Abe the Wizard 26 เยี่ยมชมร้านเอ็ดมันอีกครั้ง
AtW ตอนที่ 26 เยี่ยมชมร้านเอ็ดมันอีกครั้ง
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
หลังจากที่จบการประเมินเบธแฮมและอัศวินมาแชลนั้นจะต้องคุยกันถึงเรื่องธุรกิจของพวกเขาต่อไป ดังนั้นแล้วอัศวินมาแชลจะส่งคนมารับอาเบลกลับปราสาทแฮรี่หลังจาก 2 ชั่วโมงนับตั้งแต่จากนี้เป็นต้นไป อาเบลนั่งบนรถม้าของเขาเพื่อที่จะเดินทางไปที่ร้านเอ็ดมัน
ตอนนี้อาเบลเดินทางมาถึงร้านเอ็ดมันอีกครั้งแล้ว แต่วันนี้ดูเหมือนว่าวีเว็ตต์จะไม่อยู่เหมือนครั้งแรกที่อาเบลได้มา ดังนั้นแล้วอาเบลจึงได้ไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ของผู้ช่วยชายคนหนึ่ง “คุณวีเวตต์อยู่ไหมครับ? ผมกำลังอยากพบเธอ”
เนื่องจากอาจารย์เบธแฮมของอาเบลนั้นได้ทิ้งอาเบลให้อยู่ภายในเมืองฮาเวสแห่งนี้เพื่อที่จะไปคุยถึงเรื่องธุรกิจ อาเบลในตอนนี้ยังคงสวมใส่ชุดผ้าฝ้ายสีเทาไว้อยู่ ชุดของอาเบลนั้นมีรอยไหม้จากประกายไฟในตอนที่ตีดาบนั่นเอง นอกจากนั้นตัวอาเบลเองก็ยังดูเด็กมาก ตอนนี้อาเบลเป็นเหมือนกับประชาชนคนใช้แรงงานธรรมดาๆ เท่านั้น
แต่อาเบลก็ต้องแปลกใจเพราะผู้ช่วยชายคนนี้ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับเขาเลย คงเป็นเพราะว่าผู้ช่วยชายคนนี้เห็นอาเบลลงมาจากรถม้านั่นเอง ไม่ว่าอาเบลนั้นจะมาจากไหนแต่การที่จะลงมาจากรถม้าได้ก็ทำให้ผู้ช่วยชายนั้นเข้าใจสถานะของตัวอาเบลได้ในทันที ดังนั้นแล้วผู้ช่วยชายคนนี้จึงไม่เลือกที่จะปฏิบัติกับอาเบลเลย หากทำอะไรที่ไร้ความรับผิดชอบลงไปแล้วผู้ช่วยชายคนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะตกงานได้นั่นเอง ดังนั้นแล้วเขาจึงต้อนรับอาเบลอย่างสุภาพและให้อาเบลนั่งรอที่เก้าอี้ของร้านเอ็ดมันนี้ หลังจากที่อาเบลนั่งรอได้ไม่นานก็มีบริกรคนหนึ่งนำกาแฟหนึ่งถ้วยมาให้กับอาเบลจากนั้นบริกรคนนั้นก็ขึ้นไปที่ชั้นบนเพื่อจะตามวีเว็ตต์ลงมา
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงพูดของใครบางคนที่ฟังดูไม่พอใจดังขึ้น
“นายคิดว่านายเป็นใครกัน? คิดว่าพวกบ้านนอกอย่างนายจะมานั่งในร้านเอ็ดมันแบบนี้ได้อย่างงั้นหรอ? นายคงจะมานั่งที่นี่เพื่อกินกาแฟฟรีๆ สินะ?”
อาเบลมองไปรอบๆ อย่างลังเลก่อนที่จะพบว่าเสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่นี้ไม่ได้ต่อว่าใครอื่นเลยนอกจากตัวอาเบลเอง ตัวอาเบลนั้นคุ้นเคยการแบ่งแยกชนชั้นในโลกแห่งนี้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่มีใครเลยที่กล้าดูถูกอาเบลเพราะการแต่งตัวของเขาในร้านเอ็ดมันร้านนี้มาก่อน อาเบลมองชายคนที่กำลังดูถูกเขาอยู่
คนที่เรียกอาเบลว่าเป็นพวกบ้านนอกนั้นเป็นชายร่างสูงใหญ่อายุราวๆ สัก 30 ปี ชายคนนี้มีใบหน้าที่แห้งราวกรังราวกับว่าเป็นทะเลทรายก็ว่าได้ เขาสวมชุดเดรสสีดำที่มีลายของกิ่งไม้อยู่ทั่วตัว ถ้าดูชุดตัวนี้ควบคู่ไปกับร่างกายอันสูงใหญ่และท่าทางการยืนนั้นอาเบลรู้สึกได้ทันทีว่าชายคนนี้เหมือนกุ้งที่ขดงอตัวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
“คุณกำลังพูดถึงผมอยู่รึเปล่า? ” อาเบลถามชายคนนั้นด้วยน้ำเสี่ยงที่ดูไม่เป็นมิตรและไม่พอใจเท่าไร
“พยายามได้ดีนิ ที่แกล้งทำเป็นคนที่นายไม่มีวันได้เป็นได้น่ะ” ชายคนนั้นพูดกับอาเบลในขณะที่จ้องมองไปที่อาเบลอย่างไม่คาดสายตา ชายคนนั้นหัวเราะเยาะอาเบลในขณะที่เห็นเหรียญตราของช่างตีเหล็กอยู่บนอกของอาเบล ชายคนนี้ไม่เคยเห็นเหรียญตราแบบนี้มาก่อนในชีวิตเขาจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอาเบลนั้นเป็นใคร
“ถ้านายจะมาที่นี่เพื่อโชว์เหรียญช่างตีเหล็กแล้วอย่างน้อยนายก็น่าจะมาโชว์เหรียญที่ดูเหมือนจริงกว่านี้หน่อยนะ เหรียญของจริงมันไม่ดูปลอมและเรียวบางแบบนั้นไปได้หรอก! เด็กๆ ลากตัวชายคนนี้ออกจากร้านไปซะ!” ชายคนที่พูดดูถูกอาเบลกำลังพูดด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยเขาอยู่
“คุณครับได้โปรดออกไปจากร้านนี้ด้วย” ชายที่รับหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันสองคนได้เข้ามาพูดกับอาเบล
“ถ้าหากร้านเอ็ดมันไม่ได้ให้บริการผม ผมจะส่งเรื่องนี้ไปให้ศาลขั้นสูงเพือยืนยันสิทธิ์ของผมอย่างแน่นอน” อาเบลพูดในขณะที่กำลังถอดเสื้อคลุม ขณะที่ถอดเสื้อคลุมเองเผยให้เห็นตราสัญลักษณ์ยูนิคอร์นสีขาวที่อยู่บนแขนเสื้อคลุมของอาเบล อาเบลได้แสดงตราสัญลักษณ์นี้ให้กับผู้คุ้มกันทั้งสองคน
เมื่อผู้คุ้มกันสองคนเห็นสัญลักษณ์บนแขนเสื้อคลุมของอาเบลพวกเขาก็วิ่งหนีไปด้วยอาการตื่นตกใจ ชายผู้ที่เคยสงสัยในตัวอาเบลและเคยพูดดูถูกเขากำลังตกใจจนมีสีหน้าที่ซีดเซียว
ไม่มีใครในโลกใบนี้ที่กล้าจะปลอมแปลงแขนเสื้ออย่างแน่นอน การที่กล้าปลอมแปลงแขนเสื้อนั้นจะมีโทษสูงสุดนั้นคือการประหารชีวิตนั่นเอง แขนเสื้อนอกจากจะแสดงถึงฐานะและชนชั้นของผู้สวมใส่แล้วยังสามารถแสดงถึงสถานะของขุนนางได้อีกด้วย มีเพียงผู้สูงศักดิ์และผู้สืบทอดเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ที่จะใช้แขนเสื้อที่มีสัญลักษณ์ประจำตระกูลแบบนี้ได้
ศาลชั้นสูงนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องสิทธิของขุนนางนั่นเอง เมื่อศักดิ์ศรีและสิทธิ์ของผู้ที่เป็นขุนนานถูกละเมิด ศาลชั้นสูงนี้จะสามารถเข้าแทรกแซงเพื่อที่จะปกป้องสิทธิ์และความชอบธรรมด้วยกฎหมายของเหล่าขุนนางทันที อำนาจของศาลชั้นสูงนั้นเป็นสิ่งที่พลเมืองธรรมดาต้องทำตามเพียงเท่านั้น ศาลชั้นสูงมีอำนาจที่มากเกินไป พวกตุลาการของศาลชั้นสูงเองจะไม่ปราณีให้กับประชาชนคนธรรมดาเลย ในอดีตเคยมีประชาชนคนธรรมดาได้ละเมิดและดูหมิ่นศักดิ์ศรีของขุนนางคนหนึ่งเข้า สุดท้ายแล้วศาลชั้นสูงนี้เองก็ได้ตัดสินโทษของประชาชนคนนั้น โทษที่ว่าก็คือการเผาทั้งเป็นนั่นเอง
“เกิดอะไรขึ้น? วีเว็ตต์รีบลงมาจากบันไดอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสได้ว่าที่ชั้นล่างนั้นกำลังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เมื่อผู้คุ้มกันทั้งสองคนเห็นวีเว็ตต์พวกเขาก็รีบเดินไปหลบที่ข้างหลังเธอทันที
ไม่ทันที่วีเว็ตต์จะได้คำตอบเธอก็หันไปเหลือบมองสถานการณ์ภายในร้านอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเห็นเสื้อผ้าที่อาเบลกำลังใส่อยู่ วีเว็ตต์จึงเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างทันทีก่อนที่จะเอยคำขอโทษไปในที่สุด “สวัสดีค่ะ ฉันขอเป็นตัวแทนจากร้านเอ็ดมันเพื่อขอโทษคุณด้วยนะคะ”
ในขณะที่พูดขอโทษเองสายตาของวีเว็ตต์ก็เหลือบไปเห็นเหรียญตราที่แขวนอยู่บนหน้าอกของอาเบล “คุณเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กไปแล้วหรอคะ? ปรมาจารย์ช่างตีเหล็กลำดับที่ 36 ที่ผ่านการประเมินจากปรมจารย์ช่างตีเหล็กผู้ยิ่งใหญ่?” วีเว็ตต์พูดด้วยน้ำเสียงที่ตกใจและประหลาดใจ
“ถูกต้องแล้วครับคุณวีเว็ตต์ ผมชื่ออาเบลเอง ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าข่าวเรื่องนี้จะแพร่ไปเร็วขนาดนี้” อาเบลกำลังตกใจเพราะข่าวที่เขาผ่านการทดสอบนั้นถูกแพร่กระจายอย่างรวดเร็วแบบนี้ ดูเหมือนว่าข่าวนี้จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกแล้ว
“ท่านอาจารย์อาเบลพวกเราเพิ่งได้ทราบข่าวจากสำนักงานใหญ่มาว่าคุณผ่านการประเมินจากสหพันธ์ช่างตีเหล็กในเมืองฮาเวสแล้ว สำนักงานใหญ่ได้ขอร้องพวกเราให้เฝ้าติดตามคุณอย่างใกล้ชิด” วีเว็ตต์รีบหันไปมองชายคนที่เคยพูดดูถูกอาเบลก่อนที่จะบังคับให้ชายคนนั้นขอโทษในสิ่งที่ทำกับอาเบลไป “ทางร้านเอ็ดมันของเราจะลงโทษชายคนนี้ด้วยความยุติธรรมเองค่ะ”
เมื่อชายร่างสูงได้ยินสิ่งที่วีเว็ตต์พูดเขาก็คุกเข่าลงกับพื้นคล้ายกับคนเป็นอัมพาตที่ไม่ยอมลุกขึ้น คำพูดของวีเว็ตต์เป็นเหมือนกับชะตากรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ชายร่างสูงเองรู้ดีว่าชะตาที่ตัวเองได้เจอนั้นเป็นยังไง
อาเบลได้สวมเหรียญตราของช่างตีเหล็กนี้เข้ามาที่ร้านเอ็ดมันเพราะมีความตั้งใจอะไรบางอย่าง อาเบลต้องการที่จะเปิดประมูลขายดาบแห่งร้อยทักษะของเขาและดาบเวทย์เพลิงที่สร้างขึ้นนั่นเอง การที่อาเบลสวมเหรียญตราแบบนี้ไม่เพียงแต่จะขายดาบของเขาง่ายขึ้นแต่ยังสามารถดึงดูดเพื่อเป็นการโฆษณาที่จะชักชวนผู้คนให้มาประมูลดาบที่เขาสร้างมากขึ้นอีกด้วย สรุปแล้วเหรียญตราของช่างตีเหล็กนี้เองเป็นเหมือนกับสิ่งที่เพิ่มมูลค่าของอาวุธที่อาเบลสร้าง
“คุณวีเว็ตต์ครับ ผมมาที่นี่เพื่อที่จะขอให้คุณช่วยเปิดประมูลขายดาบที่ผมเป็นคนสร้างขึ้นมาให้หน่อย”
เมื่อวีเว็ตต์ได้ฟังสิ่งที่อาเบลพูดดวงตาของเธอก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที นี่เป็นเหมือนกับโอกาสที่ดีของเธอที่จะวางขายอาวุธที่ถูกสร้างขึ้นโดยปรมจารย์ช่างตีเหล็กในโรงประมูลของร้านเอ็ดมัน ถ้าหากการขายดาบที่อาเบลเป็นคนสร้างขึ้นสำเร็จแน่นอนว่านี้จะเป็นเหมือนกับผลงานครั้งยิ่งใหญ่ของวีเว็ตต์เอง แน่นอนว่าผลงานในครั้งนี้ย่อมดีกับหน้าที่การงานของวีเว็ตต์เองในอนาคต
“ขอบคุณมากนะคะที่เชื่อใจทางร้านเอ็ดมัน พวกเราจะขายผลงานของคุณให้ได้มากที่สุดเองค่ะ” วีเว็ตต์พูดของคุณอาเบลด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
อาเบลได้พูดต่อไปอีกว่า “อ๋อ ผมมีเงื่อนไขหนึ่งที่จะต้องบอกเอาไว้ อาวุธที่ถูกสร้างโดยตัวผมเองจะต้องไม่ถูกประมูลขายในเมืองฮาเวสนะครับ”
ตอนแรกวีเว็ตต์รู้สึกไม่เข้าใจเป้าหมายที่แท้จริงของอาเบลเท่าไรนัก แต่เมื่อเธอใช้เวลาวิเคราะห์เรื่องราวอยู่พักหนึ่งวีเว็ตต์ก็เข้าใจเหตุผลทุกอย่างในทันที เป็นเพราะตอนนี้ตระกูลแฮรี่นั้นมีร้านขายอาวุธร้านใหม่ภายในเมืองฮาเวสแห่งนี้ และอาเบลเองก็มีชื่อสกุลว่าแฮรี่ ดังนั้นแล้วอาเบลไม่ต้องการที่จะให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าอาวุธภายในร้านทั้งหมดนั้นเป็นของครอบครัวของอาเบลเพียงฝ่ายเดียว ถ้าหากลูกค้าทั้งหลายรวมไปถึงพ่อค้าขายอาวุธร้านต่างๆ คิดว่าครอบครัวของอาเบลนั้นเป็นผู้ผูกขาดในการขายอาวุธอยู่เจ้าเดียว ฐานลูกค้าของร้านขายอาวุธก็จะหายไปนั่นเอง
“ไม่มีปัญหาเลยค่ะท่านอาจารย์อาเบล” สำหรับวีเว็ตต์แล้วไม่สำคัญเลยว่าอาวุธที่ถูกสร้างจากอาเบลจะถูกจัดขายที่ไหน ตราบใดที่เธอมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบการขาย วีเว็ตต์เองก็จะได้รับเครดิตทั้งหมดอยู่ดี
ตอนนี้ผู้คุ้มกันทั้งสองคนของร้านก็ได้ไปที่รถม้าของอาเบลเพื่อที่จะขนอาวุธมาขายนั่นเอง อาเบลชี้ไปที่ดาบแห่งร้อยทักษะทั้ง 7 เล่มของเขา “ดาบพวกนี้เป็นอาวุธที่ผมสร้างขึ้นเองในตอนที่ผมกำลังฝึกอยู่ ดาบทั้งหมดนี้เป็นดาบแห่งร้อยทักษะ” จากนั้นอาเบลก็ชี้ไปที่ดาบเล่มหนึ่งที่ดูหรูหรากว่าดาบเล่มที่แล้วๆ มา “ส่วนดาบเล่มนี้จะต่างออกไปสักหน่อย ผมสร้างดาบเล่มนี้จากเทคนิคการสร้างดาบของเผ่าคนแคระ ผมตั้งชื่อมันว่า‘ดาบเวทย์เพลิงเวอร์ชั่นสุดหรูหราแห่งร้อยทักษะ‘ “
“เดี๋ยวก่อนนะ มันเป็นดาบเวทย์หรอ?”
แน่นอนว่าวีเว็ตต์เคยได้ยินมาก่อนว่าดาบเวทย์นั้นมีอยู่จริง ถึงแม้ว่าดาบเวทย์จะมีอยู่จริงแต่มันก็ไม่ใช่อาวุธที่จะหาได้ง่ายๆ เลย มันเป็นอาวุธระดับสูงนั่นเอง แม้แต่สำนักงานใหญ่ของร้านเอ็ดมันเองก็ยังไม่มีอาวุธเวทย์มนตร์ให้เห็นกันง่ายๆ
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นวีเว็ตต์เอง เธอได้ดึงดาบเวทย์เพลิงนี้ออกมาจากฝักดาบ แต่ดูเหมือนว่าดาบเล่มนี้จะหนักไปสำหรับผู้หญิง ดังนั้นแล้วเธอจึงถือดาบใหญ่เล่มนี้ด้วยสองมือที่บอบบางของเธอก่อนที่วีเว็ตต์จะพยายามนำดาบเล่มนี้ไว้บนเคาน์เตอร์เพื่อที่จะตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ทันใดนั้นเองหัวใจของอาเบลก็เต้นถี่มากยิ่งขึ้นเมื่ออาเบลเห็นว่าวีเว็ตต์กำลังจะทำอะไร อาเบลรีบตะโกนออกไปทันที “ระวัง!”
แต่มันก็สายเกินไปแล้ว ดาบเวทย์เพลิงของอาเบลได้หลุดมือของวีเว็ตต์ไป ในวินาทีที่ดาบเวทย์เพลิงนี้แตะพื้นเข้าก็ได้มีแสงสีแดงส่องประกายออกมาจากดาบเล่มนี้ “ตู้ม!” ดาบเวทย์เพลิงของอาเบลตกกระแทกเข้ากับพื้น ในเสี้ยววินาทีที่ดาบตกลงสู่พื้น พื้นบริเวณโดยรอบนั้นก็กลายเป็นสีดำสนิท และภายในร้านเอ็ดมันแห่งนี้เองก็เต็มไปด้วยกลิ่นอะไรบางอย่างที่คล้ายกับกลิ่นไหม้
อาเบลรีบหยิบดาบเวทย์เพลิงเล่มนี้ขึ้นมาจากพื้นและเก็บเข้าไปในฝักทันที วีเว็ตต์เองกำลังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หลังจากที่ดาบตกลงบนพื้นนั้น พื้นบริเวณโดยรอบก็เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นในทันที ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่วีเว็ตต์จะมานึกถึงความเสียหายแล้ว หลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดวีเว็ตต์เองก็ได้แต่ตบหน้าอกของตัวเองก่อนที่จะถอนหายใจในเวลาเดียวกัน ตอนนี้วีเว็ตต์มีประสบการณ์แล้วว่าดาบเวทย์เพลิงนั้นมีพลังที่รุนแรงมากขนาดไหน วีเว็ตต์จินตนาการต่อไปไม่ได้เลยว่าถ้าหากใช้ดาบเล่มนี้โจมตีใส่คนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น
“ท่านปรมจารย์ช่างตีเหล็กอาเบล ฉันจะขอคิดค่านายหน้าในการเปิดประมูลขายดาบ 2 เปอร์เซ็นต์ของราคาอาวุธทั้งหมด” ราคาค่านายหน้าที่วีเว็ตต์คิดเป็นราคาขั้นต่ำที่สุดนั่นเอง ปกติแล้ววีเว็ตต์ไม่เคยเสนอราคาที่ต่ำขนาดนี้ให้ใครมาก่อนแต่นี้เป็นเหมือนกับแทนคำขอบคุณในตัวอาเบลที่ได้เตือนวีเว็ตต์ให้ระวังก่อนหน้านี้
“ขอบคุณมากครับ คุณวีเว็ตต์” อาเบลเข้าใจรายละเอียดและขั้นตอนทั้งหมดก่อนที่จะเปิดประมูลดาบที่เขาสร้างแล้ว เพราะเหตุนั้นเองอาเบลจึงขอบคุณวีเว็ตต์
หลังจากที่ตกลงกันได้วีเว็ตต์ก็นำสัญญาออกมาให้กับอาเบลได้เซ็น หลังจากที่เสร็จสิ้นการตกลกกันดาบแห่งร้อยทักษะทั้ง 7 เล่มรวมไปถึงดาบเวทย์เพลิงสุดหรูหราก็ถูกทิ้งไว้ที่ร้านเอ็ดมันแห่งนี้เพื่อที่จะนำไปประมูลต่อไปนั่นเอง
หลังจากที่เสร็จสิ้นการตกลงกันกับร้านเอ็ดมันอาเบลเองก็ได้เดินทางไปที่ร้านขายอาวุธแฮรี่เพื่อที่จะฝากขายดาบแห่งร้อยทักษะที่เหลืออีก 2 เล่มให้กับผู้จัดการร้าน ผู้จัดการร้านเองไม่ได้ถามคำถามใดๆ กับตัวอาเบลเลยเพราะตัวเขาเองมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมามากพอแล้ว
เมื่อเห็นว่าการเดินทางมาในตัวเมืองฮาเวสกำลังจะครบกำหนดเวลา 2 ชั่วโมงแล้วอาเบลจึงให้คนขับรถม้าของเขาเดินทางไปรับอาจารย์เบธแฮมก่อนที่จะกลับปราสาทแฮรี่ไป
Comments