Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 13

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 13 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 2-13

คุณแม่คือครูที่ดีที่สุด

 

“ว่าแต่ที่คุณแม่บอกว่า ‘ถ้าทำอาหารเก่งแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องอนาคต’ ที่ว่านี่มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”

เรดหันกลับมาสนใจเรื่องเดิมอีก ผลกระทบของการกินยามันคงดีแล้วล่ะที่ไม่เกิดขึ้นน่ะนะ?แต่ที่เรดสนใจในตอนนี้คือการทำอาหารเป็นในโลกนี้มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ

ก็แบบว่าเผื่อเรดได้ใช้เป็นแนวทางในการตั้งรากฐานในการหาทางกลับไปโลกเดิม เพราะอย่างไรก็ตามแต่สำหรับเรดแล้วเงินตราเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอยู่แล้ว

สำหรับคำพูดที่ว่า ‘เงินซื้อความสุขไม่ได้’ นั้นไม่จริงเลยแม้แต่นิด.. ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ตรงตัวกว่านี้เราไม่ได้ใช้เงินซื้อความสุขได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ขอแค่มีเงินก็สามารถทำให้หลายๆ อย่างเป็นใจต่อตัวเองได้ ไม่ว่าจะเพื่อนบ้านหรือแม้แต่มิตรสหาย

หากจะบอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ สำหรับเรดมันก็เป็นแค่คำพูดของคนที่มีเงินใช้เหลือเฟือ ไม่ก็คนที่ใช้คำนี้เพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้นแหละ

และเมื่อถึงเวลาที่เรดต้องออกตามหาวิธีกลับบ้าน เงินต้องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแน่นอนสำหรับเธอ ยังไงซะเธอก็ไม่ใช่เด็กตาดำๆ ที่ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าเงินตรา

ถึงตนเองจะไม่ใช่คนฉลาดขนาดนั้นแต่เธอก็มีประสบการณ์มามากพอที่จะวางแผนชีวิตในอนาคตไว้ด้วย เรดจึงต้องการหาเงินเข้ากระเป๋าเช่นกัน

“นั่นสินะ.. ถ้าจะให้แม่อธิบายละก็…”

ถึงคุณแม่ของเธอจะดูมึนๆ อยู่แต่เธอก็ยังคุยรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะแบบนั้นเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่ต้องการพูดให้เด็กฟังก็เผลอพูดออกมาจนหมดเช่นกัน เธอพึมพำพลางใช้ความคิดของตัวเองเพื่ออธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ

“ลูกคงรู้แล้วว่าที่เมืองนี้ตอนนี้อาชีพที่หาเงินได้มากที่สุดคือนักผจญภัย.. แม้จะแลกมาด้วยความอันตราย แต่หากทำงานแค่งานง่ายๆ ด้วยการรวมกลุ่มกับนักผจญภัยคนอื่นเงินจำนวนนั้นก็มีเพียงพอจะหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วแม้จะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม”

“อ้อ เผื่อลูกไม่รู้นะ เงินที่ได้รับจากการทำภารกิจที่ได้รับไว้วาน เป็นเงินที่มาจากพวกขุนนางที่เป็นเจ้าของเขตพื้นที่ดังกล่าวน่ะ”

“เนื่องจากขุนนางเป็นเหมือนอัศวินที่มีเขตการปกครองของตนเองเพื่อปกป้องประชาชนโดยแลกกับการที่ประชาชนเสียภาษีให้ ถ้าหากขุนนางไม่สามารถรักษาความสงบในเขตพื้นที่ดังกล่าวจนประชาชนต้องออกมาขอความช่วยเหลือจากสมาคมนักผจญภัย ก็คงเป็นธรรมดาที่ขุนนางต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นการไถ่โทษใช่ไหมล่ะ”

เนื่องจากโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘โรงเรียน’ อยู่ด้วยทำให้ครูที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคือพ่อและแม่นั่นเอง และแน่นอนว่าในครอบครัวนี้ แม่เปรียบเหมือนครูที่ดีที่สุดของเธอ

อันที่จริงแม่ของเรดก็มักจะสอนอะไรแบบนี้ให้เรดอยู่ตลอด ทั้งยังมีการพูดเรื่องเดิมซ้ำหลังจากผ่านมาหลายวันเพื่อทำให้เรดไม่ลืม แต่อันไหนยากเกินไปเธอก็จะไม่พูด แต่เพราะตอนนี้เธอเมาเธอจึงอาจจะพูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรองมากนัก

“แต่ขุนนางที่ได้รับเงินกลางมาจากประเทศทำให้มีเงินเหลือเฟือใช้อยู่แล้ว ทำให้พวกขุนนางเลิกที่จะสนใจในการปกป้องเขตปกครอง แต่ให้นักผจญภัยปกป้องกันเอาเองโดยการใช้เศษเงินจำนวนหนึ่งของพวกเขาจ่ายให้นักผจญภัย แม้จะเป็นเศษเงินแต่สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ก็นับว่าเป็นเงินที่เยอะมาก ยิ่งเป็นแถวชนบทแล้วจะยิ่งเยอะมากเพราะของถูก เนื่องจากทำการผลิตและค้าขายเอง”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า อัตราการเป็นนักผจญภัยจึงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาชีพที่ต้องใช้ความประณีตหรือฝึกจึงถูกมองข้ามไปจนแทบหมด”

“ยังดีที่กิจการของอาชีพพวกที่ผลิตคือกิจการยาวนาน ทำให้ยังพอมีคนผลิตของออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่มีคนแปรรูปของเหล่านั้น”

“ในเมืองนี้หลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมีอัตราอาชีพแปรรูปเช่น ช่างฝีมือ หรือ พ่อครัวน้อยลงมาก ทำให้อัตราค่าจ้างจึงเริ่มสูงขึ้นตาม”

“แต่ก็ยังไม่เยอะเท่านักผจญภัยที่ได้เงินจากขุนนาง แถมเป็นงานที่ต้องใช้การฝึกไม่เหมือนนักผจญภัยที่แค่รวมหัวกันตีอสูรไร้สติก็พอ ดังนั้นงานพวกพ่อครัวอะไรแบบนั้นจึงทำให้ทุกคนมองเมินโดยสิ้นเชิง”

แม่ของเธออธิบายโครงสร้างของการตลาดและธุรกิจในเมืองนี้ออกมาได้อย่างละเอียด เรดค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชาวนาธรรมดาจะเข้าใจได้

บางทีแม่ของเธอคงเป็นคนฉลาดมากๆ คนหนึ่งวิเคราะห์กลไกและชี้ให้เห็นถึงปัญหา เรดครุ่นคิดนึกถึงตอนที่ไปในเมืองเมื่อวาน…

จะว่าไปเธอก็ไม่ค่อยเห็นร้านอาหารอยู่จริงๆ แต่จะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกเพราะแผงลอยอาหารตามริมถนนก็มีเยอะแยะจนนับไม่หมด

แบบนั้นไม่นับว่าเป็นพ่อครัวหรือเชฟงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่อาหารอร่อยน่ะนะ?

“แล้วพวกคนที่ขายอาหารตามริมถนนล่ะคะ .. หนูก็เห็นว่ามันมีเยอะไม่ใช่เหรอ?”

แม่ของเธอที่ได้ยินคำถามของเธอ ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจพร้อมกับคิดในใจว่า ‘สมแล้วที่เป็นลูกสาวของฉัน ถามได้ดีมาก’ ก่อนที่เธอจะเปิดปากอธิบาย

“ลูกรู้ไหมจ๊ะ ว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘แผงลอย’ .. เนี่ยเป็นแค่การเช่าพื้นที่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ กว่านี้ แผงลอยก็เป็นแค่การยืมพื้นที่ในการค้าขายในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

“และทุกๆ วันที่พวกเขาเหล่านั้นต้องจ่ายเงินค่าเช่าพวกเขาจะเอาอะไรมาขายก็ได้ แต่แลกกับการที่ต้องเสียภาษีให้กับท่านขุนนางที่ปกครองเมืองสูงมาก”

“ซึ่งมันสูงมากแม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าไม่คุ้ม แต่ก็สูงจนเกือบเท่าต้นทุน.. ถ้าเป็นเมืองที่มีคนน้อยน่ะนะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองขึ้นของเมืองอื่นอีกที กำไรจากการขายได้นั้นจะสูงจนนับไม่หมด”

“ทำให้พ่อค้าที่ขายแผงลอยจะร่อนเร่ขายไปเรื่อยและซื้อวัตถุดิบในเมืองเล็กๆ และทดสอบลองขายเพื่อตรวจตลาดก่อนเข้าไปในเมืองใหญ่เพื่อขายต่อ”

“และพวกเขาจะเปลี่ยนประเภทร้านขายไปเรื่อยๆ พวกเราเรียกพ่อค้าแผงลอยว่า ‘พ่อค้าเร่’ กันน่ะจ้ะ”

“แต่สำหรับคนธรรมดาที่ไม่มีทั้งงบจ่ายภาษี หรือรถม้าที่ใช้เดินทางข้ามเมืองมันก็เป็นการลงทุนที่ไม่มีทางรวยน่ะ”

“ถ้าจะพูดให้ถูกในเมืองที่คนเยอะ ถ้าหากไม่มีรถม้าก็จะไม่สามารถมาซื้อวัตถุดิบในแถบชนบทได้ และในทางกลับกันคนในชนบทก็มีวัตถุดิบแต่ในเมืองก็ไม่มีคนมาซื้อเพราะคนสัญจรน้อยไงล่ะ”

เรดพยักหน้าเข้าใจ แต่เมืองที่เธออยู่ก็มีคนเยอะนี่น่า แถมยังผลิตของเองอีกด้วย.. จากคำพูดของแม่เธอ

เรดรู้สึกว่าการเดินทางข้ามเมืองจะเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร นั่นก็แน่ละในโลกที่เต็มไปด้วยอสูรและเป็นโลกที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุด

เมืองแต่ละเมืองคงห่างไกลกันมาก.. เพราะแบบนี้พวกพ่อค้าเร่ถึงจะขายในเมืองที่ไม่มีคนแต่ก็ยังขายเพราะอย่างน้อยก็ได้ทดสอบตลาดและเก็บทุนได้ไม่มากก็น้อยนั่นเอง

เนื่องจากการเดินทางแต่ละครั้งต้องเสียเวลาค่อนข้างมาก และสำหรับพวกเขาเวลาเองก็เป็นเงินเป็นทองนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เรดรู้สึกว่าโลกตัวเองดีมากๆ แล้วที่มีระบบขนส่งผ่านรถยนต์

และเมื่อแม่เธอเห็นสีหน้าเรดก็เหมือนรู้ว่าเรดอยากจะถามอะไรเธอจึงอธิบายขึ้นมา

“สาเหตุที่เมืองเรามีคนสัญจรเยอะแต่ยังมีอาชีพผลิตกันอยู่ แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าการผลิตคงหมดไปแน่ เพราะเมืองนี้กำลังเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะขุนนางคนใหม่”

“ทำให้เมืองเริ่มจะเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนคนเข้าออกเยอะขึ้น และทำให้คนธรรมดาสามารถเอื้อมถึงงานของพ่อค้าเร่นั่นคือทั้งผลิตเองและขายเองจนได้กำไรสูงเนื่องจากมีคนผ่านไปมาเยอะมากขึ้น”

“ตอนนี้การแข่งขันแย่งเช่าแผงลอยจึงมีสูงมาก แต่หากพิจารณาแล้วอีกไม่กี่ปีก็คงหมดไปนั่นแหละ ซึ่งกว่าลูกจะโตจนถึงตอนที่ทำงานได้ ไอ้การรวยทางลัดแบบนั้นมันก็คงหมดไปแล้วใช่ไหมล่ะ”

“เพราะงั้นแหละการทำงานในร้านอาหารจะคุ้มกว่า ยิ่งเป็นในเมืองที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเจริญขึ้นสุดๆ แล้วละก็ เป็นแนวทางที่ดีเลยก็ว่าได้”

เรดพยักหน้า..คุณแม่คนนี้ฉลาดมากในความเห็นของเรดเธอคำนวณและวางแผนถึงเรื่องในอนาคตว่าอันไหนจะไปรอด อันไหนจะตาย

สรุปได้ง่ายๆ งานแผงลอยมันมั่นคงแค่ในตอนนี้หลังจากนี้จะมีแค่พวกพ่อค้าเร่ที่มั่นคง

ดังนั้นหันไปเป็นพ่อครัวหรือแม่ครัวดีกว่า ทำงานให้ร้านอาหารไหนสักแห่งก็พอที่จะรวยได้แล้ว สำหรับเรดถ้าให้เลือกระหว่างทำงานเสี่ยงตายได้เงินเยอะมาก

กับทำงานติดครัวแล้วได้เงินเยอะเหมือนกัน แค่ได้น้อยกว่านิดหน่อย เรดเองก็จะเลือกปลอดภัยไว้ก่อนเช่นกัน

ยังไงซะเรดก็เคยโตมาในโลกที่ไม่มีงานไหนเสี่ยงตายโดยง่ายแบบพวกงานที่เรียกว่านักผจญภัยในโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทัศนคติต่องานของเธอจะเลือกการทำงานแล้วปลอดภัยเพื่อตัวเองไว้ก่อนจะดีกว่า

อย่างน้อยก็สำหรับคนธรรมดาแบบเธอละนะ..

“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณแม่”

“อืม.. ไม่เป็นไรจ้ะ มีตรงไหนไม่เข้าใจถามแม่ได้เสมอนะ!”

“ค่ะ”

ความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างไหลผ่านหน้าอกของเรดจนเธอต้องเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว

พ่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของลูกสาวตัวเองคนเป็นแม่ก็ถามขึ้น

“เป็นอะไรเหรอ?”

“เปล่าค่ะ.. หนูแค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”

“งั้นเหรอ”

“ค่ะ…”

เรดมองคนเป็นแม่ด้วยความสับสนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

“…..”

 

……………..

[นิยายรายเดือนมีจริ– แค่ก อ้ะแฮ่ม กลับมาแอคทีฟแล้วครับ! — ผู้เขียน]l

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 13

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 13 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 2-13

คุณแม่คือครูที่ดีที่สุด

 

“ว่าแต่ที่คุณแม่บอกว่า ‘ถ้าทำอาหารเก่งแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องอนาคต’ ที่ว่านี่มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”

เรดหันกลับมาสนใจเรื่องเดิมอีก ผลกระทบของการกินยามันคงดีแล้วล่ะที่ไม่เกิดขึ้นน่ะนะ?แต่ที่เรดสนใจในตอนนี้คือการทำอาหารเป็นในโลกนี้มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ

ก็แบบว่าเผื่อเรดได้ใช้เป็นแนวทางในการตั้งรากฐานในการหาทางกลับไปโลกเดิม เพราะอย่างไรก็ตามแต่สำหรับเรดแล้วเงินตราเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอยู่แล้ว

สำหรับคำพูดที่ว่า ‘เงินซื้อความสุขไม่ได้’ นั้นไม่จริงเลยแม้แต่นิด.. ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ตรงตัวกว่านี้เราไม่ได้ใช้เงินซื้อความสุขได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ขอแค่มีเงินก็สามารถทำให้หลายๆ อย่างเป็นใจต่อตัวเองได้ ไม่ว่าจะเพื่อนบ้านหรือแม้แต่มิตรสหาย

หากจะบอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ สำหรับเรดมันก็เป็นแค่คำพูดของคนที่มีเงินใช้เหลือเฟือ ไม่ก็คนที่ใช้คำนี้เพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้นแหละ

และเมื่อถึงเวลาที่เรดต้องออกตามหาวิธีกลับบ้าน เงินต้องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแน่นอนสำหรับเธอ ยังไงซะเธอก็ไม่ใช่เด็กตาดำๆ ที่ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าเงินตรา

ถึงตนเองจะไม่ใช่คนฉลาดขนาดนั้นแต่เธอก็มีประสบการณ์มามากพอที่จะวางแผนชีวิตในอนาคตไว้ด้วย เรดจึงต้องการหาเงินเข้ากระเป๋าเช่นกัน

“นั่นสินะ.. ถ้าจะให้แม่อธิบายละก็…”

ถึงคุณแม่ของเธอจะดูมึนๆ อยู่แต่เธอก็ยังคุยรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะแบบนั้นเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่ต้องการพูดให้เด็กฟังก็เผลอพูดออกมาจนหมดเช่นกัน เธอพึมพำพลางใช้ความคิดของตัวเองเพื่ออธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ

“ลูกคงรู้แล้วว่าที่เมืองนี้ตอนนี้อาชีพที่หาเงินได้มากที่สุดคือนักผจญภัย.. แม้จะแลกมาด้วยความอันตราย แต่หากทำงานแค่งานง่ายๆ ด้วยการรวมกลุ่มกับนักผจญภัยคนอื่นเงินจำนวนนั้นก็มีเพียงพอจะหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วแม้จะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม”

“อ้อ เผื่อลูกไม่รู้นะ เงินที่ได้รับจากการทำภารกิจที่ได้รับไว้วาน เป็นเงินที่มาจากพวกขุนนางที่เป็นเจ้าของเขตพื้นที่ดังกล่าวน่ะ”

“เนื่องจากขุนนางเป็นเหมือนอัศวินที่มีเขตการปกครองของตนเองเพื่อปกป้องประชาชนโดยแลกกับการที่ประชาชนเสียภาษีให้ ถ้าหากขุนนางไม่สามารถรักษาความสงบในเขตพื้นที่ดังกล่าวจนประชาชนต้องออกมาขอความช่วยเหลือจากสมาคมนักผจญภัย ก็คงเป็นธรรมดาที่ขุนนางต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นการไถ่โทษใช่ไหมล่ะ”

เนื่องจากโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘โรงเรียน’ อยู่ด้วยทำให้ครูที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคือพ่อและแม่นั่นเอง และแน่นอนว่าในครอบครัวนี้ แม่เปรียบเหมือนครูที่ดีที่สุดของเธอ

อันที่จริงแม่ของเรดก็มักจะสอนอะไรแบบนี้ให้เรดอยู่ตลอด ทั้งยังมีการพูดเรื่องเดิมซ้ำหลังจากผ่านมาหลายวันเพื่อทำให้เรดไม่ลืม แต่อันไหนยากเกินไปเธอก็จะไม่พูด แต่เพราะตอนนี้เธอเมาเธอจึงอาจจะพูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรองมากนัก

“แต่ขุนนางที่ได้รับเงินกลางมาจากประเทศทำให้มีเงินเหลือเฟือใช้อยู่แล้ว ทำให้พวกขุนนางเลิกที่จะสนใจในการปกป้องเขตปกครอง แต่ให้นักผจญภัยปกป้องกันเอาเองโดยการใช้เศษเงินจำนวนหนึ่งของพวกเขาจ่ายให้นักผจญภัย แม้จะเป็นเศษเงินแต่สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ก็นับว่าเป็นเงินที่เยอะมาก ยิ่งเป็นแถวชนบทแล้วจะยิ่งเยอะมากเพราะของถูก เนื่องจากทำการผลิตและค้าขายเอง”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า อัตราการเป็นนักผจญภัยจึงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาชีพที่ต้องใช้ความประณีตหรือฝึกจึงถูกมองข้ามไปจนแทบหมด”

“ยังดีที่กิจการของอาชีพพวกที่ผลิตคือกิจการยาวนาน ทำให้ยังพอมีคนผลิตของออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่มีคนแปรรูปของเหล่านั้น”

“ในเมืองนี้หลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมีอัตราอาชีพแปรรูปเช่น ช่างฝีมือ หรือ พ่อครัวน้อยลงมาก ทำให้อัตราค่าจ้างจึงเริ่มสูงขึ้นตาม”

“แต่ก็ยังไม่เยอะเท่านักผจญภัยที่ได้เงินจากขุนนาง แถมเป็นงานที่ต้องใช้การฝึกไม่เหมือนนักผจญภัยที่แค่รวมหัวกันตีอสูรไร้สติก็พอ ดังนั้นงานพวกพ่อครัวอะไรแบบนั้นจึงทำให้ทุกคนมองเมินโดยสิ้นเชิง”

แม่ของเธออธิบายโครงสร้างของการตลาดและธุรกิจในเมืองนี้ออกมาได้อย่างละเอียด เรดค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชาวนาธรรมดาจะเข้าใจได้

บางทีแม่ของเธอคงเป็นคนฉลาดมากๆ คนหนึ่งวิเคราะห์กลไกและชี้ให้เห็นถึงปัญหา เรดครุ่นคิดนึกถึงตอนที่ไปในเมืองเมื่อวาน…

จะว่าไปเธอก็ไม่ค่อยเห็นร้านอาหารอยู่จริงๆ แต่จะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกเพราะแผงลอยอาหารตามริมถนนก็มีเยอะแยะจนนับไม่หมด

แบบนั้นไม่นับว่าเป็นพ่อครัวหรือเชฟงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่อาหารอร่อยน่ะนะ?

“แล้วพวกคนที่ขายอาหารตามริมถนนล่ะคะ .. หนูก็เห็นว่ามันมีเยอะไม่ใช่เหรอ?”

แม่ของเธอที่ได้ยินคำถามของเธอ ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจพร้อมกับคิดในใจว่า ‘สมแล้วที่เป็นลูกสาวของฉัน ถามได้ดีมาก’ ก่อนที่เธอจะเปิดปากอธิบาย

“ลูกรู้ไหมจ๊ะ ว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘แผงลอย’ .. เนี่ยเป็นแค่การเช่าพื้นที่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ กว่านี้ แผงลอยก็เป็นแค่การยืมพื้นที่ในการค้าขายในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

“และทุกๆ วันที่พวกเขาเหล่านั้นต้องจ่ายเงินค่าเช่าพวกเขาจะเอาอะไรมาขายก็ได้ แต่แลกกับการที่ต้องเสียภาษีให้กับท่านขุนนางที่ปกครองเมืองสูงมาก”

“ซึ่งมันสูงมากแม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าไม่คุ้ม แต่ก็สูงจนเกือบเท่าต้นทุน.. ถ้าเป็นเมืองที่มีคนน้อยน่ะนะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองขึ้นของเมืองอื่นอีกที กำไรจากการขายได้นั้นจะสูงจนนับไม่หมด”

“ทำให้พ่อค้าที่ขายแผงลอยจะร่อนเร่ขายไปเรื่อยและซื้อวัตถุดิบในเมืองเล็กๆ และทดสอบลองขายเพื่อตรวจตลาดก่อนเข้าไปในเมืองใหญ่เพื่อขายต่อ”

“และพวกเขาจะเปลี่ยนประเภทร้านขายไปเรื่อยๆ พวกเราเรียกพ่อค้าแผงลอยว่า ‘พ่อค้าเร่’ กันน่ะจ้ะ”

“แต่สำหรับคนธรรมดาที่ไม่มีทั้งงบจ่ายภาษี หรือรถม้าที่ใช้เดินทางข้ามเมืองมันก็เป็นการลงทุนที่ไม่มีทางรวยน่ะ”

“ถ้าจะพูดให้ถูกในเมืองที่คนเยอะ ถ้าหากไม่มีรถม้าก็จะไม่สามารถมาซื้อวัตถุดิบในแถบชนบทได้ และในทางกลับกันคนในชนบทก็มีวัตถุดิบแต่ในเมืองก็ไม่มีคนมาซื้อเพราะคนสัญจรน้อยไงล่ะ”

เรดพยักหน้าเข้าใจ แต่เมืองที่เธออยู่ก็มีคนเยอะนี่น่า แถมยังผลิตของเองอีกด้วย.. จากคำพูดของแม่เธอ

เรดรู้สึกว่าการเดินทางข้ามเมืองจะเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร นั่นก็แน่ละในโลกที่เต็มไปด้วยอสูรและเป็นโลกที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุด

เมืองแต่ละเมืองคงห่างไกลกันมาก.. เพราะแบบนี้พวกพ่อค้าเร่ถึงจะขายในเมืองที่ไม่มีคนแต่ก็ยังขายเพราะอย่างน้อยก็ได้ทดสอบตลาดและเก็บทุนได้ไม่มากก็น้อยนั่นเอง

เนื่องจากการเดินทางแต่ละครั้งต้องเสียเวลาค่อนข้างมาก และสำหรับพวกเขาเวลาเองก็เป็นเงินเป็นทองนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เรดรู้สึกว่าโลกตัวเองดีมากๆ แล้วที่มีระบบขนส่งผ่านรถยนต์

และเมื่อแม่เธอเห็นสีหน้าเรดก็เหมือนรู้ว่าเรดอยากจะถามอะไรเธอจึงอธิบายขึ้นมา

“สาเหตุที่เมืองเรามีคนสัญจรเยอะแต่ยังมีอาชีพผลิตกันอยู่ แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าการผลิตคงหมดไปแน่ เพราะเมืองนี้กำลังเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะขุนนางคนใหม่”

“ทำให้เมืองเริ่มจะเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนคนเข้าออกเยอะขึ้น และทำให้คนธรรมดาสามารถเอื้อมถึงงานของพ่อค้าเร่นั่นคือทั้งผลิตเองและขายเองจนได้กำไรสูงเนื่องจากมีคนผ่านไปมาเยอะมากขึ้น”

“ตอนนี้การแข่งขันแย่งเช่าแผงลอยจึงมีสูงมาก แต่หากพิจารณาแล้วอีกไม่กี่ปีก็คงหมดไปนั่นแหละ ซึ่งกว่าลูกจะโตจนถึงตอนที่ทำงานได้ ไอ้การรวยทางลัดแบบนั้นมันก็คงหมดไปแล้วใช่ไหมล่ะ”

“เพราะงั้นแหละการทำงานในร้านอาหารจะคุ้มกว่า ยิ่งเป็นในเมืองที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเจริญขึ้นสุดๆ แล้วละก็ เป็นแนวทางที่ดีเลยก็ว่าได้”

เรดพยักหน้า..คุณแม่คนนี้ฉลาดมากในความเห็นของเรดเธอคำนวณและวางแผนถึงเรื่องในอนาคตว่าอันไหนจะไปรอด อันไหนจะตาย

สรุปได้ง่ายๆ งานแผงลอยมันมั่นคงแค่ในตอนนี้หลังจากนี้จะมีแค่พวกพ่อค้าเร่ที่มั่นคง

ดังนั้นหันไปเป็นพ่อครัวหรือแม่ครัวดีกว่า ทำงานให้ร้านอาหารไหนสักแห่งก็พอที่จะรวยได้แล้ว สำหรับเรดถ้าให้เลือกระหว่างทำงานเสี่ยงตายได้เงินเยอะมาก

กับทำงานติดครัวแล้วได้เงินเยอะเหมือนกัน แค่ได้น้อยกว่านิดหน่อย เรดเองก็จะเลือกปลอดภัยไว้ก่อนเช่นกัน

ยังไงซะเรดก็เคยโตมาในโลกที่ไม่มีงานไหนเสี่ยงตายโดยง่ายแบบพวกงานที่เรียกว่านักผจญภัยในโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทัศนคติต่องานของเธอจะเลือกการทำงานแล้วปลอดภัยเพื่อตัวเองไว้ก่อนจะดีกว่า

อย่างน้อยก็สำหรับคนธรรมดาแบบเธอละนะ..

“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณแม่”

“อืม.. ไม่เป็นไรจ้ะ มีตรงไหนไม่เข้าใจถามแม่ได้เสมอนะ!”

“ค่ะ”

ความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างไหลผ่านหน้าอกของเรดจนเธอต้องเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว

พ่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของลูกสาวตัวเองคนเป็นแม่ก็ถามขึ้น

“เป็นอะไรเหรอ?”

“เปล่าค่ะ.. หนูแค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”

“งั้นเหรอ”

“ค่ะ…”

เรดมองคนเป็นแม่ด้วยความสับสนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

“…..”

 

……………..

[นิยายรายเดือนมีจริ– แค่ก อ้ะแฮ่ม กลับมาแอคทีฟแล้วครับ! — ผู้เขียน]l

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 13

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 13 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 2-13

คุณแม่คือครูที่ดีที่สุด

 

“ว่าแต่ที่คุณแม่บอกว่า ‘ถ้าทำอาหารเก่งแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องอนาคต’ ที่ว่านี่มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”

เรดหันกลับมาสนใจเรื่องเดิมอีก ผลกระทบของการกินยามันคงดีแล้วล่ะที่ไม่เกิดขึ้นน่ะนะ?แต่ที่เรดสนใจในตอนนี้คือการทำอาหารเป็นในโลกนี้มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ

ก็แบบว่าเผื่อเรดได้ใช้เป็นแนวทางในการตั้งรากฐานในการหาทางกลับไปโลกเดิม เพราะอย่างไรก็ตามแต่สำหรับเรดแล้วเงินตราเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอยู่แล้ว

สำหรับคำพูดที่ว่า ‘เงินซื้อความสุขไม่ได้’ นั้นไม่จริงเลยแม้แต่นิด.. ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ตรงตัวกว่านี้เราไม่ได้ใช้เงินซื้อความสุขได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ขอแค่มีเงินก็สามารถทำให้หลายๆ อย่างเป็นใจต่อตัวเองได้ ไม่ว่าจะเพื่อนบ้านหรือแม้แต่มิตรสหาย

หากจะบอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ สำหรับเรดมันก็เป็นแค่คำพูดของคนที่มีเงินใช้เหลือเฟือ ไม่ก็คนที่ใช้คำนี้เพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้นแหละ

และเมื่อถึงเวลาที่เรดต้องออกตามหาวิธีกลับบ้าน เงินต้องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแน่นอนสำหรับเธอ ยังไงซะเธอก็ไม่ใช่เด็กตาดำๆ ที่ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าเงินตรา

ถึงตนเองจะไม่ใช่คนฉลาดขนาดนั้นแต่เธอก็มีประสบการณ์มามากพอที่จะวางแผนชีวิตในอนาคตไว้ด้วย เรดจึงต้องการหาเงินเข้ากระเป๋าเช่นกัน

“นั่นสินะ.. ถ้าจะให้แม่อธิบายละก็…”

ถึงคุณแม่ของเธอจะดูมึนๆ อยู่แต่เธอก็ยังคุยรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะแบบนั้นเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่ต้องการพูดให้เด็กฟังก็เผลอพูดออกมาจนหมดเช่นกัน เธอพึมพำพลางใช้ความคิดของตัวเองเพื่ออธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ

“ลูกคงรู้แล้วว่าที่เมืองนี้ตอนนี้อาชีพที่หาเงินได้มากที่สุดคือนักผจญภัย.. แม้จะแลกมาด้วยความอันตราย แต่หากทำงานแค่งานง่ายๆ ด้วยการรวมกลุ่มกับนักผจญภัยคนอื่นเงินจำนวนนั้นก็มีเพียงพอจะหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วแม้จะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม”

“อ้อ เผื่อลูกไม่รู้นะ เงินที่ได้รับจากการทำภารกิจที่ได้รับไว้วาน เป็นเงินที่มาจากพวกขุนนางที่เป็นเจ้าของเขตพื้นที่ดังกล่าวน่ะ”

“เนื่องจากขุนนางเป็นเหมือนอัศวินที่มีเขตการปกครองของตนเองเพื่อปกป้องประชาชนโดยแลกกับการที่ประชาชนเสียภาษีให้ ถ้าหากขุนนางไม่สามารถรักษาความสงบในเขตพื้นที่ดังกล่าวจนประชาชนต้องออกมาขอความช่วยเหลือจากสมาคมนักผจญภัย ก็คงเป็นธรรมดาที่ขุนนางต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นการไถ่โทษใช่ไหมล่ะ”

เนื่องจากโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘โรงเรียน’ อยู่ด้วยทำให้ครูที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคือพ่อและแม่นั่นเอง และแน่นอนว่าในครอบครัวนี้ แม่เปรียบเหมือนครูที่ดีที่สุดของเธอ

อันที่จริงแม่ของเรดก็มักจะสอนอะไรแบบนี้ให้เรดอยู่ตลอด ทั้งยังมีการพูดเรื่องเดิมซ้ำหลังจากผ่านมาหลายวันเพื่อทำให้เรดไม่ลืม แต่อันไหนยากเกินไปเธอก็จะไม่พูด แต่เพราะตอนนี้เธอเมาเธอจึงอาจจะพูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรองมากนัก

“แต่ขุนนางที่ได้รับเงินกลางมาจากประเทศทำให้มีเงินเหลือเฟือใช้อยู่แล้ว ทำให้พวกขุนนางเลิกที่จะสนใจในการปกป้องเขตปกครอง แต่ให้นักผจญภัยปกป้องกันเอาเองโดยการใช้เศษเงินจำนวนหนึ่งของพวกเขาจ่ายให้นักผจญภัย แม้จะเป็นเศษเงินแต่สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ก็นับว่าเป็นเงินที่เยอะมาก ยิ่งเป็นแถวชนบทแล้วจะยิ่งเยอะมากเพราะของถูก เนื่องจากทำการผลิตและค้าขายเอง”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า อัตราการเป็นนักผจญภัยจึงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาชีพที่ต้องใช้ความประณีตหรือฝึกจึงถูกมองข้ามไปจนแทบหมด”

“ยังดีที่กิจการของอาชีพพวกที่ผลิตคือกิจการยาวนาน ทำให้ยังพอมีคนผลิตของออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่มีคนแปรรูปของเหล่านั้น”

“ในเมืองนี้หลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมีอัตราอาชีพแปรรูปเช่น ช่างฝีมือ หรือ พ่อครัวน้อยลงมาก ทำให้อัตราค่าจ้างจึงเริ่มสูงขึ้นตาม”

“แต่ก็ยังไม่เยอะเท่านักผจญภัยที่ได้เงินจากขุนนาง แถมเป็นงานที่ต้องใช้การฝึกไม่เหมือนนักผจญภัยที่แค่รวมหัวกันตีอสูรไร้สติก็พอ ดังนั้นงานพวกพ่อครัวอะไรแบบนั้นจึงทำให้ทุกคนมองเมินโดยสิ้นเชิง”

แม่ของเธออธิบายโครงสร้างของการตลาดและธุรกิจในเมืองนี้ออกมาได้อย่างละเอียด เรดค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชาวนาธรรมดาจะเข้าใจได้

บางทีแม่ของเธอคงเป็นคนฉลาดมากๆ คนหนึ่งวิเคราะห์กลไกและชี้ให้เห็นถึงปัญหา เรดครุ่นคิดนึกถึงตอนที่ไปในเมืองเมื่อวาน…

จะว่าไปเธอก็ไม่ค่อยเห็นร้านอาหารอยู่จริงๆ แต่จะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกเพราะแผงลอยอาหารตามริมถนนก็มีเยอะแยะจนนับไม่หมด

แบบนั้นไม่นับว่าเป็นพ่อครัวหรือเชฟงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่อาหารอร่อยน่ะนะ?

“แล้วพวกคนที่ขายอาหารตามริมถนนล่ะคะ .. หนูก็เห็นว่ามันมีเยอะไม่ใช่เหรอ?”

แม่ของเธอที่ได้ยินคำถามของเธอ ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจพร้อมกับคิดในใจว่า ‘สมแล้วที่เป็นลูกสาวของฉัน ถามได้ดีมาก’ ก่อนที่เธอจะเปิดปากอธิบาย

“ลูกรู้ไหมจ๊ะ ว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘แผงลอย’ .. เนี่ยเป็นแค่การเช่าพื้นที่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ กว่านี้ แผงลอยก็เป็นแค่การยืมพื้นที่ในการค้าขายในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

“และทุกๆ วันที่พวกเขาเหล่านั้นต้องจ่ายเงินค่าเช่าพวกเขาจะเอาอะไรมาขายก็ได้ แต่แลกกับการที่ต้องเสียภาษีให้กับท่านขุนนางที่ปกครองเมืองสูงมาก”

“ซึ่งมันสูงมากแม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าไม่คุ้ม แต่ก็สูงจนเกือบเท่าต้นทุน.. ถ้าเป็นเมืองที่มีคนน้อยน่ะนะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองขึ้นของเมืองอื่นอีกที กำไรจากการขายได้นั้นจะสูงจนนับไม่หมด”

“ทำให้พ่อค้าที่ขายแผงลอยจะร่อนเร่ขายไปเรื่อยและซื้อวัตถุดิบในเมืองเล็กๆ และทดสอบลองขายเพื่อตรวจตลาดก่อนเข้าไปในเมืองใหญ่เพื่อขายต่อ”

“และพวกเขาจะเปลี่ยนประเภทร้านขายไปเรื่อยๆ พวกเราเรียกพ่อค้าแผงลอยว่า ‘พ่อค้าเร่’ กันน่ะจ้ะ”

“แต่สำหรับคนธรรมดาที่ไม่มีทั้งงบจ่ายภาษี หรือรถม้าที่ใช้เดินทางข้ามเมืองมันก็เป็นการลงทุนที่ไม่มีทางรวยน่ะ”

“ถ้าจะพูดให้ถูกในเมืองที่คนเยอะ ถ้าหากไม่มีรถม้าก็จะไม่สามารถมาซื้อวัตถุดิบในแถบชนบทได้ และในทางกลับกันคนในชนบทก็มีวัตถุดิบแต่ในเมืองก็ไม่มีคนมาซื้อเพราะคนสัญจรน้อยไงล่ะ”

เรดพยักหน้าเข้าใจ แต่เมืองที่เธออยู่ก็มีคนเยอะนี่น่า แถมยังผลิตของเองอีกด้วย.. จากคำพูดของแม่เธอ

เรดรู้สึกว่าการเดินทางข้ามเมืองจะเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร นั่นก็แน่ละในโลกที่เต็มไปด้วยอสูรและเป็นโลกที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุด

เมืองแต่ละเมืองคงห่างไกลกันมาก.. เพราะแบบนี้พวกพ่อค้าเร่ถึงจะขายในเมืองที่ไม่มีคนแต่ก็ยังขายเพราะอย่างน้อยก็ได้ทดสอบตลาดและเก็บทุนได้ไม่มากก็น้อยนั่นเอง

เนื่องจากการเดินทางแต่ละครั้งต้องเสียเวลาค่อนข้างมาก และสำหรับพวกเขาเวลาเองก็เป็นเงินเป็นทองนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เรดรู้สึกว่าโลกตัวเองดีมากๆ แล้วที่มีระบบขนส่งผ่านรถยนต์

และเมื่อแม่เธอเห็นสีหน้าเรดก็เหมือนรู้ว่าเรดอยากจะถามอะไรเธอจึงอธิบายขึ้นมา

“สาเหตุที่เมืองเรามีคนสัญจรเยอะแต่ยังมีอาชีพผลิตกันอยู่ แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าการผลิตคงหมดไปแน่ เพราะเมืองนี้กำลังเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะขุนนางคนใหม่”

“ทำให้เมืองเริ่มจะเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนคนเข้าออกเยอะขึ้น และทำให้คนธรรมดาสามารถเอื้อมถึงงานของพ่อค้าเร่นั่นคือทั้งผลิตเองและขายเองจนได้กำไรสูงเนื่องจากมีคนผ่านไปมาเยอะมากขึ้น”

“ตอนนี้การแข่งขันแย่งเช่าแผงลอยจึงมีสูงมาก แต่หากพิจารณาแล้วอีกไม่กี่ปีก็คงหมดไปนั่นแหละ ซึ่งกว่าลูกจะโตจนถึงตอนที่ทำงานได้ ไอ้การรวยทางลัดแบบนั้นมันก็คงหมดไปแล้วใช่ไหมล่ะ”

“เพราะงั้นแหละการทำงานในร้านอาหารจะคุ้มกว่า ยิ่งเป็นในเมืองที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเจริญขึ้นสุดๆ แล้วละก็ เป็นแนวทางที่ดีเลยก็ว่าได้”

เรดพยักหน้า..คุณแม่คนนี้ฉลาดมากในความเห็นของเรดเธอคำนวณและวางแผนถึงเรื่องในอนาคตว่าอันไหนจะไปรอด อันไหนจะตาย

สรุปได้ง่ายๆ งานแผงลอยมันมั่นคงแค่ในตอนนี้หลังจากนี้จะมีแค่พวกพ่อค้าเร่ที่มั่นคง

ดังนั้นหันไปเป็นพ่อครัวหรือแม่ครัวดีกว่า ทำงานให้ร้านอาหารไหนสักแห่งก็พอที่จะรวยได้แล้ว สำหรับเรดถ้าให้เลือกระหว่างทำงานเสี่ยงตายได้เงินเยอะมาก

กับทำงานติดครัวแล้วได้เงินเยอะเหมือนกัน แค่ได้น้อยกว่านิดหน่อย เรดเองก็จะเลือกปลอดภัยไว้ก่อนเช่นกัน

ยังไงซะเรดก็เคยโตมาในโลกที่ไม่มีงานไหนเสี่ยงตายโดยง่ายแบบพวกงานที่เรียกว่านักผจญภัยในโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทัศนคติต่องานของเธอจะเลือกการทำงานแล้วปลอดภัยเพื่อตัวเองไว้ก่อนจะดีกว่า

อย่างน้อยก็สำหรับคนธรรมดาแบบเธอละนะ..

“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณแม่”

“อืม.. ไม่เป็นไรจ้ะ มีตรงไหนไม่เข้าใจถามแม่ได้เสมอนะ!”

“ค่ะ”

ความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างไหลผ่านหน้าอกของเรดจนเธอต้องเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว

พ่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของลูกสาวตัวเองคนเป็นแม่ก็ถามขึ้น

“เป็นอะไรเหรอ?”

“เปล่าค่ะ.. หนูแค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”

“งั้นเหรอ”

“ค่ะ…”

เรดมองคนเป็นแม่ด้วยความสับสนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

“…..”

 

……………..

[นิยายรายเดือนมีจริ– แค่ก อ้ะแฮ่ม กลับมาแอคทีฟแล้วครับ! — ผู้เขียน]l

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง 13

Now you are reading Akashic Record – บันทึกอาคาชิคของหนูน้อยหมวกแดง Chapter 13 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

R/C – 2-13

คุณแม่คือครูที่ดีที่สุด

 

“ว่าแต่ที่คุณแม่บอกว่า ‘ถ้าทำอาหารเก่งแล้วจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องอนาคต’ ที่ว่านี่มันหมายความว่ายังไงเหรอคะ?”

เรดหันกลับมาสนใจเรื่องเดิมอีก ผลกระทบของการกินยามันคงดีแล้วล่ะที่ไม่เกิดขึ้นน่ะนะ?แต่ที่เรดสนใจในตอนนี้คือการทำอาหารเป็นในโลกนี้มันดีขนาดนั้นเลยเหรอ

ก็แบบว่าเผื่อเรดได้ใช้เป็นแนวทางในการตั้งรากฐานในการหาทางกลับไปโลกเดิม เพราะอย่างไรก็ตามแต่สำหรับเรดแล้วเงินตราเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอยู่แล้ว

สำหรับคำพูดที่ว่า ‘เงินซื้อความสุขไม่ได้’ นั้นไม่จริงเลยแม้แต่นิด.. ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ตรงตัวกว่านี้เราไม่ได้ใช้เงินซื้อความสุขได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ขอแค่มีเงินก็สามารถทำให้หลายๆ อย่างเป็นใจต่อตัวเองได้ ไม่ว่าจะเพื่อนบ้านหรือแม้แต่มิตรสหาย

หากจะบอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ สำหรับเรดมันก็เป็นแค่คำพูดของคนที่มีเงินใช้เหลือเฟือ ไม่ก็คนที่ใช้คำนี้เพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้นแหละ

และเมื่อถึงเวลาที่เรดต้องออกตามหาวิธีกลับบ้าน เงินต้องเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแน่นอนสำหรับเธอ ยังไงซะเธอก็ไม่ใช่เด็กตาดำๆ ที่ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เรียกว่าเงินตรา

ถึงตนเองจะไม่ใช่คนฉลาดขนาดนั้นแต่เธอก็มีประสบการณ์มามากพอที่จะวางแผนชีวิตในอนาคตไว้ด้วย เรดจึงต้องการหาเงินเข้ากระเป๋าเช่นกัน

“นั่นสินะ.. ถ้าจะให้แม่อธิบายละก็…”

ถึงคุณแม่ของเธอจะดูมึนๆ อยู่แต่เธอก็ยังคุยรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่ก็เป็นเพราะแบบนั้นเรื่องบางเรื่องที่เธอไม่ต้องการพูดให้เด็กฟังก็เผลอพูดออกมาจนหมดเช่นกัน เธอพึมพำพลางใช้ความคิดของตัวเองเพื่ออธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ

“ลูกคงรู้แล้วว่าที่เมืองนี้ตอนนี้อาชีพที่หาเงินได้มากที่สุดคือนักผจญภัย.. แม้จะแลกมาด้วยความอันตราย แต่หากทำงานแค่งานง่ายๆ ด้วยการรวมกลุ่มกับนักผจญภัยคนอื่นเงินจำนวนนั้นก็มีเพียงพอจะหาเลี้ยงตัวเองได้แล้วแม้จะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม”

“อ้อ เผื่อลูกไม่รู้นะ เงินที่ได้รับจากการทำภารกิจที่ได้รับไว้วาน เป็นเงินที่มาจากพวกขุนนางที่เป็นเจ้าของเขตพื้นที่ดังกล่าวน่ะ”

“เนื่องจากขุนนางเป็นเหมือนอัศวินที่มีเขตการปกครองของตนเองเพื่อปกป้องประชาชนโดยแลกกับการที่ประชาชนเสียภาษีให้ ถ้าหากขุนนางไม่สามารถรักษาความสงบในเขตพื้นที่ดังกล่าวจนประชาชนต้องออกมาขอความช่วยเหลือจากสมาคมนักผจญภัย ก็คงเป็นธรรมดาที่ขุนนางต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นการไถ่โทษใช่ไหมล่ะ”

เนื่องจากโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘โรงเรียน’ อยู่ด้วยทำให้ครูที่ดีที่สุดสำหรับเด็กคือพ่อและแม่นั่นเอง และแน่นอนว่าในครอบครัวนี้ แม่เปรียบเหมือนครูที่ดีที่สุดของเธอ

อันที่จริงแม่ของเรดก็มักจะสอนอะไรแบบนี้ให้เรดอยู่ตลอด ทั้งยังมีการพูดเรื่องเดิมซ้ำหลังจากผ่านมาหลายวันเพื่อทำให้เรดไม่ลืม แต่อันไหนยากเกินไปเธอก็จะไม่พูด แต่เพราะตอนนี้เธอเมาเธอจึงอาจจะพูดออกมาโดยไม่ไตร่ตรองมากนัก

“แต่ขุนนางที่ได้รับเงินกลางมาจากประเทศทำให้มีเงินเหลือเฟือใช้อยู่แล้ว ทำให้พวกขุนนางเลิกที่จะสนใจในการปกป้องเขตปกครอง แต่ให้นักผจญภัยปกป้องกันเอาเองโดยการใช้เศษเงินจำนวนหนึ่งของพวกเขาจ่ายให้นักผจญภัย แม้จะเป็นเศษเงินแต่สำหรับคนธรรมดาอย่างเราๆ ก็นับว่าเป็นเงินที่เยอะมาก ยิ่งเป็นแถวชนบทแล้วจะยิ่งเยอะมากเพราะของถูก เนื่องจากทำการผลิตและค้าขายเอง”

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า อัตราการเป็นนักผจญภัยจึงสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาชีพที่ต้องใช้ความประณีตหรือฝึกจึงถูกมองข้ามไปจนแทบหมด”

“ยังดีที่กิจการของอาชีพพวกที่ผลิตคือกิจการยาวนาน ทำให้ยังพอมีคนผลิตของออกมาอยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่มีคนแปรรูปของเหล่านั้น”

“ในเมืองนี้หลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมีอัตราอาชีพแปรรูปเช่น ช่างฝีมือ หรือ พ่อครัวน้อยลงมาก ทำให้อัตราค่าจ้างจึงเริ่มสูงขึ้นตาม”

“แต่ก็ยังไม่เยอะเท่านักผจญภัยที่ได้เงินจากขุนนาง แถมเป็นงานที่ต้องใช้การฝึกไม่เหมือนนักผจญภัยที่แค่รวมหัวกันตีอสูรไร้สติก็พอ ดังนั้นงานพวกพ่อครัวอะไรแบบนั้นจึงทำให้ทุกคนมองเมินโดยสิ้นเชิง”

แม่ของเธออธิบายโครงสร้างของการตลาดและธุรกิจในเมืองนี้ออกมาได้อย่างละเอียด เรดค่อนข้างมั่นใจว่าความรู้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ชาวนาธรรมดาจะเข้าใจได้

บางทีแม่ของเธอคงเป็นคนฉลาดมากๆ คนหนึ่งวิเคราะห์กลไกและชี้ให้เห็นถึงปัญหา เรดครุ่นคิดนึกถึงตอนที่ไปในเมืองเมื่อวาน…

จะว่าไปเธอก็ไม่ค่อยเห็นร้านอาหารอยู่จริงๆ แต่จะว่าแบบนั้นก็ไม่ถูกเพราะแผงลอยอาหารตามริมถนนก็มีเยอะแยะจนนับไม่หมด

แบบนั้นไม่นับว่าเป็นพ่อครัวหรือเชฟงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่อาหารอร่อยน่ะนะ?

“แล้วพวกคนที่ขายอาหารตามริมถนนล่ะคะ .. หนูก็เห็นว่ามันมีเยอะไม่ใช่เหรอ?”

แม่ของเธอที่ได้ยินคำถามของเธอ ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจพร้อมกับคิดในใจว่า ‘สมแล้วที่เป็นลูกสาวของฉัน ถามได้ดีมาก’ ก่อนที่เธอจะเปิดปากอธิบาย

“ลูกรู้ไหมจ๊ะ ว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘แผงลอย’ .. เนี่ยเป็นแค่การเช่าพื้นที่ชั่วคราวเท่านั้นแหละ ถ้าจะพูดให้ง่ายๆ กว่านี้ แผงลอยก็เป็นแค่การยืมพื้นที่ในการค้าขายในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

“และทุกๆ วันที่พวกเขาเหล่านั้นต้องจ่ายเงินค่าเช่าพวกเขาจะเอาอะไรมาขายก็ได้ แต่แลกกับการที่ต้องเสียภาษีให้กับท่านขุนนางที่ปกครองเมืองสูงมาก”

“ซึ่งมันสูงมากแม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าไม่คุ้ม แต่ก็สูงจนเกือบเท่าต้นทุน.. ถ้าเป็นเมืองที่มีคนน้อยน่ะนะ แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆ อย่างเมืองขึ้นของเมืองอื่นอีกที กำไรจากการขายได้นั้นจะสูงจนนับไม่หมด”

“ทำให้พ่อค้าที่ขายแผงลอยจะร่อนเร่ขายไปเรื่อยและซื้อวัตถุดิบในเมืองเล็กๆ และทดสอบลองขายเพื่อตรวจตลาดก่อนเข้าไปในเมืองใหญ่เพื่อขายต่อ”

“และพวกเขาจะเปลี่ยนประเภทร้านขายไปเรื่อยๆ พวกเราเรียกพ่อค้าแผงลอยว่า ‘พ่อค้าเร่’ กันน่ะจ้ะ”

“แต่สำหรับคนธรรมดาที่ไม่มีทั้งงบจ่ายภาษี หรือรถม้าที่ใช้เดินทางข้ามเมืองมันก็เป็นการลงทุนที่ไม่มีทางรวยน่ะ”

“ถ้าจะพูดให้ถูกในเมืองที่คนเยอะ ถ้าหากไม่มีรถม้าก็จะไม่สามารถมาซื้อวัตถุดิบในแถบชนบทได้ และในทางกลับกันคนในชนบทก็มีวัตถุดิบแต่ในเมืองก็ไม่มีคนมาซื้อเพราะคนสัญจรน้อยไงล่ะ”

เรดพยักหน้าเข้าใจ แต่เมืองที่เธออยู่ก็มีคนเยอะนี่น่า แถมยังผลิตของเองอีกด้วย.. จากคำพูดของแม่เธอ

เรดรู้สึกว่าการเดินทางข้ามเมืองจะเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร นั่นก็แน่ละในโลกที่เต็มไปด้วยอสูรและเป็นโลกที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุด

เมืองแต่ละเมืองคงห่างไกลกันมาก.. เพราะแบบนี้พวกพ่อค้าเร่ถึงจะขายในเมืองที่ไม่มีคนแต่ก็ยังขายเพราะอย่างน้อยก็ได้ทดสอบตลาดและเก็บทุนได้ไม่มากก็น้อยนั่นเอง

เนื่องจากการเดินทางแต่ละครั้งต้องเสียเวลาค่อนข้างมาก และสำหรับพวกเขาเวลาเองก็เป็นเงินเป็นทองนั่นเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เรดรู้สึกว่าโลกตัวเองดีมากๆ แล้วที่มีระบบขนส่งผ่านรถยนต์

และเมื่อแม่เธอเห็นสีหน้าเรดก็เหมือนรู้ว่าเรดอยากจะถามอะไรเธอจึงอธิบายขึ้นมา

“สาเหตุที่เมืองเรามีคนสัญจรเยอะแต่ยังมีอาชีพผลิตกันอยู่ แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าการผลิตคงหมดไปแน่ เพราะเมืองนี้กำลังเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะขุนนางคนใหม่”

“ทำให้เมืองเริ่มจะเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จนคนเข้าออกเยอะขึ้น และทำให้คนธรรมดาสามารถเอื้อมถึงงานของพ่อค้าเร่นั่นคือทั้งผลิตเองและขายเองจนได้กำไรสูงเนื่องจากมีคนผ่านไปมาเยอะมากขึ้น”

“ตอนนี้การแข่งขันแย่งเช่าแผงลอยจึงมีสูงมาก แต่หากพิจารณาแล้วอีกไม่กี่ปีก็คงหมดไปนั่นแหละ ซึ่งกว่าลูกจะโตจนถึงตอนที่ทำงานได้ ไอ้การรวยทางลัดแบบนั้นมันก็คงหมดไปแล้วใช่ไหมล่ะ”

“เพราะงั้นแหละการทำงานในร้านอาหารจะคุ้มกว่า ยิ่งเป็นในเมืองที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเจริญขึ้นสุดๆ แล้วละก็ เป็นแนวทางที่ดีเลยก็ว่าได้”

เรดพยักหน้า..คุณแม่คนนี้ฉลาดมากในความเห็นของเรดเธอคำนวณและวางแผนถึงเรื่องในอนาคตว่าอันไหนจะไปรอด อันไหนจะตาย

สรุปได้ง่ายๆ งานแผงลอยมันมั่นคงแค่ในตอนนี้หลังจากนี้จะมีแค่พวกพ่อค้าเร่ที่มั่นคง

ดังนั้นหันไปเป็นพ่อครัวหรือแม่ครัวดีกว่า ทำงานให้ร้านอาหารไหนสักแห่งก็พอที่จะรวยได้แล้ว สำหรับเรดถ้าให้เลือกระหว่างทำงานเสี่ยงตายได้เงินเยอะมาก

กับทำงานติดครัวแล้วได้เงินเยอะเหมือนกัน แค่ได้น้อยกว่านิดหน่อย เรดเองก็จะเลือกปลอดภัยไว้ก่อนเช่นกัน

ยังไงซะเรดก็เคยโตมาในโลกที่ไม่มีงานไหนเสี่ยงตายโดยง่ายแบบพวกงานที่เรียกว่านักผจญภัยในโลกใบนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทัศนคติต่องานของเธอจะเลือกการทำงานแล้วปลอดภัยเพื่อตัวเองไว้ก่อนจะดีกว่า

อย่างน้อยก็สำหรับคนธรรมดาแบบเธอละนะ..

“หนูเข้าใจแล้วค่ะคุณแม่”

“อืม.. ไม่เป็นไรจ้ะ มีตรงไหนไม่เข้าใจถามแม่ได้เสมอนะ!”

“ค่ะ”

ความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างไหลผ่านหน้าอกของเรดจนเธอต้องเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว

พ่อเห็นท่าทางแปลกๆ ของลูกสาวตัวเองคนเป็นแม่ก็ถามขึ้น

“เป็นอะไรเหรอ?”

“เปล่าค่ะ.. หนูแค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”

“งั้นเหรอ”

“ค่ะ…”

เรดมองคนเป็นแม่ด้วยความสับสนและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

“…..”

 

……………..

[นิยายรายเดือนมีจริ– แค่ก อ้ะแฮ่ม กลับมาแอคทีฟแล้วครับ! — ผู้เขียน]l

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+