Abe the Wizard 22 ลอบโจมตี

Now you are reading Abe the Wizard Chapter 22 ลอบโจมตี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

AtW ตอนที่ 22 ลอบโจมตี

 

ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย

 

ในชั่วพริบตานั่นเอง มีชายร่างยักษ์คนหนึ่งกำลังถือดาบยาวโผล่พรวดออกมาจากผ้าม่านของรถม้าคันนี้ – ชายคนนั้นก็คืออัศวินมาแชลนั่นเอง ก่อนที่คนรับใช้ของโจชัวจะได้แตะต้องคนขับรถม้า พลังลมปราณจากตัวของอัศวินมาแชลก็ได้ไหลออกมาเคลือบดาบยาวของเขา อัศวินมาแชลไม่รอช้าใช้ดาบของเขาตัดผู้รับใช้คนนั้นและม้าออกเป็นสองท่อนในทันที เลือดจากร่างกายของผู้รับใช้ผู้โชคร้ายนั้นกระจายไปทั่วบนพื้นดิน บริเวณโดยรอบของรถม้าถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือดทันที

 

ผู้รับใช้คนอื่นๆ ของโจชัวนั้นตกอยู่ในอาการหวาดกลัวทันที อัศวินมาแชลได้สังหารหนึ่งในพวกพ้องของพวกเขาไปอย่างไร้ความปราณี อัศวินมาแชลยังเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไม่หยุดพัก เขากระโดดไปที่ม้าด้านหน้าของรถม้าก่อนที่จะใช้ดาบยาวของเขาฟันไปที่คอของผู้รับใช้อีกคนทันที ก่อนที่ผู้รับใช้คนนั้นจะมีเวลาตอบโต้อัศวินมาแชล หัวของผู้รับใช้คนนั้นก็กระเด็นหลุดออกมาจากคอของเขาก่อนแล้ว หัวของชายผู้โชคร้ายคนนั้นตกอยู่ใกล้ๆ กับม้าที่โจชัวขี่มา

 

โจชัวตกตะลึงกับฉากที่น่าสะเทือนใจนี้ ร่างกายของเขารู้สึกหมดแรงทันทีและตกลงจากหลังม้าไปในที่สุด

 

ภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น อัศวินมาแชลได้จัดการผู้รับใช้ของโจชัวไปแล้วกว่า 7 คน อีก 5 คนได้ลงจากหลังม้าไปแล้ว พวกเขากำลังถือดาบด้วยความสั่นกลัวอยู่บนพื้นดิน คู่ต่อสู้ของพวกเขาเป็นถึงกับเจ้าหน้าที่อัศวินผู้ที่สามารถใช้พลังลมปราณในการต่อสู้ได้อย่างชำนาญ หลังจากที่ได้เห็นพลังที่แท้จริงของอัศวินเหล่าผู้รับใช้ทุกคนก็คงได้รับประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดแบบนี้ติดอยู่ทั้งตลอดชีวิตที่เหลือของพวกเขาอย่างแน่นอน

 

อาเบลตกตะลึงในความร้ายกาจและตรงไปตรงมาของอัศวินมาแชล โดยปกติแล้วอัศวินมาแชลจะเป็นคนที่ยิ้มแย้มและดูเป็นมิตรอยู่ตลอดเวลา แต่ในเวลาที่อัศวินมาแชลเอาจริงเองเขาก็ไม่เคยปราณีให้กับศัตรูคนไหน นี้เป็นเหมือนกับความประทับใจใหม่ที่อาเบลมีให้พ่อบุญธรรมคนนี้ไปโดยปริยาย

 

“ท่าน…อัศวินผู้ยิ่งใหญ่ ผมเป็นลูกชายคนโตของลอร์ดโจเอล ผะ..ผมยอมแพ้แล้วครับ ได้โปรดจับผมเป็นขุนนางเชลยศึกด้วย” โจชัวพูดติดๆ ขัดๆ ต่อหน้าอัศวินมาแชล

 

ชื่อ “ขุนนางเชลยศึก” เป็นชื่อที่เรียกเหล่าขุนนางที่คิดก่ออาชญากรรมในช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น

 

ตามระบบการปกครองของเหล่าอัศวินแล้ว การชนะหรือแพ้ในการต่อสู้ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เหล่าอัศวินได้สู้อย่างสมเกียรติ เต็มความสามารถต่อหน้าศัตรูนั่นเอง ดังนั้นการเป็นเชลยศึกสำหรับเหล่าอัศวินนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลย

 

ยิ่งไปกว่านั้นเองเหล่าอัศวินทั้งหลายส่วนใหญ่จะมีทั้งอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ หลังจากที่อัศวินนั้นจับเชลยศึกมาได้ ฝ่ายของเชลยศึกจะต้องจ่ายค่าปรับเพื่อเป็นการไถ่โทษนั่นเอง ในอดีตเองก็เคยมีการไถ่โทษในลักษณะแบบนี้มาก่อน หากมีอัศวินหรือขุนนางระดับสูงถูกจับเป็นเชลยศึก อัศวินหรือขุนนางที่มีตำแหน่งต่ำกว่าจะต้องเสียสละตัวเองเพื่อเป็นตัวประกันแลกกับการไถ่ตัว

 

การต่อสู้ระหว่างขุนนางด้วยกันเองนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากในสมัยก่อน การถูกจับตัวเป็นนักโทษแบบนี้จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ดังนั้นเชลยศึกจะได้รับการดูแลอย่างดีและปล่อยตัวเมื่อแลกกับค่าไถ่ที่เหมาะสมนั่นเอง

 

อัศวินมาแชลกำลังยืนเย้ยหยันอัศวินฝึกหัดที่กำลังนั่งสิ้นหวังอยู่บนพื้นดินต่อหน้าเขา อัศวินฝึกหัดคนนี้ยอมแพ้ให้กับอัศวินมาแชลก่อนที่จะได้สู้กันจริงๆ ซะอีก อัศวินมาแชลกลัวว่าถ้าเขาจัดการกับสถานการณ์ที่เกี่ยวกับขุนนางแบบนี้ไม่ดีจะทำให้เชลยศึกคนนี้เป็นขุนนางเชลยศึกไปแทน

 

“โจชัวเองหรอ?” อาเบลพูดในขณะที่กำลังเดินลงมาจากรถม้า อาเบลมองเห็นโจชัวที่กำลังนั่งหมดหวังอยู่บนพื้นดิน อาเบลไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชายคนนี้จะพาคนมาลอบโจมตีอาเบลเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก่อนหน้านี้

 

“ลูกรู้จักเขาหรออาเบล?” อัศวินมาแชลหันมาถามอาเบล อัศวินมาแชลเริ่มเดาได้แล้วว่าทำไมชายคนนี้ถึงได้มาโจมตีรถม้าของพวกเขา แต่ถึงแม้ชายคนนี้จะมีความขัดแย้งและไม่พอใจอาเบลในเมืองแค่ไหน แต่การที่รวบรวมกำลังคนและวางแผนโจมตีแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้ง่ายๆ

 

หลังจากคิดปะติดปะต่อเรื่องอยู่พักหนึ่ง อัศวินมาแชลก็ได้ตัดสินใจให้อาเบลพูดคุยกับโจชัวแทน นี้อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่จะฝึกฝนทักษะการตัดสินใจของอาเบลได้

 

“อาเบล ลูกต้องการจะจัดการกับเขายังไง?” อัศวินมาแชลถามอาเบล

 

อาเบลไม่ได้สนใจเลยว่าคนอย่างโจชัวจะอยู่หรือตาย แต่การตัดสินใจใดๆ ก็ตามจะทำให้ทั้งตัวอาเบลและอัศวินมาแชลได้ทั้งประโยชน์และโทษเช่นกัน ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือในตอนนี้โจชัวไม่ได้ไร้ค่าไปซะทีเดียว

 

อาเบลตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากโจชัว อาเบลหวังว่าอัศวินมาแชลคงจะเห็นด้วยกับความคิดเขา

 

“ผมว่าจับเขากลับปราสามของพวกเราดีกว่า โจชัว ผมจะให้คุณได้เป็นเชลยสงครามผู้สูงศักดิ์ในปราสาทเอง”

 

หลังจากที่อัศวินมาแชลได้ฟังความคิดเห็นของอาเบล เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ อาเบลไม่ได้ปล่อยให้ความโกรธแค้นครอบนำจิตใจของเขา เขากลับใช้ประโยชน์จากความร่ำรวยที่ครอบครัวของโจชัวมีเพื่อที่จะพัฒนาปราสาทที่อยู่ของเขาต่อไป

 

ความคิดของอาเบลนั้นค่อนข้างจะเรียบง่าย โจชัวเองมีความสามารถในฐานะอัศวินฝึกหัดอยู่ ดังนั้นโจชัวจะสามารถโจมตีอาเบลได้ถ้าหากอาเบลประมาท อาเบลจึงตัดสินใจอย่างเรียบง่าย การตัดสินใจของอาเบลนั้นก็คือการมัดพวกเขาเอาไว้นั่นเอง

 

อาเบลได้เอาเข็มขัดของเหล่าผู้รับใช้โจชัวทั้ง 5 คนออกมา จากนั้นอาเบลก็ได้ใช้เข็มขัดของตัวพวกเขาเองมัดมือของเหล่าผู้รับใช้ทั้งหลาย

 

นอกเหนือจากม้าที่โชคร้ายที่ถูกสับจนขาดเป็นสองท่อนโดยอัศวินมาแชล อาเบลได้เช็คจำนวนม้าที่เหลืออยู่ ถ้าหากรวมม้าที่เป็นของอัศวินมาแชลด้วยก็จะมีม้าทั้งหมดที่ยังรอดชีวิตอยู่ 11 ตัวด้วยกัน อาเบลได้เรียงม้าทั้ง 11 ตัวไว้ก่อนที่จะเริ่มเดินทางต่อไป ตอนนี้อาเบลกำลังนั่งอยู่บนม้าสีแดงเพลิงของโจชัวด้านหลังสุดของขบวนแถว

 

โจชัวเองก็ถูกจับต่อแถวและถอดเข็มขัดด้วยเช่นเดียวกัน แม้ว่าเข็มขัดของโจชัวจะถูกถอดออกแต่อาเบลก็ไม่ได้ใช้เข็มขัดเส้นนั้นมัดมือของโจชัวไว้ ถ้าหากทำเช่นนี้แล้วโจชัวจะไม่กล้าวิ่งงหนีไปไหนเพราะจะกลัวกางเกงหลุดนั่นเอง จริงๆ แล้วนั้นเป็นเพียงเหตุผลส่วนเดียวเท่านั้น ในความจริงแล้วไม่มีเด็กคนไหนที่จะกล้าหนีเจ้าหน้าที่อัศวินอย่างมาแชลคนนี้ ระดับพลังของพวกเขามันต่างกันเกินไป

 

จนตอนนี้โจชัวตระหนักได้แล้วว่าเขาได้โจมตีเจ้าของปราสาทแฮรี่ไป ชายคนที่โจชัวเคยเรียกว่าเป็นช่างตีเหล็กตัวเล็กๆ นั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้สืบทอดของปราสาทแฮรี่นั่นเอง ถ้าโจชัวกลับไปได้สิ่งแรกที่เขาจะทำก็คือฆ่าผู้รับใช้ที่รับหน้าที่ไปสอดแนมอาเบลนั่นเอง ผู้รับใช้คนนี้ไม่ได้รายงานเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับการสอดแนมให้โจชัวรู้

 

หลังจากที่อาเบลและอัศวินมาแชลกลับมาถึงปราสาทแฮรี่พร้อมกับเชลยศึกทั้งหลาย อาเบลก็ได้ส่งมอบให้พ่อบ้านลินด์เซ่รับผัดชอบดูแลเรื่องการชำระค่าไถ่ต่อไป เชลยศึกทั้งหมดนี้จะไม่ได้รับการสอบสวนใดๆ จากทางปราสาทแฮรี่ สิ่งเดียวที่พ่อบ้านลินด์เซ่จะทำนั้นก็คือการระบุสถานะของเชลยและเจรจาเรื่องของจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายนั่นเอง

 

หลังจากที่อาเบลกลับมาแล้ว เขาก็เริ่มทำงานประจำเหมือนกับทุกๆ วันที่อาเบลได้ทำ หลังมื้อเช้าของทุกวันอาเบลจะออกกำลังกายก่อนที่จะไปฝึกตีดาบในโรงตีเหล็ก ในเวลากลางคืนเองอาเบลก็จะฝึกฝนเทคนิคการหายใจของอัศวิน สุดท้ายแล้วอาเบลก็จะต้องนอนหลับนั่นเอง

 

วันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือน อาเบลได้สร้างดาบแห่งร้อยทักษะได้ถึง 5 เล่มแล้ว ดาบที่อาเบลสร้างมาใหม่ทั้งหมดใช้เพียงเทคนิคจากโลกใบนี้เพียงเท่านั้น อาเบลไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอย่างคาร์บูไรเซชั่นหรือการชุบคาร์บอนแต่อย่างใด การตีเหล็กโดยใช้เทคนิคจากโลกใบนี้เท่านั้นจะทำให้อาจารย์ของอาเบลอย่างเบธแฮมเองมีความสุขนั่นเอง แต่อาเบลเองก็ได้ประโยชน์เช่นกัน ไม่ว่าจะมีเทคนิคลับเสริมความแข็งแกร่งมากมายขนาดไหน แต่พื้นฐานสำหรับการตีดาบเองก็ยังคงสำคัญที่สุดอยู่ดี

 

เช้าวันหนึ่ง อาเบลที่กำลังอยู่ในโรงตีเหล็กก็ถูกเบธแฮมเรียกตัวไปคุยเป็นการส่วนตัว

 

อาเบลได้เดินตามอาจารย์เบธแฮมเข้าไปที่ห้องสำนักงานส่วนตัวของเบธแฮม ทันทีที่เข้ามาเบธแฮมก็ได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากในกล่องเหล็กมุมบนชั้นหนังสือมุมหนึ่งภายในห้องสำนักงานนี้ “อาจารย์ของฉันคือช่างตีเหล็กเผ่าคนแคระ เขามีนามว่าโรบิน ตอนนี้ท่านอาจารย์ของฉันได้ถูกเรียกตัวไปช่วยในสงครามคนแคระที่ร่วมมือกับมนุษย์เพื่อต่อสู้กับพวกออร์คนั่นเอง”

 

ดวงตาของอาจารย์เบธแฮมเริ่มเปล่งประกายทันทีเมื่อเขาพยายามนึกถึงคืนวันที่ดีที่ได้อยู่กับอาจารย์คนนี้ สุดท้ายแล้วเบธแฮมก็ได้พูดถึงเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของเขาก่อนที่จะเป็นช่างตีเหล็กที่มีชื่อเสียงในดินแดนแห่งนี้ได้

 

“ในคืนวันตอนที่ฉันได้อยู่กับอาจารย์ช่างเป็นคืนวันที่ดีในช่วงชีวิตจริงๆ ในตอนนั้นฉันได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เผ่าพันธุ์คนแคระเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพรสวรรค์ในด้านของการหลอมเหล็กและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมาย พวกคนแคระได้ใช้เวลากว่าหลายพันปีที่ผ่านมาพัฒนาเทคนิคการหลอมเหล็กและตีดาบจนสมบูรณ์แบบจนได้ เคยมีตำนานได้เล่าเอาไว้ว่า คนแคระคนไหนที่มีพลังอำนาจและทรงพลังมากที่สุด เขาคนนั้นจะได้สร้างสิ่งประดิษฐ์ให้กับพวกเหล่าทวยเทพนั่นเอง”

 

“นอกเหนือจากการสร้างอาวุธธรรมดาทั่วไปแล้ว ท่านอาจารย์โรบินของฉันยังสามารถทำอาวุธเวทย์มนตร์ได้อีกด้วย ฉันจำได้เลยในตอนที่ฉันเห็นอาวุธเวทย์มนตร์นั่นครั้งแรก ในตอนนั้นฉันก็ได้ตัดสินใจที่จะอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อเป็นช่างตีเหล็กแบบอาจารย์ของฉันให้ได้ ฉันได้บอกกับตัวเองเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งจะสร้างอาวุธเวทย์มนตร์แบบที่อาจารย์โรบินทำ”

 

“ฉันพยายามอย่างหนักที่จะฝึกฝนจนเชี่ยวชาญในสิ่งที่อาจารย์โรบินได้สอนฉันทั้งหมด และในวันหนึ่งเองฉันก็ได้เข้าใจทุกอย่างแล้ว วันนั้นฉันได้ขอให้อาจารย์โรบินสอนฉันทำอาวุธเวทย์มนตร์ อาจารย์ของฉันปฏิเสธไป เขาบอกเพียงแค่ว่าฉันนั้นมันไร้พรสวรรค์”

 

อาจารย์เบธแฮมดูโศกเศร้าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องในตอนนั้น “อย่างไรก็ตามอาจารย์โรบินของฉันก็ได้สอนทุกสิ่งทุกอย่างที่ช่างตีเหล็กควรจะมีจนหมด และนี่ก็คือคู่มือการทำอาวุธเวทย์มนตร์นั่นเอง”

 

“หลังจากที่ฉันศึกษาคู่มือนี้อย่างละเอียดแล้วฉันก็รู้ว่าทำไมอาจารย์โรบินถึงได้พูดแบบนั้นกับฉัน สาเหตุที่ฉันไม่สามารถที่จะสร้างอาวุธเวทย์มนตร์ได้นั่นก็เพราะว่าฉันไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณนั่นเอง พลังของจิตวิญญาณผู้สร้างนั้นเป็นพลังที่สำคัญที่สุดสำหรับการทำอาวุธเวทย์มนตร์ พลังจิตวิญญาณนี้เองจะทำให้พลังเวทย์มนตร์ในอาวุธนั้นถูกปลดปล่อยออกมาได้ แต่คนส่วนใหญ่ที่จะมีพลังจิตวิญญาณนั้นจะกลายเป็นพวกจอมเวทย์ไป ไม่มีใครที่มีพลังจิตวิญญาณแล้วจะอยากเป็นช่างตีเหล็ก…จนกระทั่งฉันได้พบกับนายยังไงล่ะ”

 

อาเบลที่ได้ฟังอยู่พักหนึ่งเริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที ตลอดเวลาที่อาเบลได้อยู่ที่ปราสาทแฮรี่ เขาพยายามที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับจอมเวทย์อยู่เสมอ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่อาเบลได้ยินคนพูดถึงเรื่องจอมเวทย์

 

“อาเบล ฉันมันแก่แล้ว ฉันรู้ดีว่าในชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันการทำอาวุธเวทย์มนตร์ให้สำเร็จได้คงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป แต่ในตอนนี้ฉันมีนายเป็นเหมือนกับลูกศิษย์ของฉัน ฉันคงทำได้แค่หวังว่าในสักวันหนึ่งนายจะสามารถสร้างอาวุธเวทย์มนตร์ขึ้นมาได้ ถ้าหากนายทำได้แล้วละก็ความฝันของฉันก็คงจะสำเร็จรุร่วงสักที” เบธแฮมพูดพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

 

“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะพยายามอย่างดีที่สุดเอง” อาเบลพยักหน้าตอบรับเบธแฮมอย่างจริงจัง

 

เบธแฮมได้หยิบหนังสือคู่มือเล่มยักษ์และยื่นให้กับมืออาเบล

 

ทันทีที่อาเบลรับหนังสือเล่มนี้มาเขาก็รู้สึกถึงน้ำหนักของหนังสือได้เป็นอย่างดี หนังสือเล่มนี้หนักเป็นอย่างมาก นี้คงจะเกี่ยวกับตำนานของพวกคนแคระ ถึงแม้ว่าคนแคระไม่ได้สูงเหมือนกับเผ่าพันธ์อื่นๆ แต่ลึกๆ แล้วพวกเขายังเชื่ออยู่เสมอว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเป็นลูกหลานของพวกยักษ์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้แล้วหนังสือเล่มนี้ก็เลยหนัก

 

เมื่ออาเบลเปิดอ่านหนังสือที่ได้รับมา เขาก็รู้ได้ทันทีว่าข้อมูลการสร้างอาวุธเวทย์มนตร์นั้นตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก หน้าแรก: อาวุธเวทย์มนตร์ประเภทไฟ ในตอนกลางของหน้าแรกนี้เองมีภาพวาดทั้งสองด้านของดาบเล่มหนึ่ง ด้านบนของดาบเล่มนั้นมีเครื่องหมายแปลกๆ อะไรบางอย่างอยู่ ในขณะที่ด้ามจับดาบเองก็มีส่วนเว้าอะไรบางอย่างอยู่ ตรงใกล้ๆ กับส่วนเว้ามีข้อความเขียนว่า “ใส่อัญมณีแห่งไฟที่นี่” ที่ด้านล่างของหน้าแรกเองมีข้อมูลและฟังก์ชั่นของอาวุธเวทย์มนตร์ประเภทไฟนี้อยู่ด้วย โดยข้อมูลนั้นจะประกอบไปด้วยสูตรการสร้างและพลังการต่อสู้ของอาวุธนั่นเอง

 

หน้าที่สอง: อาวุธเวทย์มนตร์ประเภทน้ำแข็ง โดยรวมแล้วในหน้านี้มีรูปแบบการเขียนและภาพที่คล้ายคลึงกับหน้าแรกเป็นอย่างมาก ในหน้าที่สองมีภาพวาดทั้งสองข้างของดาบอยู่ที่ส่วนกลางของหน้ากระดาษ ส่วนท้ายของกระดาษเองก็อธิบายถึงสูตรการสร้างและความสามารถของอาวุธประเภทน้ำแข็งอันนี้

 

หน้าที่สามเองเป็นหน้าที่บอกเกี่ยวกับการสร้างอาวุธเวทย์มนตร์สายฟ้า ส่วนหน้าที่สี่นั้นจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างอาวุธเวทย์มนตร์ที่มีพิษ

 

หนังสือที่เบธแฮมได้มอบให้กับอาเบลนั้นมีทั้งหมดเพียง 4 หน้าเท่านั้น อาเบลกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจของเขา “คนแคระพวกนี้บ้าไปแล้วหรอไง ทำไมถึงต้องสร้างหนังสือที่มีขนาดมหึมาและหนักขนาดนี้ ในหนังสือเล่มนี้มีเพียง 4 หน้าเท่านั้น” แต่เมื่ออาเบลหันกลับไปมองที่เบธแฮมแล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปในทันที อาเบลได้แต่คิดในใจว่าเขาโชคดีแค่ไหนที่ไม่ได้พูดความคิดก่อนหน้านี้ออกไปให้เบธแฮมฟัง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด