขึ้นอย่างไม่ลังเล ปากงับเอาเม็ดยานั้นกลืนลงไป แล้วหมุนตัวร่วงหล่นลงไปใต้โต๊ะ

ผ่านไปครู่หนึ่ง อสูรตัวน้อยก็ส่งเสียงคำรามต่ำ ขนทั่วร่างลุกชันเป็นเส้นตรง ในเวลาเดียวกันขนสีชาวราวกับหิมะของมันก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงจนกลายเป็นสีแดงฉาน หลังจากที่กลิ้งไปมาบนพื้นอีกครั้งก็มีเสียงอู้อี้เหมือนประทัดในร่างกาย

“ผู้อาวุโส นี่คือ…” หญิงสาวตกใจและถามโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“ท่านแม่โปรดวางใจ ผู้อาวุโสหานไม่มีความประสงค์ร้ายต่อเสวี่ยเอ๋อร์ โอกาสของมันมาถึงแล้ว” จูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มยินดี

ในเวลานี้ กลิ่นอายของอสูรร้อยก็ควบแน่นและแข็งแกร่งกว่าเดิมเล็กน้อย หลังจากเสียงคำรามเบาๆ อีกครั้ง ก็ลุกขึ้นยืนอย่างสั่นสะท้านอีกครั้ง แหงนศีรษะมองหานลี่ เอ่ยกับหานลี่เป็นภาษามนุษย์ด้วยความขอบคุณว่า

“ขอบพระคุณนายท่านที่ประทานโอสถให้แก่ข้าน้อย จึงสามารถกำจัดจุดที่ติดขัดออกไปได้ มิเช่นนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยกว่าพันปี จึงจะมาถึงจุดนี้”

“ฮ่าๆ ลุกขึ้นเถิด นี่เป็นเพราะเดิมทีเจ้าก็เปิดปัญญาไปได้มากแล้ว มิเช่นนั้นด้วยการช่วยเหลือของโอสถ ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุถึงระดับนี้ได้โดยง่าย” หานลี่โบกมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

ในขณะนั้น หญิงสาวพลันเข้าใจ รีบกล่าวขอบคุณไปทางหานลี่แทนเจ้ากระรอกหิมะไม่หยุด จากนั้นก็โบกมือให้อสูรน้อยล่าถอยไป

อสูรกระรอกหิมะเห็นดังนั้น จึงโค้งคำนับหานลี่ด้วยขาหน้าทั้งสอง แล้วเดินออกไปจากห้องโถงอย่างไม่เต็มใจ

“ที่มาของท่านผู้อาวุโส ข้าเคยได้ยินมาจากกั่วเอ๋อร์บ้างเล็กน้อย เจ้าหนูนี่ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย หลังจากตกลงสู่แดนมาร ก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน มิเช่นนั้นข้ากับแม่หนูนี่ก็ไร้วาสนาที่จะได้พานพบกันอีกครา นอกจากนั้น ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ว่ามีเรื่องอยากจะถามข้าน้อยสักหน่อย ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด หากข้าน้อยทราบ ย่อมบอกท่านอย่างแน่นอน” หญิงสาวถามอีกครั้งด้วยความเคารพ

“แม้ว่าจะเป็ฯเรื่องบังเอิญที่ข้าได้ช่วยกั่วเอ๋อร์ ทว่าเหตุผลที่ดึงดูดข้าในตอนแรกก็มาจากร่างกายของนางเอง ข้าได้ยินจากกั่วเอ๋อร์ว่า ก่อนหน้านี้เจ้ายังอยู่ในระดับก่อกำเนิด ตอนนี้กลับมีพลังยุทธ์ในระดับหลอมสุญตา ความก้าวหน้าที่รวดเร็วเช่นนี้ ท่านนักพรตคงจะพบเจอเรื่องบางอย่างในช่วงเวลานี้กระมัง” หานลี่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“พลังยุทธ์ของข้าน้อยเดิมทีก็อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายแล้ว อีกทั้งไม่กี่ปีมานี้ได้พานพบโอกาสอันดีมากมาย จึงทำให้ข้าน้อยสามารถเลื่อนได้ถึงสองระดับในเวลาสั้นๆ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงระดับหลอมสุญตา ทว่าเกี่ยวกับร่างกายของกั่วเอ๋อร์ที่ท่านเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ คือ…” หญิงสาวยังคงมีท่าทีไม่เข้าใจ

“ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะมีเวลาน้อยไป กั่วเอ๋อร์จึงไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ท่านฟังก่อนหน้านี้ เช่นนั้นให้ข้าอธิบายเรื่องนี้ด้วยตนเองเถิด” หานลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าน้อยจะตั้งใจฟังด้วยความเคารพ” จิตใจของหญิงสาวนิ่งสงบและตอบอย่างเคร่งขรึม

“วิทยายุทธ์ที่กั่วเอ๋อร์ฝึกฝนคือเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์ เจ้าทราบเรื่องนี้หรือไม่” หานลี่กล่าว

“วิทยายุทธ์นี้เป็นตัวข้าที่ถ่ายทอดให้นางเอง เหตุใดจึงจะไม่ทราบ” หญิงสาวมองไปที่กั่วเอ๋อร์เล็กน้อยก่อนตอบกลับอย่างสงบ

“ทว่าตามที่กั่วเอ๋อร์เล่าให้ฟัง วิทยายุทธ์หลักที่เจ้าฝึกฝนมิใช่วิทยายุทธ์นี้ ทว่าเป็นเคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์ที่พบได้ทั่วไปในบรรดานักพรต ที่ข้าอยากรู้คือ เจ้าได้รับวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์มาจากผู้ใด” หานลี่ถามอีกครั้งอย่างสงบ

“ที่แท้ท่านผู้อาวุโสต้องการถามเรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นเรื่องยากสำหรับข้าเล็กน้อย เคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์ที่กั่วเอ๋อร์ครอบครองอยู่ ที่จริงแล้วข้าน้อยได้รับมาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ทว่าข้าน้อยเคยสาบานว่าหากกั่วเอ๋อร์ไม่ได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์นี้ไปถึงระดับหนึ่งและปราศจากคำยินยอมของผู้อาวุโสท่านนี้ ข้าจะไม่มีทางบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้นั้นให้แก่ผู้อื่นอย่างแน่นอน” ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความลังเล

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ได้คำตอบแล้ว ข้าขอถามเจ้าอีกอย่าง ผู้ที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้เจ้าเป็นชายหรือหญิง ไม่ต้องห่วง เจ้าสามารถบอกข้าได้ หากเจ้าของเคล็ดวิชานี้เป็นผู้ที่ข้าคิดไว้ล่ะก็ นางกับข้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก เป็นมิตรมิใช่ศัตรู ข้าอยากจะเจอนางด้วยตนเองสักหน่อย” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ผู้ที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์ให้แก่ข้าน้อย เป็นหญิงสาวผู้หนึ่งจริงๆ หากท่านเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของนางจริง ข้าจะยอมยกเว้นเพื่อส่งข้อความไปหาผู้อาวุโสท่านนั้นเพื่อสอบถามว่านางเต็มใจที่จะมาพบเจอหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้ว ผู้อาวุโสหานคือผู้บำเพ็ญเพียรในระดับมหาเมธี อีกทั้งยังเคยช่วยกั่วเอ๋อร์ไว้ คิดว่าท่านผู้นั้นคงจะไม่ตำหนิข้าน้อย แต่หากผู้อาวุโสท่านนั้นปฏิเสธที่จะพบเจอ ข้าน้อยก็ทำอะไรไม่ได้” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหญิงสาวก็กัดฟันเอ่ยออกมา

“นี่แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเพียงบอกเรื่องราวของข้าและชื่อที่แท้จริงของข้าก็พอแล้วล่ะ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าจะจดจำความมิตรภาพของท่านไว้อย่างแน่นอน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหานลี่

“ข้าน้อยมิกล้า ผู้อาวุโสมีพระคุณต่อกั่วเอ๋อร์เป็นอย่างมากจนมิสามารถตอบแทนได้ ผู้อาวุโสหานโปรดรอสักครู่ ข้าจะส่งข้อความถึงผู้อาวุโสท่านนั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยความเคารพ แล้วหยิบศาสตรายุทธ์ที่มีรูปลักษณ์เป็นจี้หยกออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากใช้นิ้วมือเขียนตัวอักษรจำนวนหนึ่งบนพื้นผิวอย่างรวดเร็ว จึงใช้นิ้วมือทั้งห้าส่งพลังทำลายจี้หยกนั้นเป็นผุยผงจนเกิดเสียง ปัง! ทันใดนั้นมีแสงสีขาวหลายจุดกระจัดกระจายออกจากผงหายไปในความว่างเปล่า

ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องลับลึกลับที่ทางออกถูกน้ำแข็งปิดผนึกไว้ พลันมีเสียง ปึง! ดังขึ้นเบาๆ หญิงสาวชุดขาวที่นั่งสมาธิอยู่บนวงล้อสีเงิน สะบัดมืออันเรียวยาวของนางครั้งหนึ่ง ที่ด้านหน้าเกิดความผันผวนขึ้น ข้อความแสงสีขาวปรากฏขึ้นหลายบรรทัดปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด

หญิงสาวเพียงเหลือบมองเล็กน้อย ร่างกายสั่นคลอนเบาๆ สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ข้อความเหล่านี้พลันหายไปในอากาศ นิ้วมือเรียวยาววาดไปมาในความว่างเปล่าที่เดิมมีข้อความอยู่ ปรากฏข้อความสีเงินขึ้นอีกครั้งแล้วก็กะพริบหายไปในอากาศดังเดิม

และในเวลานี้เช่นกัน เกิดเสียงแหวกอากาศขึ้นเหนือหุบเขาด้านนอกห้องลับ รุ้งแสงหลายสายพุ่งมาจากระยะไกล

อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวที่กำลังยืนรอข่าวอยู่ข้างหานลี่ มีเสียงดังออกมาจากแขนเสื้อของนาง จึงรีบสะบัดแขนเสื้อแล้วนำจี้หยกอีกก้อนออกมา

บนจี้หยกนี้ มีข้อความจางๆ หลายตัวอักษรไหลเวียนอยู่อย่างช้าๆ

หญิงสาวมองให้ละเอียดถี่ถ้วน จึงหันมากล่าวกับหานลี่ด้วยความยินดีอย่างยิ่งว่า

“ผู้อาวุโสหาน ผู้อาวุโสท่านนั้นรับปากว่าจะมาพบท่านในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหานลี่ก็เปล่งประกายด้วยความดีใจอย่างหาได้ยาก หลังกล่าวขอบคุณหญิงสาว เขาก็เริ่มสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสี่ยวหลิงเทียน

แม้เรื่องบางเรื่องของเสี่ยวหลิงเทียนเขาจะรู้มาบ้างจากจูกั่วเอ๋อร์แล้ว ทว่าตอนนี้มารับรู้อีกครั้งจากหญิงสาวที่อยู่ที่นี่ ย่อมชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

หลังจากการสนทนาเกือบครึ่งชั่วยาวสิ้นสุดลง หานลี่ก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยปฏิเสธคำชักชวนของหญิงสาวที่ชักชวนให้อยู่ที่นี่ต่อ แล้วออกจากห้องโถงใหญ่ เหาะกลับขึ้นไปยังเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกที่อยู่เหนือยอดเขาอีกครั้ง

เรือยักษ์ลำนี้จอดอยู่ระหว่างยอดเขาหลายลูกอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด

ในเวลานี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงจำนวนหนึ่งจากยอดเขาอื่นๆ ใกล้เคียงมาสอดส่องความเคลื่อนไหว ทว่าไม่มีใครกล้าที่จะสร้างความขัดแย้งกับหานลี่ ต่างก็หยุดสังเกตการณ์สถานการณ์ทั้งหมดบนเรือยักษ์อยู่ในที่ไกลลิบลิบอย่างระมัดระวัง

ทว่ามีบางคนที่เห็นหานลี่ออกมาจากที่พำนักของหญิงสาว บ้างส่งศิษย์ในสำนักออกไป บ้างไปทักทายด้วยตนเอง โดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหานลี่จากที่นี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน 2389 หวนพบหน้าอีกครั้งครา (1)

Now you are reading A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน Chapter 2389 หวนพบหน้าอีกครั้งครา (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บรรพชนฮวาสือโค้งตัวตอบรับคำสั่ง เปลี่ยนเป็นลำแสงบินกลับไปยังเรือยักษ์ในทันที

หานลี่ก้าวออกมาลอยตัวอยู่กลางอากาศ แล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในเวลาถัดมา ที่ว่างด้านข้างของหลิงเฟยเซียนเกิดความผันผวนขึ้น หานลี่ปรากฏกายขึ้นที่ด้านหน้านางอย่างไร้เสียง “ผู้อาวุโส เชิญ!”

หญิงสาวตกใจเล็กน้อย ทว่ารีบนำทางไปด้วยความเคารพ

ในชั่วพริบตา รัศมีแสงส่องสว่างบนกำแพงหิน ทั้งสามคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ในเวลาเดียวกัน เนินเขาที่อยู่ใกล้เคียง ผู้บำเพ็ญเพียรหลายคนรวมตัวกันในห้องโถงใหญ่ เฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกทั้งหมดผ่านกระจกอาคมที่ส่องประกาย

“เป็นเจ้าหนูจูกั่วเอ๋อร์นั่นเอง! ที่แท้นางก็ลงมาจากเรือเหาะสีดำนั่น เช่นนี้แล้ว อีกคนก็คงเป็นมหาเมธีที่ร่ำลือกันผู้นั้นสินะ” ชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยชุดนักปราชญ์ละสายตาจากกระจกอาคม เอ่ยพลางถอนหายใจเบาๆ

“น้องสาวกั่วเอ๋อร์จากบ้านไปนาน ไม่คิดเลยว่ากลับมาครานี้จะพามหาเมธีผู้นั้นมาด้วย ตอนนี้จะทำเช่นไรดี ให้แจ้งไปยังผู้อาวุโสของเผ่าหรือไม่” ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ดูแล้วอายุไม่มากที่อยู่ด้านข้างถามขึ้นอย่างลังเล

“หึ เรือนี้เคลือนไหวอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ เจ้าคิดหรือว่าพวกเราไม่ส่งข่าวไปแล้วผู้อาวุโสพวกนั้นจะไม่รู้เรื่องนี้ ช่างมันเถอะ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานท่านนี้มีสัมพันธ์อันดีกับจูกั่วเอ๋อร์ สำหรับพวกเราแล้วถือเป็นโอกาสอันดีครั้งหนึ่งในชีวิต พวกเราสังเกตการณ์อยู่ที่นี่อีกสักหน่อยค่อยหารือกันอีกที” สีหน้าของนักปราชญ์เปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันแค่นเสียงหัวเราะ แล้วเอ่ยด้วยท่าทีถอดถอนใจ

เมื่อได้ยินดังนั้น คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

ภาพที่คล้ายกันนี้ ก็เกิดขึ้นเหมือนกันที่ยอดเขาแห่งหนึ่งใกล้เคียง

ในเวลานี้ หญิงสาวได้นำหานลี่เดินทางผ่านศิลาสีเขียวไปยังห้องโถงหินที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสวยงาม

ที่มุมทั้งสี่ของห้องโถงใหญ่ มีเตาหินที่ดูโบราณตั้งอยู่ ซึ่งแต่ละเตามีธูปไม้จันทร์ที่ไม่รู้นามสีดำเหลืองจุดอยู่หนึ่งเล่ม

เมื่อหานลี่นั่งลงบนเก้าอี้หินที่ตั้งถัดจากโต๊ะไม้ หญิงสาวตบมือสองข้างเข้าด้วยกันเกิดเสียง แปะ!

ทันใดนั้นมีแสงสีขาวส่องสว่างมาจากประตูข้างของห้องโถงใหญ่ กระรอกสีขาวราวกับหิมะที่สูงไม่กี่ฉื่อเดินเข้ามาพร้อมเทินจานผลไม้ขนาดใหญ่บนศีรษะด้วยขาหน้าของมัน

ดวงตาของอสูรวิญญาณตนนี้มีวิญญาณสีดำทมิฬเคลื่อนไหวอยู่ภายใน แม้ว่าร่างกายจะโงนเงนเล็กน้อย แขนขาตกลงพื้นอย่างไร้เสียง เพียงสั่นไม่กี่ที ก็มาถึงโต๊ะอย่างรวดเร็วและนำจานผลไม้บนศีรษะวางลงอย่างชำนาญ

จากนั้นอสูรตนนี้ก็จ้องไปที่หานลี่ ส่งเสียงร้องแหลมและพวงหางขนาดใหญ่ด้านหลังสะบัดไปมาไม่หยุด

“เซวี่ยเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท รีบไปเถิด หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจะให้โอสถทะลวงปราณแก่เจ้า” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็มืดครึ้มลง กล่าวตำหนิออกมา

“ฮ่าๆ น่าสนใจ นี่คงเป็นอสูรกระรอกหิมะ แม้แต่ที่แดนวิญญาณเองก็พบเจอได้ยาก ดูจากท่าทางของมันแล้ว ดูเหมือนว่าอีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถเปิดปัญญาของมันได้สำเร็จ เช่นนั้นข้าจะช่วยเจ้าเอง” หานลี่หัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้

ทันทีที่พูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อ เม็ดยาขนาดเท่าหัวแม่มือกลายเป็นควันยาพุ่งออกมา

เมื่ออสูรกระรอกหิมะที่อยู่บนโต๊ะได้กลิ่นยานี้ แววตาพลันเป็นประกาย ดีดตัวขึ้นอย่างไม่ลังเล ปากงับเอาเม็ดยานั้นกลืนลงไป แล้วหมุนตัวร่วงหล่นลงไปใต้โต๊ะ

ผ่านไปครู่หนึ่ง อสูรตัวน้อยก็ส่งเสียงคำรามต่ำ ขนทั่วร่างลุกชันเป็นเส้นตรง ในเวลาเดียวกันขนสีชาวราวกับหิมะของมันก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงจนกลายเป็นสีแดงฉาน หลังจากที่กลิ้งไปมาบนพื้นอีกครั้งก็มีเสียงอู้อี้เหมือนประทัดในร่างกาย

“ผู้อาวุโส นี่คือ…” หญิงสาวตกใจและถามโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

“ท่านแม่โปรดวางใจ ผู้อาวุโสหานไม่มีความประสงค์ร้ายต่อเสวี่ยเอ๋อร์ โอกาสของมันมาถึงแล้ว” จูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มยินดี

ในเวลานี้ กลิ่นอายของอสูรร้อยก็ควบแน่นและแข็งแกร่งกว่าเดิมเล็กน้อย หลังจากเสียงคำรามเบาๆ อีกครั้ง ก็ลุกขึ้นยืนอย่างสั่นสะท้านอีกครั้ง แหงนศีรษะมองหานลี่ เอ่ยกับหานลี่เป็นภาษามนุษย์ด้วยความขอบคุณว่า

“ขอบพระคุณนายท่านที่ประทานโอสถให้แก่ข้าน้อย จึงสามารถกำจัดจุดที่ติดขัดออกไปได้ มิเช่นนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยกว่าพันปี จึงจะมาถึงจุดนี้”

“ฮ่าๆ ลุกขึ้นเถิด นี่เป็นเพราะเดิมทีเจ้าก็เปิดปัญญาไปได้มากแล้ว มิเช่นนั้นด้วยการช่วยเหลือของโอสถ ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุถึงระดับนี้ได้โดยง่าย” หานลี่โบกมือ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

ในขณะนั้น หญิงสาวพลันเข้าใจ รีบกล่าวขอบคุณไปทางหานลี่แทนเจ้ากระรอกหิมะไม่หยุด จากนั้นก็โบกมือให้อสูรน้อยล่าถอยไป

อสูรกระรอกหิมะเห็นดังนั้น จึงโค้งคำนับหานลี่ด้วยขาหน้าทั้งสอง แล้วเดินออกไปจากห้องโถงอย่างไม่เต็มใจ

“ที่มาของท่านผู้อาวุโส ข้าเคยได้ยินมาจากกั่วเอ๋อร์บ้างเล็กน้อย เจ้าหนูนี่ถือเป็นความโชคดีในความโชคร้าย หลังจากตกลงสู่แดนมาร ก็ได้รับความช่วยเหลือจากท่าน มิเช่นนั้นข้ากับแม่หนูนี่ก็ไร้วาสนาที่จะได้พานพบกันอีกครา นอกจากนั้น ข้าได้ยินจากผู้อาวุโสก่อนหน้านี้ว่ามีเรื่องอยากจะถามข้าน้อยสักหน่อย ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใด หากข้าน้อยทราบ ย่อมบอกท่านอย่างแน่นอน” หญิงสาวถามอีกครั้งด้วยความเคารพ

“แม้ว่าจะเป็ฯเรื่องบังเอิญที่ข้าได้ช่วยกั่วเอ๋อร์ ทว่าเหตุผลที่ดึงดูดข้าในตอนแรกก็มาจากร่างกายของนางเอง ข้าได้ยินจากกั่วเอ๋อร์ว่า ก่อนหน้านี้เจ้ายังอยู่ในระดับก่อกำเนิด ตอนนี้กลับมีพลังยุทธ์ในระดับหลอมสุญตา ความก้าวหน้าที่รวดเร็วเช่นนี้ ท่านนักพรตคงจะพบเจอเรื่องบางอย่างในช่วงเวลานี้กระมัง” หานลี่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“พลังยุทธ์ของข้าน้อยเดิมทีก็อยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายแล้ว อีกทั้งไม่กี่ปีมานี้ได้พานพบโอกาสอันดีมากมาย จึงทำให้ข้าน้อยสามารถเลื่อนได้ถึงสองระดับในเวลาสั้นๆ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงระดับหลอมสุญตา ทว่าเกี่ยวกับร่างกายของกั่วเอ๋อร์ที่ท่านเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ คือ…” หญิงสาวยังคงมีท่าทีไม่เข้าใจ

“ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะมีเวลาน้อยไป กั่วเอ๋อร์จึงไม่ได้อธิบายรายละเอียดให้ท่านฟังก่อนหน้านี้ เช่นนั้นให้ข้าอธิบายเรื่องนี้ด้วยตนเองเถิด” หานลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าน้อยจะตั้งใจฟังด้วยความเคารพ” จิตใจของหญิงสาวนิ่งสงบและตอบอย่างเคร่งขรึม

“วิทยายุทธ์ที่กั่วเอ๋อร์ฝึกฝนคือเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์ เจ้าทราบเรื่องนี้หรือไม่” หานลี่กล่าว

“วิทยายุทธ์นี้เป็นตัวข้าที่ถ่ายทอดให้นางเอง เหตุใดจึงจะไม่ทราบ” หญิงสาวมองไปที่กั่วเอ๋อร์เล็กน้อยก่อนตอบกลับอย่างสงบ

“ทว่าตามที่กั่วเอ๋อร์เล่าให้ฟัง วิทยายุทธ์หลักที่เจ้าฝึกฝนมิใช่วิทยายุทธ์นี้ ทว่าเป็นเคล็ดวิชาปราณพิสุทธิ์ที่พบได้ทั่วไปในบรรดานักพรต ที่ข้าอยากรู้คือ เจ้าได้รับวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์มาจากผู้ใด” หานลี่ถามอีกครั้งอย่างสงบ

“ที่แท้ท่านผู้อาวุโสต้องการถามเรื่องนี้…เรื่องนี้เป็นเรื่องยากสำหรับข้าเล็กน้อย เคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์ที่กั่วเอ๋อร์ครอบครองอยู่ ที่จริงแล้วข้าน้อยได้รับมาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่ง ทว่าข้าน้อยเคยสาบานว่าหากกั่วเอ๋อร์ไม่ได้ฝึกฝนวิทยายุทธ์นี้ไปถึงระดับหนึ่งและปราศจากคำยินยอมของผู้อาวุโสท่านนี้ ข้าจะไม่มีทางบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้นั้นให้แก่ผู้อื่นอย่างแน่นอน” ใบหน้าของหญิงสาวเต็มไปด้วยความลังเล

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ได้คำตอบแล้ว ข้าขอถามเจ้าอีกอย่าง ผู้ที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้เจ้าเป็นชายหรือหญิง ไม่ต้องห่วง เจ้าสามารถบอกข้าได้ หากเจ้าของเคล็ดวิชานี้เป็นผู้ที่ข้าคิดไว้ล่ะก็ นางกับข้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก เป็นมิตรมิใช่ศัตรู ข้าอยากจะเจอนางด้วยตนเองสักหน่อย” หานลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“ผู้ที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาเคล็ดวิชาวัฏจักรสตรีพรหมจารีย์ให้แก่ข้าน้อย เป็นหญิงสาวผู้หนึ่งจริงๆ หากท่านเป็นคนรู้จักเก่าแก่ของนางจริง ข้าจะยอมยกเว้นเพื่อส่งข้อความไปหาผู้อาวุโสท่านนั้นเพื่อสอบถามว่านางเต็มใจที่จะมาพบเจอหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้ว ผู้อาวุโสหานคือผู้บำเพ็ญเพียรในระดับมหาเมธี อีกทั้งยังเคยช่วยกั่วเอ๋อร์ไว้ คิดว่าท่านผู้นั้นคงจะไม่ตำหนิข้าน้อย แต่หากผู้อาวุโสท่านนั้นปฏิเสธที่จะพบเจอ ข้าน้อยก็ทำอะไรไม่ได้” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดหญิงสาวก็กัดฟันเอ่ยออกมา

“นี่แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าเพียงบอกเรื่องราวของข้าและชื่อที่แท้จริงของข้าก็พอแล้วล่ะ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ข้าจะจดจำความมิตรภาพของท่านไว้อย่างแน่นอน” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหานลี่

“ข้าน้อยมิกล้า ผู้อาวุโสมีพระคุณต่อกั่วเอ๋อร์เป็นอย่างมากจนมิสามารถตอบแทนได้ ผู้อาวุโสหานโปรดรอสักครู่ ข้าจะส่งข้อความถึงผู้อาวุโสท่านนั้น” หญิงสาวเอ่ยด้วยความเคารพ แล้วหยิบศาสตรายุทธ์ที่มีรูปลักษณ์เป็นจี้หยกออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากใช้นิ้วมือเขียนตัวอักษรจำนวนหนึ่งบนพื้นผิวอย่างรวดเร็ว จึงใช้นิ้วมือทั้งห้าส่งพลังทำลายจี้หยกนั้นเป็นผุยผงจนเกิดเสียง ปัง! ทันใดนั้นมีแสงสีขาวหลายจุดกระจัดกระจายออกจากผงหายไปในความว่างเปล่า

ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องลับลึกลับที่ทางออกถูกน้ำแข็งปิดผนึกไว้ พลันมีเสียง ปึง! ดังขึ้นเบาๆ หญิงสาวชุดขาวที่นั่งสมาธิอยู่บนวงล้อสีเงิน สะบัดมืออันเรียวยาวของนางครั้งหนึ่ง ที่ด้านหน้าเกิดความผันผวนขึ้น ข้อความแสงสีขาวปรากฏขึ้นหลายบรรทัดปรากฏขึ้นอย่างน่าประหลาด

หญิงสาวเพียงเหลือบมองเล็กน้อย ร่างกายสั่นคลอนเบาๆ สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ข้อความเหล่านี้พลันหายไปในอากาศ นิ้วมือเรียวยาววาดไปมาในความว่างเปล่าที่เดิมมีข้อความอยู่ ปรากฏข้อความสีเงินขึ้นอีกครั้งแล้วก็กะพริบหายไปในอากาศดังเดิม

และในเวลานี้เช่นกัน เกิดเสียงแหวกอากาศขึ้นเหนือหุบเขาด้านนอกห้องลับ รุ้งแสงหลายสายพุ่งมาจากระยะไกล

อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวที่กำลังยืนรอข่าวอยู่ข้างหานลี่ มีเสียงดังออกมาจากแขนเสื้อของนาง จึงรีบสะบัดแขนเสื้อแล้วนำจี้หยกอีกก้อนออกมา

บนจี้หยกนี้ มีข้อความจางๆ หลายตัวอักษรไหลเวียนอยู่อย่างช้าๆ

หญิงสาวมองให้ละเอียดถี่ถ้วน จึงหันมากล่าวกับหานลี่ด้วยความยินดีอย่างยิ่งว่า

“ผู้อาวุโสหาน ผู้อาวุโสท่านนั้นรับปากว่าจะมาพบท่านในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหานลี่ก็เปล่งประกายด้วยความดีใจอย่างหาได้ยาก หลังกล่าวขอบคุณหญิงสาว เขาก็เริ่มสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสี่ยวหลิงเทียน

แม้เรื่องบางเรื่องของเสี่ยวหลิงเทียนเขาจะรู้มาบ้างจากจูกั่วเอ๋อร์แล้ว ทว่าตอนนี้มารับรู้อีกครั้งจากหญิงสาวที่อยู่ที่นี่ ย่อมชัดเจนและเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น

หลังจากการสนทนาเกือบครึ่งชั่วยาวสิ้นสุดลง หานลี่ก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยปฏิเสธคำชักชวนของหญิงสาวที่ชักชวนให้อยู่ที่นี่ต่อ แล้วออกจากห้องโถงใหญ่ เหาะกลับขึ้นไปยังเรือศักดิ์สิทธิ์วิญญาณน้ำหมึกที่อยู่เหนือยอดเขาอีกครั้ง

เรือยักษ์ลำนี้จอดอยู่ระหว่างยอดเขาหลายลูกอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด

ในเวลานี้ มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงจำนวนหนึ่งจากยอดเขาอื่นๆ ใกล้เคียงมาสอดส่องความเคลื่อนไหว ทว่าไม่มีใครกล้าที่จะสร้างความขัดแย้งกับหานลี่ ต่างก็หยุดสังเกตการณ์สถานการณ์ทั้งหมดบนเรือยักษ์อยู่ในที่ไกลลิบลิบอย่างระมัดระวัง

ทว่ามีบางคนที่เห็นหานลี่ออกมาจากที่พำนักของหญิงสาว บ้างส่งศิษย์ในสำนักออกไป บ้างไปทักทายด้วยตนเอง โดยหวังว่าจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับหานลี่จากที่นี่

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+